“ฝ่าบาท!”
“พระบิดา!”
“อย่าทำร้ายองค์จักรพรรดิ!”
“เจ้า….เจ้ากล้าดียังไง….”
ฟงหลิงไม่สนใจวาจาของผู้คน อดทนกับความเจ็บปวดบนทรวงอกที่แทบทำให้เขาสลบไป เหงื่อเย็นไหลท่วมอย่างต่อเนื่องบนศีรษะ “เย่หวูเฉิน เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่! ข้าอุตส่าห์จริงใจต่อตระกูลเย่ของเจ้า กระทั่งยังยอมละเว้นความผิดที่เจ้าก่อ พระบิดาข้าก็บอกว่าจะละเว้นเจ้าด้วยเช่นกัน… หรือเจ้าอยากสละชีวิตจริงๆ เพียงเพื่อเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้ากลับดิ้นรนไม่สนชีวิตและความตาย พวกเราตระกูลฟงไม่ยุติธรรมกับเจ้าพอหรือยังไง! เรื่องที่องค์หญิงเหยาฟงแต่งงานกับข้า จักรพรรดิเทียนหลงของเจ้ารวมทั้งบิดามารดาเจ้าก็ให้ความเห็นชอบแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก!”
เย่หวูเฉินแค่นเสียงเย็นชา เผยรอยยิ้มเย็นเยียบขณะกล่าว “ความผิดร้ายแรงของเจ้าก็คือ เจ้าไม่ถามความเห็นของข้าก่อน หากเจ้าต้องการไขว่คว้าพี่สาวของข้าอย่างจริงใจ ข้าจะไม่ขัดขวางเลย มีบุรุษมากมายที่ชมชอบพี่สาวข้า เพิ่มเจ้าเข้าไปอีกคนคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เจ้ากลับใช้วิธีฝืนบังคับจิตใจจนเกือบทำลายชีวิตของนาง ข้าต้องการอะไรอย่างนั้นรึ? เอาละ ไปเตรียมรถม้ามา ข้าจะพาพี่สาวของข้าออกไปจากที่นี้….เร็ว!”
โลหิตไหลรินออกจาลำคอของฟงเลี่ยมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่กล้ารอช้าอีกต่อไป ฟงหลิงตะโกนคำรามสุดเสียง “เร็วเข้า!”
“ข้าไปเอง!” ฟงรู่มองเย่หวูเฉินอย่างรังเกียจ จากนั้นหันกายแล้วออกไป เพียงไม่นานนัก รถม้าหรูหราก็ปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าของท้องพระโรงหลวนฟง เพียงปราดตามองก็รู้ทันทีว่านี่คือรถม้าสำหรับสตรี ปรากฎว่าฟงรู่นำรถม้าที่นางมักใช้เป็นประจำมาส่งให้ด้วยตัวเอง
เย่หวูเฉินยกยิ้มมุมปาก จากนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน “พี่หญิง ไปกันเถอะ”
“พวกเจ้าทั้งหมด หลีกทางให้พวกเรา!”
เขาคำรามดังเล็กน้อย ใช้มือดันฟงเลี่ยคล้ายพลักให้เขาเคลื่อนตัว เหล่าองครักษ์ค่อยๆหลีกทางให้ทีละคน จากนั้นปิดล้อมจากเบื้องหลังตามไปไม่ห่าง
เขาเคลื่อนตัวไปจนกระทั่งถึงรถม้า กระบี่ของเย่หวูเฉินยังคงวางพาดที่ลำคอของฟงเลี่ย เขาเหลือบตามองบนฟ้าส่งความนัย เงาร่างสีดำและสีขาวลอยลงมาจากท้องฟ้า พวกนางคือหนิงเสวี่ยกับทงซิน ตอนนี้ทุกคนจึงตระหนักถึงตัวตนของพวกนาง พวกเขาจ้องมองโง่งมขณะที่ทงซินและหนิงเสวี่ยกระโดดขึ้นรถม้า เย่หวูเฉินดันเย่ฉุ่ยเหยาเข้าไปอย่างเบามือ จากนั้นลากฟงเลี่ยขึ้นไป กระบี่ยังคงพาดไว้อยู่ที่ลำคอ
“เจ้า…. เจ้าต้องปล่อยพระบิดาของข้าเดี๋ยวนี้!” ฟงหลิงอดกลั้นความเจ็บปวด ตะโกนออกไปด้วยความเกลียดชัง
“ทำไมข้าต้องปล่อยเขาด้วย เจ้าอย่าห่วงเลย เมื่อพวกเราไปถึงสถานที่ลับตา ข้าจะปล่อยเขาไป แต่หากว่ามีใครตามพวกเรามา ข้าอาจจะพาเขากลับไปยังอาณาจักรเทียนหลงก็ได้ เจ้าอยากลองดูมั้ยล่ะ?”
“ปล่อยพระบิดาของข้า ข้าจะรับประกันด้วยตำแหน่งรัชทายาทของข้า ว่าจะไม่มีใครคอยตามเจ้าไป” ฟงหลิงกัดฟันกล่าว ความเจ็บปวดของร่างกายไม่อาจเทียบได้กับโทสะและความปวดร้าวในใจ บิดาของเขาถูกจับเป็นตัวประกันทั้งที่มีคนมากมายอยู่รายรอบ พวกเขาพึ่งปล่อยให้คนของอาณาจักรเทียนหลงคุกคามได้ถึงเพียงนี้… และสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดก็คือ เย่ฉุ่ยเหยาโดดขึ้นรถม้าแบบไม่ลังเลหรือต่อต้านโดยสิ้นเชิง
หัวใจของนาง ไม่เคยอยู่ที่นี่เลย
“อย่าได้พูดเสียน้ำลายเปล่า เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดต่อหน้าข้าอย่างนั้น หรือเจ้าอยากให้ข้ากดกระบี่ตัดคอหอยของเขา?” เย่หวูเฉินหัวเราะเย็นเยียบ มือของเขาขยับตาม จะจับตัวประกันไปเพื่ออะไร? หากจับแล้วยังลังเล ผู้คนก็รู้พอดีว่ามันไม่ได้เอาจริง เย่หวูเฉินเกลียดคนประเภทนั้น เมื่อเขามีตัวประกันในมือ ต้องทำให้มันร้องร่ำด้วยความเจ็บปวด ผู้คนถึงจะตระหนกและไม่กล้าปฏิเสธข้อต่อรอง ไม่เช่นนั้นคงไม่เรียกว่าการจับตัวประกันแต่จะเป็นแค่เรื่องน่ารำคาญ
หัวใจฟงหลิงสั่นสะท้าน เขาตะโกนสุดเสียงอีกครั้ง “พวกเจ้าทุกคนหยุดอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนี้! ทำตามที่เขาบอก… ถ่อยทอดคำสั่งข้า ห้ามใครติดตามเบื้องหลังพวกเขาไป…. ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามทั้งนั้น!”
ผู้คนแยกออกเป็นทาง เย่หวูเฉินชี้มือไปที่องครักษ์คนหนึ่ง ให้เขาวางอาวุธและขี่รถม้า มุ่งหน้าออกจากประตูราชวัง โดยปกติ ในราชวังอนุญาตให้นำเกี้ยวเข้ามาได้เท่านั้น ส่วนรถม้าไม่อาจนำเข้ามาได้ แต่โชคดีที่ถนนนั้นกว้างพอและไม่กีดขวางรถม้า เมื่อพวกเขาออกไป เย่หวูเฉินมองตรงตำแหน่งของฟงเฉาหยาง เผยรอยยิ้มบอกความนัย
เมื่อรถม้าห่างออกไปไกลห่าง ท้องพระโรงหลวนฟงเอะอะวุ่ยวายขึ้นราวกับหม้อต้มข้าว คนจำนวนมากต่างมีคำถามแบบเดียวกันก็คือ เทพปกปักษ์ฟงเฉาหยางหายไปไหน? เขากำลังทำอะไรอยู่ในเวลานี้?
“อาวุโสฟง…จะ…จะไม่ไล่ตามพวกเขาไปเหรอ?” ฟงหลิงยังคงกุมอกที่เจ็บอยู่ เขากล่าวขณะฝืนความเจ็บปวด ด้วยพลังของฟงเฉาหยาง หากเขาตามไปจากเบื้องหลังย่อมไม่ถูกพบตัว ทั้งยังจะสามารถจับกุมพวกมันขณะที่พวกมันปล่อยฟงเลี่ยกลับมา
“ข้าทำไม่ได้” ฟงเฉาหยางตอบกลับราบเรียบ “ต่อให้เขาไม่จับพระบิดาของเจ้าเป็นตัวประกัน เขาก็ยังสามารถสังหารเจ้ากับพระบิดาและจากไปโดยไร้อันตรายแม้เพียงนิด เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธียุ่งยากเช่นนั้นด้วยซ้ำ ที่เขาทำแบบนั้นเพราะเตือนข้าไม่ให้ตามไป และยังเป็นการบอกข้าในเวลาเดียวกันว่า เขาไม่ได้คิดทำร้ายพระบิดาของเจ้าจริงๆ ตอนนี้เจ้าคงสบายใจได้”
ฟงหลิงได้ยินคำแต่ว่าไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ประโยคท่อนท้ายทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลง ความเจ็บปวดที่ชำแรกทำให้เขาหมดสติในที่สุด หมอหลวงไม่กี่คนที่ถูกเรียกตัวมาก่อนหน้ารีบเข้ามาหาและประคองร่างเขาไว้
ฟงเฉาหยางถอนหายใจยาว จากนั้นซ่อนร่างของตนเองต่อ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นี่คือครั้งแรกที่เขาผิดพลาด แต่เขาไม่ได้รู้สึกอับอาย เพราะฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เย่หวูเฉิน…หากแต่เป็นสตรีเทพพิโรธที่เขาและยอดฝีมือไร้ต้านอีกสามคนร่วมกันรับมือนางในอดีต ไม่ว่าใครในพวกเขาสี่คน หากต้องต่อสู้กับนางเพียงลำพังผลลัพธ์ย่อมคือความพ่ายแพ้
นางออกมาจากหอคอยปีศาจได้อย่างไร แล้วเหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้…. ผู้สืบทอดแห่งเทพกระบี่ เขาทำได้อย่างไร….
ขณะที่ท้องพระโรงหลวนฟงตกอยู่ในความโกลาหล ฟงรู่ได้แอบออกไปเงียบๆ นางกลับไปยังตำหนักเจ้าหญิงของตนเอง จากนั้นอุ้มสัตว์ประหลาดมีขนสีเหลืองทั่วกาย นางรีบออกไป พร้อมพายอดฝีมือนับสิบที่ปกติทำหน้าที่คุ้มกันฟงเลี่ยยามออกนอกราชวัง ปกติองค์หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากวัง แต่กฎนี้ใช้ไม่ได้กับฟงรู่ที่มีอุปนิสัยก้าวร้าวดุดัน เมื่อเวลาผ่านไป ฟงเลี่ยจึงไม่ใส่ใจนาง และปล่อยให้นางทำทุกสิ่งได้ตามใจ
บนรถม้าที่นำมาให้เย่หวูเฉิน นางได้แอบใส่ถุงน้ำหอมที่เรียกว่ากลิ่นจิ้งจอก และจิ้งจอกสีเหลืองในแขนของนางมีสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นนี้มาก ตราบเท่าที่ระยะทางไม่ได้ไกลเกินไป ไม่ว่ารถม้าจะมุ่งไปไหน มันย่อมตามกลิ่นจนเจอ เรื่องนี้ฟงรู่ไม่ได้บอกใคร เพราะนางต้องการช่วยบิดาด้วยตัวนาง พร้อมกับจับตัวเย่หวูเฉินกับเย่ฉุ่ยเหยาเพื่อสร้างความดีความชอบแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อออกมาจากราชวัง เย่หวูเฉินก็ขยับมือโยนกระบี่ยาวที่เคยใช้พาดคอฟงเลี่ยออกจากรถม้า เกิดเสียงดัง “เคร้ง” เมื่อมันกระทบพื้น เย่ฉุ่ยเหยาพิงศีรษะบนไหล่ของเย่หวูเฉิน ไม่กล่าวคำพูดใดๆตลอดเส้นทาง ทุกอย่างที่นางอยากพูด ได้เผยออกมาในเสี้ยววินาทีแห่งสัมผัสของกันและกัน นางได้บอกเขาผ่านสีหน้าและแววตา… ดังนั้นตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้นางจึงเพียงพิงซบชิดใกล้กับตัวเขา หัวใจเป็นธรรมชาติไร้ความกังวล การปรากฎตัวอย่างทันทีทันใดของเขาทำให้นางเข้าใจในขณะนั้นว่า เขาอยากให้นางพึ่งพิงเขาตลอดไป
เขากล้าหาญถึงเพียงนั้น นางจะปล่อยตัวเองให้ขี้ขลาดได้อย่างไร
เมื่อไร้ภัยคุกคามบนลำคอ ฟงเลี่ยไม่ได้ผ่อนคลายลงหรือหนีไปแต่อย่างใด สายตาเขากวาดมองทีละคน ใบหน้าดูเคร่งเครียด เขากล่าววาจาคล้ายชื่นชมพร้อมเย้ยหยัน “ทายาทแห่งตระกูลเย่ นับว่ามีอนาคตสดใสเสียจริง”
เย่หวูเฉินพิงหน้าต่างของรถม้า สูดกลิ่นหอมของเย่ฉุ่ยเหยา หัวใจทั้งดวงปราศจากความกังวล เขากล่าวเนิบนาบ “ท่านอย่าห่วงไปเลย ข้าจะไม่ฆ่าท่าน ไม่อย่างนั้นฟงเฉาหยางคงได้ล่าหัวข้าในอนาคต แม้ว่าข้าไม่ได้เกรงกลัว แต่จะดีที่สุดหากไม่สร้างปัญหา”
แม้ว่าทงซินมีพลังเพียงพอเอาชนะฟงเฉาหยาง แต่การสังหารเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อพูดถึงฟงเฉาหยาง สีหน้าของเย่หวูเฉินยังคงไร้ความหวั่นกลัว ทั้งท่าทางคำพูดไม่ได้แสร้งทำ ฟงเลี่ยขมวดคิ้วแน่นและนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนเริ่มลงมือทำร้ายฟงหลิง จากนั้นจึงจับเขาเป็นตัวประกัน ฟงเฉาหยางกลับไม่โผล่ออกมาช่วยพวกเขา เรื่องนี้ทำให้หัวใจเต้นสั่นระรัว นิยามสำหรับบุรุษหนุ่มผู้นี้….ไม่ใช่ “อนาคตสดใส” หากแต่เป็น “น่าหวาดกลัว”
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะหลบหนีใดๆ
เย่หวูเฉินจับฟงเลี่ยเป็นตัวประกันมิใช่เพราะไร้เหตุผล หากเขาให้ทงซินพาพวกเขาออกมาโดยตรง ฟงเฉาหยางย่อมติดตามพวกเขาออกมา นั่นย่อมกลายเป็นปัญหา ทงซินจะไม่อาจปกป้องพวกเขาได้ทุกคน การจับฟงเลี่ยเป็นตัวประกันขณะออกมาเป็นการส่งคำเตือนไปยังฟงเฉาหยาง… หากเขาติดตามมาเบื้องหลัง ฟงเลี่ยย่อมถูกสังหาร! และไม่ว่าในกรณีใด หากเขาไล่ตามมาย่อมกลายเป็นสถานการณ์แห่งชีวิตและความตาย แต่หากเขาไม่ได้ไล่ตาม เช่นนั้นก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ…
“หากท่านโจมตีอาณาจักรเทียนหลง แน่นอนว่าสำนักจักรพรรดิใต้จะส่งคำเตือนถึงท่าน และถ้าหากท่านยังคงฝืนดึงดัน เวลานั้นท่านจะไม่ได้ต่อสู้แค่เพียงอาณาจักรเทียนหลงและชางหลาน… จักรพรรดิแห่งต้าฟง ท่านเชื่อเรื่องนี้หรือไม่?” จู่ๆเย่หวูเฉินก็เปิดปาก ทำให้ฟงเลี่ยยิ่งหัวใจเต้นรัว
เย่หวูเฉินย่อมไม่กล่าวคำเพียงเพื่อข่มขู่ผู้คน ประการแรก สำนักจักรพรรดิใต้คิดครอบงำอาณาจักรเทียนหลงไว้ในเงื้อมมือ พวกเขาค่อยๆแทรกซึมอิทธิพลในอาณาจักร และย่อมไม่ยอมปล่อยให้เกิดความโกลาหล ประการที่สอง คือเพื่อกระบี่หนานฮวง พวกเขายอมเสี่ยงชีวิตปกป้องสมาชิกทุกคนของตระกูลเย่ ทุกวันจะส่งยอดฝีมือให้ลอบคุ้มกัน ซึ่งหากเกิดสงครามขึ้นจริงๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือเรื่องนี้ด้วยยอดฝีมือเพียงไม่กี่คน เมื่อถึงเวลานั้น เป็นไปได้ว่าเพื่อกระบี่หนานฮวงแล้ว พวกเขาจะแห่กันออกมาทั้งรัง และก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น พวกเขาย่อมส่งคำเตือนไปยังตระกูลฟง ต่อให้ฟงเลี่ยต้องการสงคราม เขาก็ต้องรอไปอีกอย่างน้อยสามปี
ข้อตกลงระหว่างเย่หวูเฉินกับเย่ฉุ่ยเหยาในครั้งนั้น ดูผิวเผินแล้วเหมือนเพียงการ “ปกป้อง” แต่ในความเป็นจริงมันซ่อนเงื่อนไขที่ลึกลงไป ฉุ่ยเมิ่งฉานไม่คิดเลยว่า “เงื่อนไขธรรมดา” เช่นนี้จะกลายเป็นรับมือยากในชั่วเวลาสั้นๆ เย่หวูเฉินจะยอมรับข้อตกลงที่เสียเปรียบได้อย่างไร
“หรือว่าเจ้าคือคนของสำนักจักรพรรดิใต้?” ภายนอกฟงเลี่ยดูคล้ายภาคภูมิ แต่ภายในใจเขาสับสนอย่างหนัก สิ่งที่เย่หวูเฉินพูดเมื่อครู่ เขาเชื่อถือเป็นส่วนใหญ่ และนอกจากเหตุผลข้อนี้ เขาไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้
“โอ้? เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนั้น?”
“เฮอะ…. ในวันนี้การแสดงออกของเจ้าสงบสุขุม ทั้งเจ้ายังจับข้าเป็นตัวประกันได้โดยง่าย เห็นได้ชัดว่าเจ้าวางแผนไว้ก่อนทุกรายละเอียด บุคคลอย่างเจ้า มีหรือจะทำเรื่องหุนหันพลันแล่นเพียงเพราะพี่สาวตนเอง และเจ้าจะไม่คำนึงถึงอาณาจักรและครอบครัวได้อย่างไร ดังนั้นเจ้าจะต้องมีผู้หนุนหลัง และสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ข้าไม่สงสัย กลับกันเจ้าได้อธิบายข้อสงสัยของข้า…. เจ้ากับสำนักจักรพรรดิใต้ แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่?” ดวงตาอินทรีย์ของฟงเลี่ยจ้องตรึงที่เย่หวูเฉิน ราวกับจะมองทะลุลงไปถึงหัวใจ