“อือ…..” หนิงเสวี่ยค่อยๆตื่นขึ้นมา นางขยี้ตางัวเงียถามครึ่งหลับครึ่งตื่น “ท่านพี่ พวกเราถึงแล้วเหรอ?”
“ยังหรอก ตอนนี้เจ้าหิวรึยัง? อยากกินอะไรไหม?” เย่หวูเฉินถามด้วยความรักใคร่
หนิงเสวี่ยไม่ได้ตอบออกไปทันที ด้วยความงัวเงีย นางจึงถามคำถามที่สงสัยมาตลอด “พวกเราจะชิงตัวพี่สาวกลับมาได้จริงเหรอ?”
“ได้แน่นอน” เย่หวูเฉินยิ้มและกล่าว “แต่ระหว่างนั้นคงมีอันตรายมากมาย เมื่อถึงตอนนั้น เสวี่ยเอ๋อร์จะต้องหลับตาของเจ้าลง และอย่ากลัว เจ้าเข้าใจรึเปล่า?”
ไปยังอาณาจักรต้าฟง เป้าหมายคือชิงตัว ไม่ใช่การร้องขอหรือต่อรอง เป้าหมายของเขาครั้งนี้คือใช้กำลัง สนธิสัญญาฉาบฉวยระหว่างหลงหยินกับอาณาจักรต้าฟงเป็นเพียงเรื่องตลกในสายตาเขา หากอาณาจักรต้าฟงเคลื่อนทัพมายังอาณาจักรเทียนหลงจริงๆ สิ่งแรกที่พวกมันจะได้พบคือคำเตือนจากสำนักจักรพรรดิใต้ และต่อให้สำนักจักรพรรดิใต้ไม่เคลื่อนไหว อาณาจักรทั้งหลายก็รบรากันอยู่แล้ว เป็นธุระเกี่ยวกับเขาอันใด? เขาไม่เคยต้องการเป็นผู้กล้า เขาเพียงอยากใช้พลังปกป้องคนสำคัญที่อยู่รอบกาย สิ่งอื่นๆดูคล้ายไร้ความหมายสำหรับเขา อย่างมากที่สุด เขาก็แค่ออกแรงแก้ปัญหาเท่าที่จำเป็น
“ท่านพี่… ตัวข้าช่างไร้ประโยชน์จริงๆ ทุกครั้งข้าเป็นได้เพียงภาระสำหรับท่าน… แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องการแยกจากกับท่านพี่” หนิงเสวี่ยเม้มริมฝีปากด้วยอารมณ์เศร้าสลด นางรู้มาตลอดว่าการเกาะติดอยู่ข้างเขา นางไม่เพียงไม่อาจช่วยเขาได้เหมือนทงซิน แต่นางยังเป็นได้เพียงภาระสำหรับเขา
เย่หวูเฉินลูบใบหน้าเล็กๆของนาง แกล้งทำเป็นตำหนิขณะกล่าว “อย่าได้พูดโง่ๆแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นพี่ชายเจ้าจะโกรธแล้ว เจ้ายังจำได้หรือเปล่าว่าตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเจ้า วันนี้คงไม่มีพี่ชายเจ้ายืนอยู่ตรงนี้ สำหรับข้าแล้ว เจ้าไม่มีวันกลายเป็นภาระ เข้าใจมั้ย?”
หนิงเสวี่ยไม่ตอบคำ นางเพียงซุกร่างกลับเข้าไปในอ้อมแขนเขา อากาศข้างนอกเริ่มหนาวเย็นลงอย่างแท้จริง มีเพียงในอ้อมแขนของพี่ชาย ที่เป็นสถานที่สุขสบายที่สุขในโลก
หยุดพักเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เย่หวูเฉินนำม้าออกมาจากหมู่บ้าน ควบม้าตะบึงเต็มความเร็วมุ่งหน้าไปทางตะวันตกอีกครั้ง
หลังผ่านยามย่ำค่ำ ก็เป็นเวลารัตติกาล ตามติดด้วยเวลารุ่งอรุณ ในช่วงเวลาเหล่านี้ ทุกครั้งที่ผ่านหมู่บ้านหรือตัวเมือง เย่หวูเฉินจะใช้ความเร็วสูงสุดสับเปลี่ยนม้าตัวใหม่ ระหว่างค่ำคืนที่ยาวนาน ร่างของเขาชุ่มโชกด้วยหยดน้ำค้าง แต่กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และม้าวิ่งช้าเกินไป
หลังผ่านรุ่งอรุณก็เป็นเวลาเช้า พวกเขาเข้าใกล้เมืองเทียนฟงขึ้นเรื่อยๆ ด้านทิศตะวันออกของอาณาจักรต้าฟง นอกจากอากาศที่ค่อนข้างแห้ง อย่างอื่นล้วนไม่ต่างไปจากอาณาจักรเทียนหลง เมื่อถึงตอนกลางวัน ในที่สุดเมืองเทียนฟงก็ปรากฎต่อสายตาของเย่หวูเฉินผู้กังวล เขาถอนใจยาวด้วยความโล่งโจ
ในตอนที่ฟงหลิงอาศัยพลังของฟงเฉาหยาง เดินทางจากเมืองเทียนฟงมาสู่เมืองเทียนหลงโดยใช้เวลาเพียงสามวัน ตอนนั้นก็นับว่าอัศจรรย์มากแล้ว แต่เย่หวูเฉินกลับใช้เวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน เรื่องนี้กล่าวได้เพียงว่าโลกตะลึง กำลังหลักที่เขาพึ่งพิงคือความเร็วอันน่าหวาดหวั่นของทงซิน
เวลานี้ม้าร้องดังขึ้น ม้าที่อยู่ด้านใต้ก้าวสะดุดแล้วล้มลงอย่างหนักหน่วง เย่หวูเฉินอุ้มหนิงเสวี่ยกระโดดลงพื้นอย่างรวดเร็ว เขาไม่กล้ารอช้า ยื่นมือออกตบม้าเบาๆ มันตัวแข็งทื่อหายใจหอบหนักร่างกายบิดเกร็ง เขากล่าว “ขอบคุณที่พยายามอย่างหนัก จงพักผ่อนให้สบาย”
“ช่วยด้วย….. ฮืออ ฮืออ พี่ชาย ช่วยข้าที….”
ขณะที่เย่หวูเฉินกำลังจะก้าวไปต่อ ก็พลันได้ยินเสียงของสาวน้อยร้องไห้ขอความช่วยเหลือ น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลและน่าสงสาร ขณะที่กังวลอยู่ชั่วขณะ เย่หวูเฉินไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนอยู่ถัดออกไปด้านข้าง
เขาเหลือบมองไปด้านข้างและเห็นร่างน้อยๆซุกอยู่กลางป่าหญ้าข้างถนน เนื่องจากหญ้านั้นสูงเกินไป ร่างเล็กๆของสาวน้อยจึงเกือบถูกหญ้าแห้งบดบังทั้งตัว หากไม่มองอย่างสังเกต ผู้คนที่ผ่านไปมาย่อมไม่อาจเห็นนางได้โดยง่าย
เย่หวูเฉินลังเลอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดเขาก็ใจอ่อน จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไป และพบว่านางเป็นสาวน้อยอายุรุ่นราวเดียวกับหนิงเสวี่ย เสื้อผ้าของนางฉีกแหว่งหลายจุด บนศีรษะมีผมหางม้าอยู่สองสาย ใบหน้างดงามและน่ารัก แต่บนใบหน้านั้นมีรอยคราบน้ำตาแห้ง นางกุมเท้าขวาขณะนั่งอยู่ ร้องไห้เสียงเบาเพราะความเจ็บปวด มองมาที่เย่หวูเฉินอย่างน่าสงสาร
“ท่านพี่ ดูเหมือนนางบาดเจ็บ พวกเราช่วยนางได้ไหม?” หนิงเสวี่ยรู้ว่าพวกตนมีเรื่องเร่งด่วนอยู่ในมือ แต่จิตใจอ่อนโยนของนางทำให้ไม่อาจเพิกเฉยต่อสาวน้อยที่อายุใกล้กันและกำลังบาดเจ็บอยู่
“พี่ชาย เท้าของข้าเจ็บเหลือเกิน… ท่านช่วยพาข้ากลับบ้านได้ไหม….” ดวงตาของสาวน้อยต้องประกายด้วยหยาดน้ำตา นางกล่าวสะอึกสะอื้น
เท้าข้างหนึ่งของนางดูบิด ดูเหมือนถูกทุบด้วยบางอย่างจนผิดรูป แต่ดูแล้วไม่ใช่เรื่องหนักหนามากมาย เย่หวูเฉินไม่ต้องการเสียเวลา ไม่ไต่ถามนางใดๆ เพียงย่อกายลงแล้วจับที่เท้านาง เขาบิดข้อมือจนเกิดเสียง “กร๊อบ” พร้อมกับเสียงสาวน้อยตะโกนร้องอย่างเจ็บปวด ข้อเท้าของนางกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม จากนั้นจึงใช้พลังหวูเฉินรักษาอาการบาดเจ็บข้างใน ความเจ็บปวดของนางทิ้งหายไปโดยสิ้นเชิง
เย่หวูเฉินยืนขึ้น มองสาวน้อยที่กำลังจ้องตากลมโต สีหน้าไม่อยากเชื่อขณะจับเท้าตัวเอง เขากล่าว “ตอนนี้หายดีแล้ว เจ้ารีบกลับบ้านไปเสีย วันหน้าอย่าออกมาไกลจากบ้านของตัวเองอีก”
“….ขอบคุณพี่ชาย พี่ชายจะบอกชื่อของท่านได้หรือเปล่า….อ๊า! พี่ชาย!”
ก่อนที่นางจะกล่าวจบ เย่หวูเฉินก็จากไปแล้วราวกับลมพัด หายไปต่อหน้าต่อตา นางทำได้เพียงจ้องมองจากเบื้องหลัง ราวกับตื่นตะลึงอย่างโง่งม
เมื่อร่างของพวกเขาหายไปจากสายตา สีหน้าของสาวน้อยกลับเปลี่ยนไปสิ้น แทนที่ด้วยความทะมึนและเย็นเยียบ นางค่อยๆยืนขึ้นช้าๆ มองไปยังทิศทางที่พวกเขามุ่งหน้าไป มุมปากยกเป็นรอยยิ้มที่น่าหวาดกลัว “ที่แท้ก็เป็นพวกนาง คนหนึ่งสูญสิ้นพลัง อีกคนก็ถูกลดทอนพลังลงไปมาก…”
“แต่ว่าพลังที่คนผู้นั้นใช้เมื่อครู่นี้คืออะไร?”
ผู้คนที่มายังเมืองเทียนฟงนั้นคึกคักหลากหลาย เมื่อเย่หวูเฉินหน้าใหม่ทั้งสามเข้าไปในเมืองจึงไม่ถูกซักไซ้ใดๆ ขณะที่พวกเขาเดินไปตามท้องถนน ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างเลิกคิ้วขึ้นและมองอย่างสงสัยตามๆกัน
อากาศของที่นี่แห้งกว่าเมืองเทียนหลง ร้านค้าและเสื้อผ้าไม่ได้หรูหราเหมือนเช่นเดียวกัน เย่หวูเฉินตั้งใจฟังเสียงสนทนาของผู้คนบนท้องถนน คิ้วของเขาขมวดชิดติดกันแน่นขึ้น การเดินทางหนึ่งวันหนึ่งคืนสำหรับเขานับเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เมื่อวานนี้เย่ฉุ่ยเหยาได้มาถึงที่นี่ วันนี้นางจะแต่งงานกับรัชทายาท
เขาสุ่มดึงคนบนท้องถนนมาผู้หนึ่งแล้วรีบถาม “ราชวังอยู่ทางไหน?”
สำหรับผู้คนในเมืองเทียนฟง คำถามนี้นับว่าธรรมดา ก่อนที่ชายผู้นั้นจะทันได้ตอบ เขาก็ยกมือชี้นิ้วไปทางราชวังโดยสัญชาตญาณทันที
เย่หวูเฉินปล่อยเขาแล้วรีบตรงไปยังทิศทางของราชวัง เขาเชื่อว่ายังพอมีเวลา
พี่หญิง ในเมื่อทางที่ท่านเลือกนั้นผิด เช่นนั้นให้ข้าได้ช่วยท่านเลือกทางที่ถูกต้อง
ราชวังแห่งอาณาจักรต้าฟงประดับไปด้วยโคมไฟและริ้วธงทุกหนแห่ง บรรยากาศดูชื่นมื่น แขกเหรื่อจากทุกทิศเข้ามาทีละคน งานสมรสครั้งใหญ่ของรัชทายาทย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เนื่องจากถูกจำกัดด้วยเวลา แขกเหรื่อที่มาร่วมงานส่วนใหญ่จึงมาจากเมืองเทียนฟง
ท้องพระโรงหลวนฟงเป็นสถานที่จัดงานสมรสใหญ่ในราชวังต้าฟง แน่นอนว่านอกจากเหล่าโอรสและหลานชายของจักรพรรดิ ก็มีเหล่าผู้ดูแลงานคอยต้อนรับแขกเหรื่อที่เข้ามาที่นี่ รวมไปถึงผู้ที่จักรพรรดิอนุญาต
เบื้องหน้าศาลาเหยาฟงของเย่ฉุ่ยเหยา เสียงกลองดังอย่างขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิงโตร่ายรำเป็นจังหวะตาม ตรงทางออกมีเกี้ยวห้าหลังแต่ละหลังหามด้วยแปดคน เป็นสีแดงสามและน้ำเงินสอง เกี้ยวหลังแรกคือเกี้ยวแต่งงานสำหรับเย่ฉุ่ยเหยา ตัวเกี้ยวมีม่านแดงและหลังคาเขียว ด้านบนมีหงส์มังกรสัญลักษณ์แห่งความโชคดี พู่ไหมสีทองห้อยอยู่ตรงสี่มุม เกี้ยวอีกสี่คือเกี้ยวตามธรรมเนียม เกี้ยวแดงสองหลังสำหรับพี่เลี้ยงเจ้าสาว เกี้ยวน้ำเงินสองหลังหุ้มด้วยผ้าขนสัตว์สีน้ำเงิน ด้านบนประดับด้วยมงกุฎทองแดง สองเกี้ยวนี้สำหรับเจ้าบ่าวและพี่เลี้ยง
เสียงโห่ร้องฉลองทำให้ศาลาเหยาฟงสิ้นความสงบ เย่ฉุ่ยเหยาราวกับท่อนไม้ขณะที่สาวใช้ช่วยกันสวมชุดแต่งงานให้ ศีรษะนางตอนนี้ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมแดง นางรู้ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง แม้ว่ามันมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้ หากแต่แทนที่หัวใจนางจะหวั่นกลัว นางกลับเงียบสงบผิดธรรมดา ราวกับผิวน้ำที่ไร้ระลอกชีวิต
ชั่วขณะที่นางออกจากเมืองเทียนหลง หัวใจนางเหมือนได้สลายไปแล้ว ชีวิตนางกลายเป็นความว่างเปล่า ความดีใจ , โศกเศร้า , รักใคร่ , ไม่ใส่ใจ ทุกอย่างที่นางเคยมี… ตอนนี้ได้กลายเป็นอดีตที่ไม่อาจหวนคืน ในบ้านเมืองใหม่แห่งนี้ ทุกสิ่งที่นางมีคือเท่ากับ….ศูนย์ ราวกับจากโลกหนึ่งไปยังโลกใหม่ที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง
สาวใช้ที่คาดว่าทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเจ้าสาวเกลี้ยกล่อมเย่ฉุ่ยเหยาอยู่นาน แต่เย่ฉุ่ยเหยายังคงไม่เคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย ยังคงนึกถึงว่าการเดินทางนี้จะจบลงอย่างไร ขณะที่สาวใช้เริ่มเหน็ดเหนื่อยกับการโน้มน้าว เย่ฉุ่ยเหยาก็ยืนขึ้นทันทีแล้วเดินไปที่ประตู ใบหน้านางยังคงเย็นชา ราวปทุมแรกแย้มในโลกโกลาหล
ประตูถูกผลักออก เย่ฉุ่ยเหยาเดินออกมาในชุดแดง ฟงหลิงที่รออยู่ด้านนอกอย่างร้อนใจพลันรู้สึกยินดี สาวใช้สองคนที่แต่งกายในชุดแดงรีบตรงไปเบื้องหน้า พยุงเย่ฉุ่ยเหยาขณะก้าวขึ้นเกี้ยว
“เฮอะ! อวดดีจริงๆ ต้องรอนานนักกว่าจะออกมาได้” สตรีที่อยู่ด้านข้างฟงหลิงแค่นเสียงเย็นชา นางยืนกรานจะตามเขามาเป็นพี่เลี้ยงเจ้าสาว ชื่อของนางคือฟงรู่ นางดูอายุราว 20 ปี เป็นน้องสาวคนเล็กร่วมมารดาของฟงหลิง แม้ว่านางจะเป็นสตรี แต่นางดูออกไปทางแข็งแรงมากกว่า คิ้วเข้มหนาและตาโต หน้าตาดูกล้าหาญและกระฉับกระเฉง โดยปกตินางจะเชื่อฟังเฉพาะฟงหลิง อุปนิสัยของนางต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมองค์หญิงอายุขนาดนี้แล้วยังไม่ได้แต่งงาน
ฟงหลิงจ้องนางอย่างดุดัน นางกลายเป็นเงียบงันแล้วหันหน้าหนีอย่างโกรธเคือง
ท่ามกลางเสียงฆ้อง กลอง เป่า และมังกรร่ายรำ ในที่สุดขบวนแต่งงานก็เคลื่อนออก เสียงโห่ร้องดังตลอดทางที่มุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงหลวนฟง
“หยุด ราชวังเป็นเขตหวงห้าม ทุกคนที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องห้ามเข้า” ราชองครักษ์ขวางเย่หวูเฉินไว้อย่างถมึงทึง เขามองเย่หวูเฉินอย่างรอบคอบ พวกเขาคุ้นหน้ากับเหล่าคนที่ผ่านเข้าออกราชวัง ดังนั้นพวกเขาจะปล่อยให้เย่หวูเฉินผู้แปลกหน้าเข้าไปได้อย่างไร
เย่หวูเฉินยังคงสงบและกล่าวอย่างสุภาพ “พี่ชาย โปรดไปแจ้งพวกเขาให้ด้วยว่า ตระกูลเย่แห่งอาณาจักรเทียนหลงส่งคนมาร่วมงานสมรสครั้งใหญ่ของรัชทายาท”
“เจ้ามีหนังสือยืนยันหรือไม่?” ราชองครักษ์ไม่ยอมและตอบกลับอย่างเย็นชา
“ไม่มี” เย่หวูเฉินย่นคิ้ว น้ำเสียงกลายเป็นทุ้มลึก ขณะเดียวกันเขาก้าวไปเบื้องหน้า ชนเข้ากับราชองครักษ์แล้วสืบเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“บังอาจ!” ราชองครักษ์คำราม นอกจากเขาแล้วยังมีอีกกว่าสิบคนตรงเข้ามา ถือกระบี่ขวางกั้นเส้นทางของเย่หวูเฉินไว้
เย่หวูเฉินไม่หยุดฝีเท้า ใช้น้ำเสียงไม่แยแสสั่งการสังหารกับทงซิน “ใครขวางข้าตาย!”
เมื่อสิ้นเสียงของเย่หวูเฉิน เส้นแสงสีแดงเย็นเยียบวาบออกมาปรากฎอยู่บนลำคอของสามคนที่ถือกระบี่ขวางทางเย่หวูเฉินอยู่ จากนั้นพวกเขาดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพังพาบลงใบหน้าหันขึ้นฟ้า