ฟงรู่ที่พึ่งสร้าง “ความดีความชอบครั้งใหญ่” กลับเหยียบย่ำส่วนลึกที่สุดในใจของเย่หวูเฉิน สิ่งหวงห้ามสำคัญสุดที่เขาจะไม่มีวันย่อมให้ผู้ใดแตะต้อง
ความเปลี่ยนแปลงของเย่หวูเฉินในพริบตา ความน่าสะพรึง และน้ำเสียงอำมหิต ทำให้ฟงเลี่ยและฟงหลิงใบหน้าซีดขาวด้วยความหวาดกลัว สีหน้าของฟงรู่ซีดเผือดยิ่งกว่า นางรู้สึกราวกำลังถูกบีบลำคอจนไม่อาจหายใจ นางหดร่างลงด้วยสัญชาตญาณ จากความกลัวที่ไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิตนี้ เย่หวูเฉินเคลื่อนสายตามองนางช้าๆ ทำให้ฟงรู่รู้สึกราวกับถูกปีศาจถือมีดกดลำคอ ทั่วร่างแข็งค้างจนไม่อาจขยับได้
“เป็น….เจ้า…..”
ม่านตาของฟงรู่หดลีบอย่างรุนแรงต่อเนื่อง หัวใจเต้นกระหน่ำราวกับจะเต้นออกจากอก นางอยากจะพูดว่า “ไม่ใช่ข้า! ไม่ใช่ข้า….” แต่คล้ายลำคอนางถูกบีบรัดรุนแรงจนไม่อาจเปล่งวาจา ส่วนล่างของนาง มีเสียงของเหลวหลั่งไหลหยดลง… คิดไม่ถึงเลยว่า ด้วยความกลัวสุดขีดต่อเย่หวูเฉิน นางกลัวจนไม่อาจควบคุมตนเอง
พลังที่แผ่พุ่งออกมา…. น่ากลัวเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียว ยังจะน่าเชื่อกว่าหากบอกว่าเขาเป็นปีศาจหรือสัตว์อสูร…. ฟงเลี่ยและฟงหลิงหวาดกลัวจับจิตไม่ต่างกัน กระทั่งด้านนอกของห้องหนังสือ เหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่อยู่ต่างรู้สึกถึงสายลมน่าสะพรึงพัดผ่านจนเย็นเยือกถึงไขกระดูก ขนหัวลุกชูชัน ทั่วร่างสั่นสะท้าน
“Roar!” (ย๊าก อ๊าก ฮ่าห์ เลือกจินตนาการตามสะดวกเลยครัช)
เย่หวูเฉินปล่อยหนิงเสวี่ย คำรามต่ำราวกับเสียงปีศาจ ดวงตาสองข้างแดงก่ำ พุ่งร่างราวกับสายฟ้าเข้าหาฟงรู่ที่ยืนเป็นอัมพาต กำหมัดทรงพลังซัดเล็งไปที่อกนาง….
เปรี้ยง!
หมัดของเย่หวูเฉินปะทะเข้ากับฟงเฉาหยางอย่างหนักหน่วง เขาโผล่ร่างออกมาอยู่เบื้องหน้าฟงรู่อย่างกะทันหัน เหมือนชกเข้าใส่แผ่นเหล็กกล้า ไม่อาจส่งหมัดไปไกลกว่านั้นได้ ร่างของฟงเฉาหยางไม่ขยับแม้นิดเดียว สายตากวาดมองสำรวจใบหน้าของเย่หวูเฉินครู่หนึ่ง พลังน่าหวาดหวั่นที่เย่หวูเฉินใช้ออกมา ทำให้กระทั่งเขายังรู้สึกตกตะลึง ฉับพลันนั้นเขาขยับร่าง ส่งพลังกระแทกเย่หวูเฉินปลิวออกไป กระแทกเข้าใส่ผนังจนสั่นสะเทือน
“ท่านพี่!” หนิงเสวี่ยร้องไห้และวิ่งเข้ามาช่วยประคองเขาโดยไม่สนสิ่งใด นิ้วทั้งห้าของเย่หวูเฉินแตกหัก แต่เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย ขณะที่เขาเคลื่อนพลังหวูเฉินเพื่อรักษานิ้วของตน เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทะมึน “ฟงเฉาหยาง ข้าควรเกลียดเพราะถูกท่านหยุด หรือควรขอบคุณที่ท่านยั้งมือ?”
หากเมื่อครู่นี้ฟงเฉาหยางใช้พลังเพียงหนึ่งในสิบส่วน เย่หวูเฉินคงต้องดับดิ้นไปแล้ว
เขาจูงหนิงเสวี่ยเดินเข้ามาหาทีละก้าว มือขวาเกือบรักษาหายสนิทในเวลาสั้นๆ เขาพ่ายแพ้อย่างง่ายดายและถูกกระแทกปลิวไป แต่ความน่ากลัวและแรงกดดันไม่ลดลงแม้แต่น้อย ก้าวย่างไม่รีบร้อนที่ค่อยๆพาตัวเองเข้ามาใกล้ ราวกับเขากำลังย่ำเหยียบบนหัวใจทุกผู้คน ฟงเลี่ยผู้เผชิญความยากลำบากมามากจนหัวใจหนักแน่นดุจหินผา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหวาดกลัว ทุกขณะเวลาความกลัวแผ่ลามขยายขึ้น เขาใช้น้ำเสียงที่ควบคุมให้ราบเรียบตะโกนออกไป “อาวุโสฟง แม้ว่าชายผู้นี้จะเป็นศิษย์ของเทพกระบี่ แต่ก่อนหน้านี้มันทำร้ายหลิงเอ๋อร์และลักพาตัวข้า ตอนนี้มันยังคิดทำร้ายรู่เอ๋อร์ ตระกูลฟงของข้าไม่เคยต้องเจ็บปวดเพราะถูกหยามอัปยศเช่นนี้มาก่อน หากพวกเราไม่กำจัดมันในวันนี้ นอกจากชื่อเสียงของราชตระกูลที่ต้องป่นปี้เพราะมัน ในภายภาคหน้า มันย่อมสร้างปัญหาให้อีกไม่รู้จักจบสิ้น อาวุโสฟง….”
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าฟงเฉาหยางยั้งมือให้เย่หวูเฉิน เพราะว่าอย่างไรเสีย เย่หวูเฉินก็เป็นศิษย์ของสหายเก่าของเขา ฉู่ชางหมิง…. ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ฟงเลี่ยไม่รู้ นั่นคือสตรีเทพพิโรธ ฟงเฉาหยางรู้ว่าเวลานี้สตรีเทพพิโรธได้ติดตามเย่หวูเฉิน หากเย่หวูเฉินมีอันเป็นไป ย่อมเป็นไปได้อย่างยิ่งที่อาณาจักรต้าฟงจะประสบหายนะร้ายแรงเพราะสตรีเทพพิโรธ อย่างเลวร้ายที่สุด…. หายนะน่าสะพรึงเมื่อ 20 ปีที่แล้วอาจกลับมาอีกครั้ง
ขณะที่ฟงเฉาหยางลังเล เย่หวูเฉินก็เดินมาถึงเบื้องหน้าเขา ดวงตาของเย่หวูเฉินเป็นสีโลหิตเจือจาง โกรธแค้นราวพร้อมปะทุออกมาได้ทุกเวลาและเหมือนจะบ้าคลั่งไม่มีวันคลาย เขาถือลูกกลมดำห้าลูกในมือพร้อมรอยยิ้มเย็นเยียบ จากนั้นขว้างมันใส่ฟงเฉาหยาง, ฟงเลี่ย และฟงหลิง ในเวลาเดียวกันเขาอุ้มหนิงเสวี่ยขึ้นและพุ่งตรงเข้าหาฟงรู่ ผู้ที่กำลังเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น
ความลังเลของฟงเฉาหยางกำลังจะทำให้เขาล้มเหลว อัสนีลั่นสะเทือนฟ้าทั้งห้าลูกทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย เขาไม่อาจหยุดเย่หวูเฉิน ทำได้เพียงเคลื่อนร่างเข้าบังฟงเลี่ยกับฟงหลิง กำแพงล่องหนปรากฎขึ้นเบื้องหน้าในทันที
ชั่วขณะที่อัสนีลั่นสะเทือนฟ้าปะทะเข้ากับกำแพง เย่หวูเฉินก็ยื่นมือขวาออกคว้าลำคอของฟงรู่ราวกับคีมเหล็ก ระหว่างการระเบิดเลื่อนลั่นเขาจับคอนางแล้วกระโดดออกจากห้องหนังสือ
แรงระเบิดห้าสายทำให้อิฐผนังปลิวว่อนกระจุยกระจาย ห้องหนังสือพังถล่ม องครักษ์ที่ถือกระบี่มองอยู่ด้านนอกได้รับบาดเจ็บไปหลายคน ฟงเลี่ยกับฟงหลิงภายที่อยู่ใต้การคุ้มกันของฟงเฉาหยางไร้การบาดเจ็บใดๆ แต่แรงระเบิดรุนแรงทำให้ฟงเฉาหยางถึงกับมุ่นคิ้ว จากเท่าที่เขารู้จัก ระเบิดของอาณาจักรเทียนหลงไม่ได้รุนแรงถึงเพียงนี้
เขาไม่รู้จักอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าของตระกูลฮั่ว ที่มีพลังรุนแรงถึงขนาดทำให้ยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์บาดเจ็บได้ และมันรุนแรงกว่าอัสนีลั่นธรรมดาอยู่หลายเท่า
เมื่อเย่หวูเฉินกระโดดออกมาจากห้อง เขาก็ถูกล้อมด้วยองครักษ์หลายร้อยคนอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากองค์หญิงยังอยู่ในมือ จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แรงระเบิดในห้องหนังสือทำให้พวกเขาตื่นตระหนก เมื่อเห็นจักรพรรดิและรัชทายาทปลอดภัย พวกเขาจึงคลายความกังวล ฟงเลี่ยและฟงหลิงเพิ่งฟื้นกลับจากความตระหนก หากแต่ต้องตกใจเมื่อพบว่าฟงรู่ถูกบีบลำคอโดยเย่หวูเฉิน พวกเขาโกรธเกรี้ยวและตะโกน “ปล่อยนางซะ!”
เพียงหนึ่งวัน ตระกูลฟงผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกจับเป็นตัวประกันถึงสองครั้งในราชวังของตัวเอง และยิ่งกว่านั้น ยังถูกจับโดยคนๆเดิมซ้ำสองรอบ รายล้อมด้วยองครักษ์มากมายเป็นครั้งที่สอง และยังมีเทพปกปักษ์ฟงเฉาหยางอยู่ด้วยทั้งสองครั้ง
ต่อให้ในวันนี้พวกเขาสับเย่หวูเฉินเป็นพันๆชิ้น ความพ่ายแพ้จากการถูกหยามอัปยศย่อมไม่มีวันจางหาย
“ปล่อยนางไว้ แล้วเจ้าไปซะ”
คนที่กล่าววาจาคือฟงเฉาหยาง คนที่ประหยัดคำพูดมาตลอดหลายปีได้เอ่ยปากก่อน ทุกผู้คนล้วนรู้ถึงเจตนาในคำกล่าว ทั้งยังกระจ่างดีว่าคำพูดนี้คือสิ่งชี้ชะตาของเย่หวูเฉิน นั่นก็เพราะ… จักรพรรดิย่อมฟังคำของฟงเฉาหยาง หากเขากล่าวเช่นนี้ ฟงเลี่ยย่อมปล่อยพวกเขาจากไปอย่างปลอดภัย
“เย่หวูเฉิน สามารถจับตระกูลฟงของข้าเป็นตัวประกันได้ถึงสองครั้งภายใต้การจับจ้องของอาวุโสฟงเฉาหยาง… ข้าอดนับถือเจ้าไม่ได้จริงๆ ตระกูลฟงของข้าทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้ ปล่อยน้องสาวของข้าแล้วเจ้าไปซะ จะไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้าอีก” ฟงหลิงสงบสุขุมอย่างมาก ทว่าหัวใจกำลังบีบรัดแน่น ดวงตาทั้งสองของฟงรู่กำลังเหลือกลานภายใต้เงื้อมมือของเย่หวูเฉิน ร่างของนางกำลังแข็งทื่อ ไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ มือที่บีบลำคอนางอยู่สั่นเทาเล็กน้อย มันบีบแน่นขึ้นทุกขณะที่สั่น นิ้วแทบจะเฉาะลึกลงไปในผิวหนัง ภาพที่เห็นราวกับลำคอนางพร้อมที่จะหักทุกเวลา
ตอนนี้เขาคิดจะจับนางเป็นตัวประกัน หรือว่าเขาตั้งใจจะเอาชีวิตของนางกันแน่!?
เมื่อหนิงเสวี่ยถูกพวกเขาจับตัวมา เย่หวูเฉินย่อมไม่ตามมาเพียงลำพังโดยที่ไม่มีแผนหลบหนี ต่อให้เขาไม่คิดถึงตัวเอง เขาก็ย่อมไม่ปล่อยให้หนิงเสวี่ยตกอยู่ในอันตราย ใช้อัสนีลั่นสะเทือนฟ้าตอนที่ฟงเฉาหยางไม่ทันตั้งตัวเพื่อดึงดูดความสนใจ จากนั้นจับตัวประกันมาสักคน นี่คือหนึ่งในแผนที่ดีที่สุดที่ได้เตรียมเอาไว้… หากแต่ในเวลานี้ ความคั่งแค้นที่สุมในหัวใจทำให้เขาลืมเลือนความคิดทั้งหมดโดยสิ้นเชิง
“หึ…หึ…” สีหน้าเขาดุร้าย น้ำเสียงต่ำจนทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน “เจ้า…กล้า…ทำร้ายเสวี่ยเอ๋อร์…เจ้ากล้าดียังไงทำร้ายเสวี่ยเอ๋อร์….”
มือขวาของเขาคลายลงเล็กน้อย ฟงรู่ที่เฉียดผ่านเส้นความตายก็ไออย่างรุนแรง น้ำเสียงนางสั่นเครือและอ่อนแอ “พระบิดา… ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย….”
“นี่คือราคา…ที่เจ้าต้องชดใช้!!”
เย่หวูเฉินใช้มือซ้ายป้องหน้าของหนิงเสวี่ยไว้ ไม่ยอมให้นางเห็นฉากที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาปล่อยมือจากฟงรู่ เมื่อไร้แรงบีบเค้นบนลำคอที่นำพาความรู้สึกสิ้นหวัง ฟงรู่แทบจะวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ขณะที่นางกำลังจะก้าวเท้า บนทรวงอกของนาง…. ความเจ็บปวดชำแรกทุกเส้นประสาทและพรากสติไป… ความทรงจำสุดท้ายของนางก็คือ เสียงกรีดร้องโหยหวนของตัวนางเอง และความกลัวที่ทำให้วิญญาณแทบสิ้นสลาย นอกจากนั้น…เบื้องหน้านาง มีมือที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตเสียบทะลุร่างของนาง
อากาศสาบคาวไปด้วยกลิ่นโลหิต บรรยากาศหนักหน่วงอย่างที่สุด ทุกคนมองเห็นรอยยิ้มปีศาจปรากฎบนใบหน้าของเย่หวูเฉิน ผู้คนตัวสั่นด้วยความกลัว ความพึงพอใจบนดวงหน้าปีศาจทำให้มันยิ่งดูโหดเหี้ยม
สามคำผุดขึ้นมา อสูร , ปีศาจ , ศักดิ์สิทธิ์
ก่อนหน้าที่เขาอายุเจ็ดขวบ เขามีหัวใจราวกับโพธิสัตว์ ไม่เคยสนใจชีวิตตัวเอง ดำรงชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น เขาไม่รู้เลยว่าตอนตัวเองอายุได้สามขวบ เพื่อมารดาและเหล่าญาติ เขายอมเจ็บปวดทรมานแต่ไม่ยอมตายเพื่อปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาสวมรอยยิ้มไร้เดียงสา ใช้ชีวิตตนเองเพื่อช่วยชีวิตมนุษย์นับพันล้าน และยังช่วยชีวิตอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน
ตอนนี้เมื่อเขาอายุได้ 17 หัวใจมารและปีศาจได้ตื่นขึ้นจากแรงกระทบรุนแรง ก่อนหน้านี้ วิธีสังหารของทงซินทำให้เขาอาเจียนด้วยความสะอิดสะเอียน ตอนนี้เขาใช้วิธีโหดเหี้ยมยิ่งกว่าในการพรากชีวิต…. ยิ่งกว่านั้นยังเป็นชีวิตของสตรี กระนั้นเขาไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้สึกผิดใดๆ กลับปรากฎเพียงความตื่นเต้น
เมื่อความกระหายเลือดถูกจุดติด ผลลัพธ์มีเพียงโลหิตที่สาดกระเซ็น บนร่างไร้ชีวิตของฟงรู่ ดวงตานางยังคงเบิกโพลงราวกับจะหลุดออกจากเบ้า เพลิงผลาญรุนแรงเริ่มปะทุขึ้นบนร่างของนาง แสงสะท้อนต้องหน้าอำมหิตของเย่หวูเฉิน กระทั่งศพของนาง เขาก็จะไม่ยอมเหลือเอาไว้
มีแต่ต้องประสบกับตัวเองเท่านั้น พวกเขาถึงจะเข้าใจว่าหัวใจปีศาจนั้นน่ากลัวเพียงใด
“รู่~~เอ๋อร์!!”
เสียงตะโกนโศกเศร้าปลุกผู้คนจากความหนาวเย็นเยียบ ฟงเลี่ยร่างกายสั่นเทา เขาไม่เคยเชื่อว่าเย่หวูเฉินจะกล้าสังหารธิดาเพียงคนเดียวของเขา… ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการตายที่น่าอนาถ ฟงเลี่ยมีบุตรอยู่สามคน แต่เขามีธิดาเพียงแค่คนเดียว แม้ว่านางจะมุทะลุดุดัน แต่นางก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี และต่อให้ไม่คำนึกถึงเรื่องพวกนี้ นางก็ยังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ไม่มีบิดาคนใดสามารถทนรับความเจ็บปวดที่ต้องเห็นธิดาของตนตกตายต่อหน้าต่อตา
พวกองครักษ์ราวกับตื่นขึ้นจากฝัน พากันพุ่งไปเบื้องหน้าราวกับคลื่นน้ำถาโถม เล็งฟันที่ร่างของเย่หวูเฉิน แต่ทันใดนั้นมีเสียงคำรามดัง “หยุดก่อน!”
น้ำเสียงราวสายฟ้าจากสวรรค์ฟาดลงมาบนผืนปฐพี จนทุกคนสะท้านสะเทือน เสียงนั้นกังวาลอยู่ในโสต ดวงตาคล้ายมืดลง จิตใจสับสน ร่างกายชะงักนิ่งในทันที ลืมสิ้นทุกสิ่งว่ากำลังทำสิ่งใด
เป็นเสียงของฟงเฉาหยาง
ชิ้ง!
เขาค่อยๆก้าวเท้าออกมา ชักกระบี่ใหญ่ที่มักสะพายอยู่บนหลัง เมื่อกระบี่ใหญ่ออกจากฝัก มันสะท้อนแสงใส่ดวงหน้าทะมึน เวลานี้ เขาไม่อาจรักษาความเย็นใจและท่าทางราบเรียบได้อีกต่อไป
“พวกเจ้าทั้งหมดถอยไป” ฟงหลิงโบกมืออย่างสิ้นหวัง สายตายังมองที่ร่างที่ถูกเผา… ใต้เพลิงนั้นคือน้องสาวเพียงคนเดียว และทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเพราะว่านางตบหน้าสาวน้อยผมขาว
องครักษ์ล่าถอยด้วยใจปั่นป่วน นอกจากความตระหนก พวกเขาล้วนคาดหวัง เพราะในที่สุด พวกเขาก็กำลังจะได้เห็นเทพสงครามตอบโต้
ฟงเฉาหยางถือกระบี่ตัดวายุในมือ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “เพราะความประมาทของข้า ถึงทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนึ้ขึ้น ความอัปยศครั้งนี้ ให้ข้าได้เป็นผู้จัดการ หลังจากสังหารเขาแล้ว ข้าจะขอขมาต่อตระกูลฟง”