ฟงหลิงก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ใบหน้ายังยิ้มไม่เปลี่ยนขณะกล่าว “ข้ากลับนึกว่าเป็นมือสังหารบุกรุกเข้ามา ที่แท้ก็เป็นน้องชายขององค์หญิงเหยาฟง” เดิมทีเขาวางแผนว่าจะเรียก “น้องหวูเฉิน” แต่พอเห็นสีหน้าแล้ว เขาไม่เอาดีกว่า “วันที่ข้าไปเยือนอาณาจักรของเจ้านั้น ข้าปรารถนาจะได้เห็นความยอดเยี่ยมของเจ้ากับตา แต่โชคไม่ดีที่เจ้าเดินทางไปแดนใต้ เราจึงไม่มีโอกาสได้พบกัน หากแต่วันนี้ข้าได้สมปรารถนาแล้ว วันนี้เมื่อเจ้าเดินทางมาจากสถานที่ไกล เจ้าย่อมนับเป็นแขกของพวกเรา เจ้าช่วยปล่อยตัวองค์หญิงได้หรือไม่? อย่าได้กังวลเลย ข้าจะรับรองเจ้าด้วยฐานะรัชทายาท ไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้ เรื่องที่เจ้าบุกรุกราชวังและสังหารองครักษ์ ข้าและพระบิดาจะไม่ลงโทษเจ้า แบบนี้เป็นอย่างไร?”
ข้อเสนอนี้นับว่าเป็นการผ่อนปรนอย่างที่สุด หลายผู้คนต่างรู้สึกสงสัย บุกรุกราชวังและสังหารผู้คน เป็นอาชญากรรมร้ายแรงมีโทษถึงประหารเจ็ดชั่วโคตร ฟงหลิงกลับยกเว้นโทษสาหัส หลังจากวันนี้ย่อมเกิดความโกลาหล ฟงเลี่ยยังคงมีใบหน้าโกรธเกรี้ยว แต่เขาไม่ได้พูดสิ่งใด เขาเข้าใจดีว่าวันนี้เย่หวูเฉินมาเพื่อเย่ฉุ่ยเหยา ไม่ได้มาเพื่อคุกคามตระกูลฟง เขาเป็นหลานชายของเย่หนู่และเป็นศิษย์ของเทพกระบี่ เป็นสถานะที่ต้องคิดหนัก ถ้อยคำของฟงหลิงช่วยสร้างทางออกให้กับสถานการณ์
องค์หญิงเหยาฟง? เย่หวูเฉินรู้ได้ทันทีว่านั่นหมายถึงเย่ฉุ่ยเหยา เขาเลิกคิ้วขึ้น ยิ้มเย็นชาขณะเผชิญหน้ากับฟงหลิง เขากล่าว “ฟงหลิง? รัชทายาท? องค์ชายรัชทายาทช่างมีน้ำพระทัยยิ่งนัก หวูเฉินละอายในความต่ำต้อยเสียจริง”
ฟงหลิงไม่สนใจถ้อยคำถากถาง เขากล่าวอย่างจริงใจ “เจ้าดั้นด้นเดินทางนับพันลี้เพื่อพี่สาวของตนเอง จุดนี้ฟงหลิงรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก การละเมิดล่วงล้ำในวันนี้ ข้ากลับรู้สึกชื่นชม หากเป็นข้าที่พึ่งกลับมาถึงตระกูลแล้วได้ยินข่าวว่าญาติสนิทถูกบังคับให้แต่งงานไปยังอาณาจักรที่เกลียดชังที่สุด ข้าคงคับแค้นใจเช่นเดียวกัน แต่ข้าคงไม่มีความกล้าหาญแบบเดียวกันกับเจ้า” ฟงหลิงกล่าวอย่างไม่ห่วงหน้า จากนั้นยิ้มหวาน “แต่เจ้าอย่าได้กังวลเลย ข้าขอใช้สถานะรัชทายาทนี้ สาบานอีกครั้งว่าชั่วชีวิตจะไม่ทำให้องค์หญิงต้องทุกข์ใจ ยิ่งกว่านั้น ข้าจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายองค์หญิง เช่นนี้เป็นอย่างไร?”
เขาคิดว่าสาเหตุที่เย่หวูเฉินเร่งรุดมาเพียงลำพังโดยไม่สนสิ่งใด เนื่องจากเขากลัวว่าเย่ฉุ่ยเหยาที่ถูกบังคับมาแต่งงานที่อาณาจักรต้าฟงจะต้องทนทุกข์เพราะถูกเหยียดหยาม เนื่องจากทั้งสองอาณาจักรเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน การมีความคิดเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นเพื่อสงบหัวใจของเย่หวูเฉิน เขาไม่ลังเลที่จะใช้สถานะของตนกล่าวสาบาน และเขาต้องการให้เย่หวูเฉินประจักษ์ในความรักที่เขามีต่อเย่ฉุ่ยเหยา หากแต่โชคไม่ดีนักที่….
เย่หวูเฉินยังคงกอดเอวนางไว้แน่น สีหน้าท่าทางผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังคงเย็นชา “จะให้ข้าเชื่อถือคำพูดของเจ้าได้อย่างไร? อาณาจักรต้าฟงของเจ้ารุกรานอาณาจักรเทียนหลงของข้าไม่รู้กี่ครั้ง ทั้งป่าเถื่อนและสามานย์ หากพี่สาวข้าแต่งงานกับเจ้า นางจะต้องทรมานเพราะถูกรังแกและเหยียดหยาม!”
ขณะที่ฟงหลิงกำลังจะกล่าวต่อ ฟงรู่ที่อดกลั้นมานานก็โดดออกมายืนอยู่เบื้องหลังฟงหลิง ชี้นิ้วที่เย่หวูเฉินและด่าทอ “เจ้าหนุ่มตระกูลเย่ พี่ชายข้าอุตส่าห์ไว้หน้าเจ้า อย่าได้ทำตัวไร้ยางอาย ข้าจะบอกให้ว่า หากไม่ใช่เพราะพี่ชายข้า ข้าอยากให้นังผู้หญิงนี่หายไปด้วยซ้ำ เช่นนั้นอาณาจักรต้าฟงจะได้ขยี้อาณาจักรเทียนหลงของเจ้าให้ราบด้วยเวลาอันเร็ว เฮอะ แทนที่เจ้าจะขอบคุณพี่ชายข้า เจ้ากลับกล้าสามหาวในพิธีงานแต่ง ข้าจะบอก….”
“หุบปากของเจ้าซะ!” ฟงหลิงขมวดคิ้วและตะโกนดังลั่น
“ท่านพี่….” ฟงรู่ชะงักเมื่อถูกด่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความคับข้องใจ
“ถอยไป” ฟงหลิงตะโกนเย็นชาไม่แม้แต่จะมองนาง ฟงรู่ฝืนใจหุบปาก นางจ้องเย่หวูเฉินอย่างดุร้าย จากนั้นถอยไปอย่างโกรธเคือง
เย่หวูเฉินกล่าวอย่างเย็นชา “อาณาจักรต้าฟงของพวกเจ้าจะรุกรานใครไม่ใช่ธุระกงการของข้า ข้ารู้แต่เพียงว่าพี่สาวข้าจะต้องไม่แต่งงานกับเจ้า!”
ฟงหลิงส่ายศีรษะและกล่าว “เรื่องนี้องค์จักรพรรดิของเจ้าให้การรับรองแล้ว ปู่ของเจ้าและบิดามารดาเจ้าก็เห็นชอบแล้วเช่นกัน องค์หญิงเหยาฟงเองก็ตกลงแล้ว…”
“ความเห็นชอบของพวกนั้นไม่ใช่ธุระอันใดของข้า!” เย่หวูเฉินกล่าวขัดจังหวะ สายตาของเขายิ่งคมกล้าขึ้นเรื่อยๆ “เจ้าถามความเห็นของข้าหรือยัง!”
เป็นถ้อยคำที่โอหังอย่างยิ่ง ฟังแล้วทราบเลยว่าเขาไม่เห็นหัวจักรพรรดิตัวเองแม้แต่น้อย ฟงหลิงไม่ได้โกรธเคือง กลับกันใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะกล่าว “เช่นนั้นความเห็นของเจ้าคือ?”
เย่หวูเฉินท่าทีพลันสงบลง เผยรอยยิ้มเรียบง่าย “องค์ชายรัชทายาท ท่านอยากรู้จริงๆหรือ?”
“บอกมาเถอะ ข้าฟังอยู่ ตราบใดที่เจ้าไม่คัดค้านการแต่งงานระหว่างองค์หญิงเหยาฟงกับข้า ข้าย่อมพิจารณาความเห็นของเจ้า” ฟงหลิงยิ้มไม่เปลี่ยนขณะกล่าว ทุกผู้คนล้วนมองเห็นได้ว่า เขาสามารถระงับยั้งอารมณ์และอ่อนข้อให้เย่หวูเฉินเพียงเพื่อสร้างความประทับใจต่อเย่ฉุ่ยเหยา บางคนไม่อาจอดได้และถอนลมหายใจ บุคคลผู้มีความรักสามารถพบได้ทั่วไป แต่ผู้ที่ลุ่มหลงงมงายพบได้ยากยิ่ง ด้วยสถานะที่สูงล้ำและหัวใจที่โง่งม หากธิดาตระกูลใดได้รับความชมชอบจากรัชทายาทถึงเพียงนี้ นางย่อมสุขสันต์ไปตลอดร้อยปี
“ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟังให้ดี” เย่หวูเฉินปล่อยแขนขวาจากเย่ฉุ่ยเหยา ด้วยรอยยิ้มเรียบง่าย จู่ๆเขาก็ก้าวออกมา ใช้หนึ่งเท้าเตะเข้ากลางอกของฟงหลิง เสียง “กร๊อบ” ของกระดูกหักดังฟังชัด ฟงหลิงกรีดร้องและปลิวไป ปะทะเข้าใส่องครักษ์ที่อยู่เบื้องหลัง
“นี่คือความเห็นของข้า เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?” เย่หวูเฉินใบหน้าราบเรียบและเย็นชา แม้ว่าฟงหลินจะมีวรยุทธไม่อ่อนด้อย แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งเกินกว่าเย่หวูเฉิน ด้วยลูกเตะเมื่อครู่นี้ อย่างน้อยต้องมีกระดูกซี่โครงหักสองซี่
“หลิงเอ๋อร์!”
“ท่านพี่!”
“องค์รัชทายาท!”
ท้องพระโรงหลวนฟงแตกตื่นตะลึงยิ่ง ดวงตาของฟงเลี่ยเบิกกว้างกลมโต เขาชี้นิ้วที่เย่หวูเฉินและคำรามลั่น “จับมันเดี๋ยวนี้!”
ตอนนี้เขาเริ่มเป็นกังวลแล้ว เพราะรัชทายาทถูกทำร้ายแต่ฟงเฉาหยางยังคงไม่ปรากฎตัว
ฝูงองครักษ์ถาโถมไปเบื้องหน้า กวัดแกว่งกระบี่เล็งไปที่เย่หวูเฉิน เย่หวูเฉินกอดเย่ฉุ่ยเหยาเอาไว้แน่น ยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน จากนั้นร่างไหววูบกลายเป็นเงาขาว… พวกเขาไม่ได้พุ่งออกไปที่ประตู กลับกันพวกเขาเข้าไปข้างใน ใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งเข้าหาฟงเลี่ย
“คุ้มกันองค์จักรพรรดิ!”
องครักษ์ผู้หนึ่งตะโกนลั่น แต่ก่อนที่เขาจะได้ฟันกระบี่ กระบี่ยาวในมือก็ถูกพรากออกไปด้วยพลังแกร่งกล้าจากอากาศว่าง เย่หวูเฉินรวดเร็วเกินไป ก่อนที่กลุ่มองครักษ์จะทันได้เคลื่อนไหว เย่หวูเฉินก็พุ่งผ่านพวกเขาไปแล้ว
ฟงเฉาหยางคือเทพปกปักษ์ของอาณาจักรต้าฟง เมื่อตัวตนของเขายังดำรงอยู่ ราชตระกูลแห่งต้าฟงไม่เคยมีมือสังหารบุกรุกมาตลอดหลายปี ระหว่างช่วงเวลานั้น อาณาจักรเทียนหลง , คุยชุย , ชางหลาน ต่างก็เกลียดชังอาณาจักรต้าฟง แต่พวกเขาไม่เคยกล้าจ้างวานมือสังหารคนใดให้มุ่งหน้าสู่ต้าฟง หากแต่ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน ผลลัพธ์จากความเชื่อมั่นในตัวของฟงเฉาหยางก็คือ…. ไร้ยอดฝีมืออื่นใดอยู่ข้างกายฟงเลี่ย เพราะนั่นหมายถึงการไม่เคารพต่อฟงเฉาหยาง ทั้งยังเป็นการรบกวนต่อเขา นี่คือสิ่งที่เย่หวูเฉินคาดเดาไว้ในระหว่างเดินทาง ดังนั้น เขาจึงสรุปว่านอกจากองครักษ์ธรรมดาทั่วไป ย่อมไม่มียอดฝีมือคนอื่นอยู่ข้างกายฟงเลี่ย เมื่อฟงเฉาหยางถูกคุมเชิงอยู่โดยทงซิน การจับกุมตัวฟงเลี่ยย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง
เขาเคลื่อนกระบี่ขณะที่เข้าไปหา ทันใดนั้นเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ณ เบื้องบน หลังคาแข็งกล้าส่วนหนึ่งของท้องพระโรงถล่มลง แรงกดดันมหึมาได้ท่วมทับศีรษะเขา เย่หวูเฉินพลันรู้สึกราวกับเหล็กกล้าหนาทับกดศีรษะลง สามารถแสดงพลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ นอกจากฟงเฉาหยางแห่งอาณาจักรต้าฟงแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถกระทำ เขาวางแผนทำร้ายฟงเลี่ย แต่กลับต้องประสบพลังเต็มที่ของฟงเฉาหยางที่กั้นขวาง
เย่หวูเฉินไม่เงยศีรษะขึ้น แต่เขาก็ไม่ล่าถอยเช่นกัน เขากัดฟันแน่นแบกพลังหนักหน่วงขณะเคลื่อนตรงไป เขาเชื่อมั่นในตัวทงซิน!
แทบจะในขณะเดียวกัน หลังคาอีกส่วนของท้องพระโรงก็พังทลายลง ทำให้ผู้คนร่ำร้องอย่างตระหนก และตอนนี้เอง ทั่วท้องพระโรงหลวนฟงกลับไม่ได้สว่างขึ้นเพราะสองรูขนาดใหญ่บนหลังคา มันกลับกลายเป็นมืดลง ทันใดนั้นมีดวงตาคู่ทมิฬมองไปที่ฟงเลี่ย ทำให้ร่างของเขาสั่นสะท้านรุนแรงราวกับถูกกระแสไฟ
ฟงเฉาหยางตื่นตระหนกอยู่ในใจ เขาตระหนักดีถึงความน่ากลัวของดวงตาสตรีเทพพิโรธ ในปีนั้นดวงตาคู่นี้ได้สร้างขุมนรกโลหิต เมื่อถูกจับจ้องด้วยดวงตาทมิฬ เพียงอึดใจเดียวฟงเลี่ยย่อมร่างระเบิดตกตาย เขาไม่มีเวลามัวขัดขวางเย่หวูเฉิน ใช้พลังสูงสุดส่งกระบี่เข้าหาทงซิน….
ตูม….
กระบี่ตัดวายุส่งปราณกระบี่น่าหวาดหวั่น แรงปะทะทำให้ผืนดินพลิกตลบ หลังคาท้องพระโรงหายไปในอากาศ เพียงการปะทะธรรมดา ก็สังหารองครักษ์ไปกว่าสิบคน ตกตายในสภาพน่าอนาถ และทงซินเพียงแค่เบี่ยงร่างหลบด้านข้าง ตราบใดที่นางไม่ถูกแรงปะทะโดยตรง พลังนั้นย่อมไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆแก่นาง
ชั่วขณะที่ฟงเลี่ยถูกดวงตาของทงซินจับจ้อง ภาพเบื้องหน้าพลันกลายเป็นว่างเปล่า เมื่อเขาได้สติกลับคืนมา กระบี่ก็ได้พาดอยู่ที่ลำคอ เย่หวูเฉินใช้มือหนึ่งดึงเย่ฉุ่ยเหยาไว้เบื้องหลัง อีกมือหนึ่งถือกระบี่พาดคอของฟงเลี่ย กวาดสายตาเย้ยหยันมองไปทั่วบริเวณ เหล่าองครักษ์ที่ถือกระบี่ , องค์ชาย , องค์หญิง , ขุนนาง , ขุนพล ทั้งหมดต่างสะท้านโง่งม ภายใต้องครักษ์หลายร้อย และยังมีเทพสงครามคอยปกป้อง กระบี่เล่มนั้นกลับสามารถกดที่ลำคอของจักรพรรดิได้
ฟงหลิงกระอักเลือดออกมาสองคำโต มุมปากยังคงมีรอยเลือด เขากุมอกที่เจ็บปวดและกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชัง “ปล่อยพระบิดาของข้าซะ!”
“รีบปล่อยฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าคิดจะต่อต้านพวกเราหรือยังไง!?”
“เจ้าคนป่าเถื่อนแห่งตระกูลเย่ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไร? รีบปล่อยฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!”
ผู้คนพากันด่าทอเย่หวูเฉิน แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่อาจซ่อนความหวาดกลัวบนใบหน้า พวกเขายังเชื่อไม่ลงว่าจักรพรรดิของตนจะถูกจับเป็นตัวประกันต่อหน้าต่อตาโดยชาวเทียนหลง เรื่องนี้เหยียดหยามกันเกินไปแล้ว เหล่าองครักษ์ต่างตระหนกตกใจ พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวด้วยเกรงเป็นอันตรายต่อจักรพรรดิ
ฟงเฉาหยางและทงซินหยุดต่อสู้กับอีกฝ่าย ฟงเฉาหยางรู้ว่าจักรพรรดิถูกจับเป็นตัวประกันแล้ว หากเขายังสู้กับสตรีเทพพิโรธต่อ ไม่เพียงเขาจะพ่ายแพ้เท่านั้น แต่ผู้คนมากมายย่อมตกตายเพราะถูกลูกหลง สิ่งที่เขาแปลกใจยิ่งก็คือ ครั้งนี้สตรีเทพพิโรธไม่เหมือนคนเดิมที่เขาเคยรู้จักโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงไม่ใช่สตรีปีศาจที่สังหารทุกคนที่ขวางหน้า ตรงกันข้ามนางกลับรู้จักยับยั้งตัวเอง นางระงับตัวตนและปกปิดกลิ่นอาย ลูกไม้ที่นางใช้เมื่อครู่ ทำให้ผู้คนเห็นเพียงเงาดำวาบเดียว และไม่อาจเห็นร่างจริงของนางได้ชัด
ฟงเลี่ยไม่ตื่นตระหนก ใช้มุมหางตามองกลับไปแล้วแค่นเสียงกล่าว “ผู้เยาว์อย่างเจ้านับว่าคู่ควรยกย่องในความกล้าหาญอย่างแท้จริง แต่เจ้าจะต้องเสียใจกับผลลัพธ์ ในอาณาจักรต้าฟงแห่งนี้ เมื่อเจ้าจับข้าเป็นตัวประกัน ต่อให้เจ้าถูกสับเป็นพันชิ้นก็ยังไม่สาสม!”
“งั้นรึ? แต่ถ้าข้าเคลื่อนกระบี่อีกนิดเดียว เจ้าจะไม่ได้อยู่เห็นข้าค่อยๆตายอีกต่อไป” เย่หวูเฉินตอบด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ ค่อยๆเคลื่อนกระบี่เล็กน้อย สร้างความแตกตื่นให้แก่องค์ชายแหละเหล่าขุนนาง
“เฮอะ! ข้าแนะนำให้เจ้าปล่อยข้าเสียดีกว่า ข้าจะรับรองความปลอดภัยให้เจ้าไปจากที่นี่ เพื่อเห็นแก่ความทุ่มเทสุดใจในการปกป้องพี่สาว ตราบเท่าที่เจ้าไม่เหยียบเท้าเข้ามายังอาณาจักรต้าฟงอีก ข้าจะละเว้นและลืมเรื่องที่เจ้าจับข้าเป็นตัวประกันและทำร้ายหลิงเอ๋อร์ พี่สาวเจ้าจะยังคงเป็นอัครชายาแห่งรัชทายาทต้าฟง! แต่หากเจ้ายังดื้อดึงฝืนทำผิด….” ฟงเลี่ยหรี่ตาลง “จะไม่มีพวกเจ้าคนใดที่มีชีวิตรอดออกไปจากที่แห่งนี้ พรุ่งนี้ข้าจะเขียนสานส์ประกาศสงครามกับอาณาจักรเทียนหลงอีกครั้ง และเข้ารุกรานทลายให้ราบเป็นหน้ากลอง!”
หัวหน้าราชองครักษ์ที่สวมเกราะหนักก้าวเข้ามาใกล้ เขาตะโกนออกไปอย่างแกร่งกร้าว “เฮอะ หากเจ้ากล้าทำร้ายแม้เศษเส้นผมของฝ่าบาท….”
ฉึบ!
คมกระบี่ในมือของเย่หวูเฉินกดลง บาดเป็นแผลลึกบนลำคอของฟงเลี่ย โลหิตพุ่งออกมา ใบหน้าฟงเลี่ยบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“แล้วตอนนี้เจ้าจะทำอะไรต่อ?” เย่หวูเฉินมองไปที่หัวหน้าราชองครักษ์ ใบหน้าเผยรอยยิ้มไร้ปราณี
ใบหน้าของหัวหน้าราชองค์รักษ์กลายเป็นซีดเผือด เขารีบถอยหลังกลับ ทุกผู้คนล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง