เย่หวูเฉินหัวเราะลั่น ตบมือและกล่าว “สมแล้วที่เป็นฟงเลี่ย พูดถึงความใจเย็นและหนักแน่น รุ่นเยาว์อย่างข้าไม่อาจเทียบกับท่านได้ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างข้าและสำนักจักรพรรดิใต้ ท่านคิดจริงๆหรือว่าข้าจะบอกกับท่าน? ในเมื่อท่านปลงใจเชื่อไปแล้วเช่นนั้นยิ่งเป็นการง่ายสำหรับข้า ท่านพูดถูกที่ข้ากล้าบุกรุกเข้าไปในราชวังทำร้ายบุตรชายและยังพาดกระบี่บนลำคอท่าน เป็นเพราะว่าข้ามีผู้หนุนหลัง ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ท่านสามารถลองบุกมายังอาณาจักรเทียนหลงได้ แต่ข้าต้องบอกไว้ก่อนอย่างหนึ่ง หลังจากที่ได้เตือนไปแล้วหากท่านยังฝืนกระทำต่อ บางทีสำนักจักรพรรดิใต้อาจทำลายตระกูลฟงจนพินาศย่อยยับเนื่องจากสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับพวกเขา หากสำนักจักรพรรดิใต้ต้องการสังหารใครสักคน ข้าเกรงว่าแม้แต่ฟงเฉาหยางก็ไม่อาจหยุดพวกเขาได้ จักรพรรดิแห่งต้าฟง ท่านต้องการลองดูหรือไม่?”
ฟงเลี่ยเงียบงัน หลังจากนิ่งเงียบอยู่นานเขาก็มองใบหน้าของเย่หวูเฉินอีกครั้ง จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “เจ้าคู่ควรแล้วที่เป็นบุตรชายตระกูลเย่…. เป็นที่แน่นอนว่า แต่ละรุ่นถัดมายิ่งเก่งกล้าสามารถกว่ารุ่นก่อนๆ ไม่มีผู้ใดขี้ขลาดเลยแม้สักคน ข้ารู้สึกยินดีมาตลอดที่ผู้กุมอำนาจแห่งอาณาจักรเทียนหลงคือตระกูลหลง ไม่ใช่ตระกูลเย่ของพวกเจ้า”
เย่หวูเฉินยกยิ้มมุมปาก จากนั้นค่อยๆตอบ “ท่านเฉียบแหลมยิ่งนัก จักรพรรดิแห่งต้าฟง แต่ข้ากลับเชื่อว่า บางทีความยินดีของท่านอาจไม่ได้คงอยู่ต่ออีกนาน”
ม่านตาของฟงเลี่ยหดลีบรุนแรง ไม่อาจปกปิดความตกตะลึงบนใบหน้า กระทั่งสตรีอย่างเย่ฉุ่ยเหยาที่เงียบงันมาตลอดยังร่างสะท้าน หากแต่นางไม่ได้กล่าวสิ่งใด
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” ฟงเลี่ยหัวเราะลั่นสุดเสียง “ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ เย่หวูเฉิน ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไป แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับเจ้า แต่เจ้ากลับทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าปู่ของเจ้า ตอนนี้….ข้าเริ่มจะชอบเจ้าแล้ว แต่….” ฟงเลี่ยหรี่ตาลง ปลดปล่อยโทสะทรงอำนาจของราชัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าทำลายงานสมรสใหญ่ของบุตรชายข้า , ทำร้ายบุตรชายข้า , และจับข้าเป็นตัวประกัน การกระทำของเจ้าในวันนี้ ได้สร้างความอับอายขายหน้าให้กับตระกูลฟงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน วันนี้ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้ แต่หากมีวันหนึ่งวันใดเจ้าตกมาอยู่ในเงื้อมมือของข้า แน่นอนว่าข้าจะต้อง….สับเจ้าให้เป็นพันชิ้น! ต่อให้เจ้ามีความเกี่ยวข้องกับสำนักจักรพรรดิใต้ ข้าก็ไม่เคยเกรงกลัวพวกมัน แม้ว่าสำนักจักรพรรดิใต้จะทรงพลังอำนาจ แต่ตระกูลของข้าก็ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด ความปรารถนาเดียวของข้าคือปกครองโลกใบนี้ สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือนั้น….”
“พวกเขาก็อยู่ในขอบข่ายรุกรานของท่านด้วยอย่างนั้นสิ?” เย่หวูเฉินยังคงพิงกับหน้าต่างของรถม้า ขณะที่กล่าวด้วยใบหน้าสงบ มุมปากก็เผยเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน สำหรับตัวตนทรงอำนาจสูงสุดอย่างสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือที่เนืองแน่นไปด้วยยอดฝีมือ ผู้ที่สามารถหาญกล้าต่อกรกับพวกเขาได้ย่อมต้องมีพลังทัดเทียมกับพวกเขา การใช้จำนวนเข้าสู้จะได้ผลอย่างนั้นหรือ? พวกเขานับว่าโชคดีอย่างมากแล้วที่ไม่ไปกระตุ้นโทสะของพวกนั้น หากมีใครกล้าไปยั่วยุพวกมัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นย่อมไม่ต้องสืบซ้ำสอง ทวีปเทียนเฉินดำรงอยู่มาแสนนานเพียงใด เหล่าราชวงศ์เกิดขึ้นและล่มสลายไม่รู้กี่ครั้ง ตระกูลใหญ่ทรงอำนาจล้วนรุ่งเรืองแล้วอ่อนแอ แต่มีเพียงสำนักจักรพรรดิใต้และเหนือเท่านั้นที่ไม่เคยสูญสลายจากไป พวกเขายังคงตั้งตระหง่านถูกแหงนมองโดยผู้คนทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน แม้ว่าผู้คนไม่เคยเห็นตัวตนยิ่งใหญ่นี้กับตา แต่พลังที่ถ่ายทอดสั่งสมผ่านกาลเวลา ย่อมฝังรากลึกไม่มีใครใกล้เคียง เป็นพลังที่คนธรรมดาไม่อาจจินตนาการถึง รากฐานของพวกเขาย่อมไม่สั่นคลอนเพียงเพราะตระกูลฟงอันเล็กจ้อย ตระกูลที่มีประวัติศาสตร์เพียงไม่กี่ร้อยปี
ยิ่งกว่านั้น สำนักจักรพรรดิใต้ในเวลานี้ยังได้แทรกซึมเข้าไปยังตระกูลหลงแล้ว เมื่อพิจารณาจากพลัง พวกเขาได้กางกรงเล็บเข้าใส่อาณาจักรต้าฟงไปแล้วหรือไม่ ย่อมไม่มีใครทราบได้ แต่โชคยังดีที่ทั้งสำนักจักรพรรดิใต้และเหนือยังต้องทำตามกฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษที่จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก พวกเขาจึงทำได้เพียงแทรกซึมอยู่เงียบๆ ไม่เช่นนั้น หากพวกเขายืนกรานที่จะพิชิตโลก บางทีทวีปเทียนเฉินคงตกอยู่ในสภาพโกลาหลไปแล้วก็เป็นได้
ฟงเลี่ยไม่ใช่ผู้ที่โง่เขลากับเรื่องราวความเป็นไปในโลก แม้ว่าความฝันของเขาคือยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทวีปเทียนเฉิน และกลายเป็นจักรพรรดิคนแรกที่รวมผืนแผ่นดิน เหยียบยืนสำนักจักรพรรดิใต้และเหนือผู้สูงส่งไว้ใต้ฝ่าเท้า กระทั่งควบคุมพวกเขาไว้ในกำมือ แต่เคยมีราชันมากมายที่ทะเยอทะยานไม่ต่างจากเขา บ้างก็กระทำล่วงล้ำจนผลลัพธ์กลับกลายเป็นอเนจอนาถ เขาเบือนหน้าออกไป ปิดดวงตาคมกล้าและกล่าวอย่างราบเรียบ “แม้ว่าในเวลานี้ข้าจะไม่สามารถแตะต้องพวกมัน แต่ข้าเชื่อว่าต่อให้ข้าสังหารเจ้าทิ้งในตอนนี้ สำนักจักรพรรดิใต้ย่อมไม่ต่อต้านข้าเพียงเพราะเจ้า เพราะว่าตระกูลฟงของข้าไม่อ่อนแอถึงเพียงนั้น และอย่างไรก็ตาม แซ่ของเจ้าคือเย่ไม่ใช่ฉุ่ย!”
“ฮึ่ม พี่ชายของข้าไม่มีวันกลัวท่านหรอก!” ก่อนที่เย่หวูเฉินจะได้ตอบ หนิงเสวี่ยก็ตอบอย่างโกรธเคือง
เสียงของฟงเลี่ยชะงักค้าง หลังจากใช้น้ำเสียงดุดันร่างของเขากลายเป็นเย็นเยียบอย่างรุนแรง คลับคล้ายจะกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่ต้องกล่าวถึงการขยับตัว กระทั่งเรี่ยวแรงจะกล่าวคำพูดยังไม่มี มีเพียงเฉพาะหัวใจเท่านั้นที่เต้นรัวเร็วหลายเท่ากว่าปกติ เขารู้สึกราวกับอสรพิษร้ายกำลังจ้องมองมาจากเบื้องหลัง ทำให้เขาต้องตัวสั่นไปด้วยความกลัว
อสรพิษตัวนั้นแท้จริงแล้วคือทงซินที่ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายในชั่วขณะที่ฟงเลี่ยกล่าวว่า “จะสับเย่หวูเฉินเป็นพันชิ้น”
เย่หวูเฉินแค่นเสียงใส่ ไม่ได้มองกลับมาที่ฟงเลี่ยอีก จมูกเขาขยับเล็กน้อย
“ท่านพี่ , พี่สาว พวกเราจะกลับบ้านกันเลยรึเปล่า? เอ๋? ท่านพี่ ท่านได้กลิ่นหอมแปลกๆไหม? มันดูไม่เหมือนกลิ่นหอมที่มาจากตัวของพี่สาวเลย” หนิงเสวี่ยยื่นจมูกน้อยๆออกดม แล้วถามด้วยความสงสัย
เย่หวูเฉินยิ้มและกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์แยกมันออกด้วยหรือ กลิ่นหอมนี้ไม่ได้มาจากร่างกายจริงๆ และมันยังไม่ใช่กลิ่นเครื่องประทินของสตรี บางที…” เขายิ้มอย่างเย็นชา “คงเป็นกลิ่นพิเศษเฉพาะที่เอาไว้สำหรับติดตาม”
ด้านนอกของรถม้า องครักษ์ขับรถม้าที่ถูกจับตัวมาโดยเย่หวูเฉินได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขา เขาตัวสั่นด้วยความกลัวอย่างไม่อาจควบคุม เขารู้ดีว่าต่อให้ตนรอดปลอดภัยกลับไปได้ เขาก็ยังต้องถูกฟงเลี่ยสังหารอย่างแน่นอน
เดินทางว่างเปล่าบนท้องถนนแห่งหนึ่งในเมือง เย่หวูเฉินพยักหน้าให้ทงซิน ทงซินเปลี่ยนแววตา แสงทมิฬวาบออกมาห่อหุ้มทั่วร่างของฟงเลี่ย ทำให้สติของเขาเลือนหายไปในทันที เย่หวูเฉินอุ้มเย่ฉุ่ยเหยาด้วยมือหนึ่งข้าง ทงซินจับหนิงเสวี่ยด้วยหนึ่งมือ ส่วนอีกข้างหนึ่งจับเย่หวูเฉินบินออกไปอย่างเงียบงัน
มีเพียงฟงเลี่ยที่ยังอยู่ด้านในรถม้า แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวและหมดสติอยู่ องครักษ์ผู้สั่นกลัวขับรถม้าตรงไปอย่างไร้เป้าหมาย ไม่รู้ตัวเลยว่าคนทั้งสี่ได้หายไปแล้ว
เมื่อฟงรู่ตามมาถึงด้วยจิ้งจอกขนเหลือง นางได้หยุดรถม้าตรงบ้านร้างข้างถนน ฟงเลี่ยยังคงลืมตาเบิกโพลง ราวกับท่อนไม้ที่นั่งอยู่ด้านใน แม้ถูกเขย่าเขาก็ยังไม่อาจได้สติคืนมา คนอื่นๆนอกจากองครักษ์ที่ขับรถม้าต่างก็หายไปและไม่ทราบว่าอยู่แห่งใด
โทสะของฟงรู่ค่อยๆลุกกระพือ นางคำราม “เร็วเข้า ส่งพระบิดากลับวัง พวกโจรตระกูลเย่ดูเหมือนทำบางสิ่งกับพระบิดา ข้าจะต้องจับกุมพวกมันกลับมาให้ได้ คนที่เหลืออยู่ตามข้ามา!”
“แต่ว่าองค์หญิง….”
“หุบปากแล้วตามข้ามาเดี๋ยวนี้!”
“พะยะค่ะ….”
เป็นเวลาใกล้มืดแล้ว นี่เป็นทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้กับประตูตะวันตกของเมืองเทียนฟง สายลมเย็นพัดผ่าน สายน้ำไหลเรื่อยส่งเสียงกระทบเสนาะโสต หนิงเสวี่ยและทงซินอยู่เคียงข้างกัน นั่งบนพื้นหญ้าเล่นหญ้าแห้งในมืออย่างเบื่อหน่าย
สายลมเย็นพัดวูบมา หนิงเสวี่ยผู้เหน็บหนาวหดร่างลงและซุกพิงทงซิน ทงซินอ้าปากแต่ไร้เสียงเล็ดรอดออกมา มือข้างหนึ่งแตะไหล่หนิงเสวี่ย แสงบางเข้าหุ้มร่างของนาง ทำให้ความหนาวเย็นหายไปจากร่างหนิงเสวี่ยในทันที
“ขอบคุณพี่ทงซิน” หนิงเสวี่ยโก่งคิ้วและยิ้มพึงใจ จากนั้นหันร่างอีกครั้ง มองยังที่ห่างไกลเบื้องหลังนาง “ท่านพี่กับพี่สาวคงมีเรื่องหลายอย่างที่ต้องคุยกัน”
ทงซินมองตามและผงกศีรษะ
แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะอยู่ใกล้กับเมืองเทียนฟง แต่เย่หวูเฉินเชื่อว่าพวกเขาคงไม่ตามมา หรือต่อให้พวกเขาตามมา เมื่อมีทงซินอยู่ที่นี่ย่อมไม่มีภัยใด เขามีสิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำก่อนกลับบ้าน ในระหว่างที่หัวใจของเย่ฉุ่ยเหยายังคงสั่นไหว เขาต้องปลอบโยนและขจัดความลังเลของนาง ไม่เช่นนั้นเมื่อพวกเขากลับไปยังตระกูลเย่ ต้องเผชิญหน้ากับคำถามมากมายรวมทั้งการกล่าวโทษ หัวใจที่หนักแน่นของนางย่อมค่อยๆสั่นคลอน นางจะหวั่นไหวด้วยความเจ็บปวด
เย่หวูเฉินจูงมือนาง เย่ฉุ่ยเหยาก้มศีรษะเล็กน้อยและไม่ขัดขืน คนทั้งสองเดินเลียบลำธารเล็กๆไป เดินมาเป็นเวลานานราวกับคู่รักกัน ช่วงเวลานี้ทำให้เย่ฉุ่ยเหยาลืมสิ้นว่าเขาคือน้องชาย อยากจะให้ทุกสิ่งในช่วงเวลานี้คงอยู่ราวโลกนี้เป็นเพียงของทั้งสอง ไร้ผู้คนใดๆที่มารบกวน
“พี่หญิง ท่านไม่มีอะไรจะพูดกับข้าจริงๆหรือ?” เย่หวูเฉินมองตรงไปเบื้องหน้าขณะยิ้มถาม
เย่ฉุ่ยเหยาเอียงใบหน้างามล้ำที่เย็นชาและสง่าไปด้านข้าง ใช้น้ำเสียงเบาจนคล้ายจะวิงวอน นางกล่าว “วันนี้…. อย่าเรียกข้าว่าพี่หญิง”
เย่หวูเฉินหยุดเท้าไม่รู้ตัว พวกเขาได้เดินมาไกล ห่างจากหนิงเสวี่ยและทงซินค่อนข้างมาก แต่ในระยะห่างไกลเช่นนี้ดูราวกับเดินมาถึงอย่างรวดเร็ว เป็นครั้งแรกสำหรับช่วงเวลาของทั้งคู่ ไม่มีผู้ใดคอยกดดันหรือเป็นอุปสรรคขัดขวาง
มองสบสายตากับเย่หวูเฉิน เย่ฉุ่ยเหยายื่นมือออกมาสัมผัสใบหน้าของเขา ดวงตานางตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตา “เสี่ยวเฉิน… เหตุใดเจ้าถึงโง่เขลาถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าถึงไล่ตามข้ามา… หากเจ้าเป็นอะไรไป ตัวข้า , ท่านพ่อ , ท่านแม่ และท่านปู่ของพวกเราจะทำอย่างไร…”
“เพราะว่าพี่หญิงโง่เขลาเกินไป ดังนั้นเพื่อพี่หญิงแล้ว ข้าจึงต้องกระทำการโง่เขลาสักครั้ง” เย่หวูเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน ในที่สุดเขาก็ได้เห็นความรู้สึกนุ่มนวลที่ไม่ได้ปกปิดไว้ในดวงตานาง
บางทีนี่อาจไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก ที่นางเกือบต้องแต่งงานกับฟงหลิง หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์วันนี้ บางทีเย่ฉุ่ยเหยาอาจไม่มีวันข้ามผ่านอุปสรรคที่เรียกว่าศีลธรรม
“ทำไมท่านต้องวิ่งหนีด้วย? พี่หญิง… ท่านทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์ต่อข้าเลย เพราะหัวใจของข้าแทบฉีกเป็นชิ้น ท่านรู้รึเปล่า?” เย่หวูเฉินเงยศีรษะขึ้นและถอนหายใจยาว เมื่อวานนี้ ชั่วขณะที่เขาทราบข่าวว่าเย่ฉุ่ยเหยาต้องแต่งออกสู่อาณาจักรต้าฟง ความเจ็บปวดที่เขาได้รับแทบจะเหมือนกับหัวใจถูกฉีกออก ปวดร้าวจนเขาแทบไม่อาจหายใจ “พี่หญิง… ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านไม่รู้จริงๆหรือว่าข้ารู้สึกอย่างไร?”
ได้ชิดใกล้คลุกคลีกับเย่ฉุ่ยเหยา เขาค่อยๆเปิดประตูหัวใจนาง ทำให้นางยอมรับในตัวเขา และด้วยการใบ้บอกจนกลายเป็นความหมายที่สื่อออกมาอย่างชัดเจน เขาเชื่อว่าทุกครั้งที่นางรู้สึกถึงบางสิ่ง นางย่อมหวั่นไหวในขณะเดียวกัน ค่อยๆส่งผลกับนางทีละน้อย สะสมจนกระทั่ง…