ราวกับรวงผึ้งถูกแหย่ สัญญาณเตือนดังขึ้นในราชวังบริเวณทางเข้า องครักษ์ชุดแดงกลุ่มใหญ่กรูกันออกมา เย่หวูเฉินขมวดคิ้วแน่นเข้าด้วยกัน สีหน้าเย็นชาอย่างจับจิต เขาพุ่งทะยานร่างตรงลึกเข้าไปในราชวัง เหล่าองครักษ์ที่กั้นขวางยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกเชือดโดยกริชเทพพิโรธของทงซิน พวกมันควรรู้สึกสำนึกขอบคุณ หากทงซินยังเป็นสตรีเทพพิโรธคนเก่า ศพของพวกมันย่อมไม่ใช่ซากร่างที่สมบูรณ์
พวกองครักษ์แห่แหนกันออกมาราวกลับคลื่นน้ำ แต่แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเขาได้ พวกมันทำได้เพียงเอะอะไล่หลังไป จากนั้นไม่นานพวกมันก็คลาดสายตาจากเขา
ท้องพระโรงหลวนฟงเนืองแน่นไปด้วยแขกเหรื่อ ฟงเลี่ยฉีกยิ้มถึงใบหูขณะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งสูงสุด ใบหน้าไร้ความน่าเกรงขามเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่แทนที่ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขใจ ไม่นานนักมีเสียงฆ้องกับกลองดังขึ้นด้านนอก ทุกคนยืนขึ้นตามกัน มองออกไปด้วยใบหน้าปั้นยิ้ม
เย่ฉุ่ยเหยาในชุดแดงถูกประคองมาโดยพี่เลี้ยงเจ้าสาว ก้าวย่างแข็งทื่อราวกับเดินผ่านกระทะไฟ งานแต่งสมควรเป็นช่วงเวลาสุขสันต์ของชีวิตสตรี แต่สำหรับเย่ฉุ่ยเหยาแล้ว กลับเป็นความทุกข์ขื่นระทม ในบ้านเมืองที่ไม่เคยคุ้น งานแต่งที่ไร้เงาของพ่อแม่ ไม่มีคนรู้จักแม้สักคน และไม่มีใครถามความเห็นของนาง นางราวเป็นเพียงหุ่นกระบอก เคลื่อนกายอย่างแข็งทื่อ แต่ในเมื่อเป็นทางที่นางเลือกเอง นางจึงไม่ควรเสียใจ นางยอมทำลายตัวเองดีกว่าทำลายตระกูลเย่ ยิ่งกว่านั้นนางไม่ต้องการทำลาย…เย่หวูเฉิน
สวรรค์มอบทางเลือกที่แสนเจ็บปวดให้กับนาง เพื่อประโยชน์ของตระกูลเย่ และเพื่อเย่หวูเฉิน นางจ่ายราคาด้วยอนาคตของตน และเป็นนางเองที่เลือกเส้นทางนี้
ฟงเลี่ยหัวเราะร่า วันนี้เขาเว้นไว้หนึ่งวันเพื่อเป็นเจ้าภาพการแต่งงาน เขาอดใจไม่ได้ที่จะให้ฟงหลิงแต่งงานกับเย่ฉุ่ยเหยาผู้พึ่งเพียงมาถึงอาณาจักรต้าฟง ทั้งที่นางยังไม่ทันได้ปรับตัวปรับใจ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลอยู่
คนหนึ่งราวเดินผ่านกระทะร้อน คนหนึ่งดั่งศรธนูแดง ฟงหลิงและเย่ฉุ่ยเหยาต่างถูกประคองมาโดยพี่เลี้ยงเจ้าบ่าวและพี่เลี้ยงเจ้าสาว พวกเขาเดินตรงเข้ามาที่ใจกลางท้องพระโรงหลวนฟง เสียงรอบข้างต่างอุทานและหัวเราะ ทั้งบุรุษและสตรี ใบหน้าของฟงหลิงประดับไปด้วยรอยยิ้ม ส่งความหมายด้วยสายตาพยักหน้าให้ทีละคน วันนี้ด้วยเครื่องประดับและลักษณะ หน้าตาหล่อเหลาและกิริยายิ่งส่งเสริมความผ่าเผย ทำให้ผู้คนต้องอุทานด้วยความชื่นชม ความสุขสันต์ท่วมท้นในใจอย่างไม่เคยมี เขาเดินตรงไปเบื้องหน้าอย่างสง่างาม หยุดยืนและมองเย่ฉุ่ยเหยาด้านข้างอย่างตั้งอกตั้งใจ เป็นหนแรกที่รู้สึกขอบคุณต่อสถานะรัชทายาทแห่งต้าฟง หากเขาไม่ได้เป็นรัชทายาท กับสตรีที่ไม่อาจไขว่คว้าด้วยบุรุษธรรมดา บางทีเขาอาจทำได้เพียงมองนางอยู่ห่างๆชั่วชีวิต… บางทีอาจไม่มีโอกาสแม้กระทั่งมองนางจากเบื้องหลัง
เย่ฉุ่ยเหยาเดินเป็นหุ่นกระบอก ประคองแขนเดินมาโดยพี่เลี้ยงเจ้าสาว เมื่อพี่เลี้ยงเจ้าสาวหยุดลงจึงรั้งนางหยุดตาม ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างโห่ร้องยินดี นางไม่คิดฟังเสียงของพวกเขา นางยืนอยู่ตรงนั้นอยู่ชั่วขณะ บุรุษผ่าเผยดูคล้ายจะกล่าวบางอย่าง แต่นางไม่อาจได้ยินชัดเจน โลกรอบกายทำให้นางมึนงง นางไม่คุ้นชินกับพวกมัน
ฟงเลี่ยใช้น้ำเสียงองอาจกล่าวเปิดพิธีงานแต่ง ทุกสายตาจับจ้องที่ฟงหลิงกับเย่ฉุ่ยเหยา คนส่วนใหญ่ต่างมองไปที่นาง ด้วยประเพณีของอาณาจักรต้าฟง ก่อนการคุกเข่าคำนับฟ้าดิน เจ้าบ่าวจะต้องเปิดผ้าคลุมศีรษะของเจ้าสาวออกก่อน ผู้คนในที่นี้ส่วนใหญ่เคยได้ยินชื่อเสียงความงามอันเลื่องลือของเย่ฉุ่ยเหยา หากแต่พวกเขายังไม่เคยเห็นนาง ทุกคนล้วนสงสัยว่าธิดาตระกูลเย่ผู้นี้จะงามเหนือล้ำสักปานใด ถึงขนาดทำให้องค์ชายรัชทายาทงมงายหัวปักหัวปำ
ฟงหลิงมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาเพื่อเปิดผ้าคลุมศีรษะของเย่ฉุ่ยเหยา ในเวลานี้เอง เกิดเสียงเอะอะดังขึ้นภายนอกท้องพระโรง
เย่หวูเฉินคว้าตัวนางกำนัลบางคนมาสอบถาม เขาจึงรู้ว่าเวลานี้เย่ฉุ่ยเหยาอยู่ไหน เขากัดฟันแน่นพุ่งตรงไปอย่างสุดความเร็ว ด้วยความเร็วเหนือล้ำทั้งของเขาและทงซิน ข่าวเรื่อง “มือสังหารบุกรุก” จึงมาถึงช้ากว่าพวกเขา ฟงเลี่ยและฟงหลิงจึงยังไม่รู้เรื่องราว เวลานี้เองฟงเลี่ยขมวดคิ้วแน่น ใบหน้ามืดมนดั่งเมฆทะมึน เขาตะโกนออกไป “เกิดอะไรขึ้น!”
ก่อนจะมีผู้ใดได้ก้าวเข้ามาตอบ โคมแดงสองดวงที่ห้อยอยู่นอกท้องพระโรงได้ร่วงลงพื้น เทียนไฟด้านในจุดโคมทั้งสองลุกไหม้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น มีเงาร่างสีขาวพุ่งเข้ามาจากด้านนอกด้วยความเร็วยิ่งยวด ด้วยรวดเร็วเกินไป ผู้คนจึงเห็นเพียงเงาขาวพุ่งผ่านหน้าสายตา ชั่วพริบตาที่เข้ามาถึง เขาโอบแขนคว้าเอวบางของเย่ฉุ่ยเหยา จากนั้นถอยกลับอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วเวลาสั้นๆ องครักษ์กลุ่มใหญ่ได้ดาหน้าเข้ามายังท้องพระโรงหลวนฟง ปากประตูถูกตรึงกำลังไว้แน่นหนา เย่หวูเฉินพาเย่ฉุ่ยเหยาพุ่งไปอยู่ตรงมุม มือดึงผ้าคลุมแดงออกจากศีรษะนาง
ทั้งสองสายตาประสานจับจ้อง มองดูเย่ฉุ่ยเหยาที่อยู่ใกล้ เย่หวูเฉินยิ้มชื่นใจ เป็นความสุขรักใคร่ที่มาจากหัวใจ เป็นความเสน่หาที่อบอุ่นและนุ่มนวล เย่ฉุ่ยเหยามองตาคู่นั้น ราวถูกฉุดขึ้นจากขุมนรกเยือกแข็ง พุ่งขึ้นฟ้าผ่านหมู่เมฆา ทุกสิ่งเหนือจริงราวกับฝันไป
เพียงเสี้ยววินาทีแห่งสัมผัส น้ำตานางไหลร่วงลง
สำหรับนางแล้ว ในโลกนี้ไม่อาจมีสิ่งใดเปรียบเทียบกับเสี้ยววินาทีแห่งสัมผัสนี้ได้
เย่ฉุ่ยเหยาพิงร่างแน่นอยู่ข้างเขา ลืมสิ้นว่าตอนนี้นางอยู่แห่งไหน เผชิญหน้ากับหลากผู้คน สิ่งเดียวในใจนางยามนี้คือเขา เพื่อนางแล้ว เขาฝ่าฟันมายังอาณาจักรต้าฟงโดยไม่สนสิ่งใด… เทียบกับนางที่พยายามหลีกหนีจากความรู้สึก นางกลายเป็นไม่อาจเปรียบเทียบได้เลย….
และนี่ไม่ใช่ความฝัน เพราะเขากำลังอยู่ข้างนาง กอดนางเอาไว้แน่น สัมผัสช่างเสมือนจริง เป็นกลิ่นที่คุ้นเคย
เขามาหา ฉากที่ปรากฎในฝันเมื่อคืน ตอนนี้กลับปรากฎอยู่เบื้องหน้าราวฝันไป
ชั่วขณะที่ตราตรึงจิต ในหัวใจนางได้กระซิบอย่างเงียบเชียบ….เสี่ยวเฉิน…. หากวันนี้ข้าสามารถไปจากสถานที่แห่งนี่พร้อมกับเจ้าได้ ชั่วชีวิตนี้ ต่อให้ข้าต้องละเมิดศีลธรรมเพราะความสัมพันธ์ ต้องเจ็บปวดทรมานเพราะถูกประณามจากโลกหล้า ข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป
ตอนนี้ทุกผู้คนสามารถมองเห็นได้ชัด เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดสีขาว หล่อเหลาไร้ที่เปรียบปาน อายุยังไม่ถึง 20 ปี เวลานี้องครักษ์หลายร้อยล้อมปากประตูราวคลื่นน้ำ ในท้องพระโรงก็ล้อมเขาไว้ ขณะเดียวกันก็ป้องกันจักรพรรดิ , องค์ชาย และเหล่าขุนนางไว้เบื้องหลัง เขาถูกกดดันให้อยู่ตรงมุม ถูกปิดโอกาสไม่ให้หลบหนี หากแต่สีหน้าเขายังคงเย็นชา ไร้วี่แววหวั่นกลัวแม้เพียงนิดน้อย
ฟงเลี่ยเหงื่อเย็นท่วมทั่วร่าง ด้วยความเร็วเมื่อครู่นี้ หากเป้าหมายของมันไม่ใช่เย่ฉุ่ยเหยา แต่เป็นชีวิตของเขาแทน ตอนนี้ศีรษะเขาคงกระเด็นหลุดไปแล้ว ขณะเดียวกันเขาก็สงสัยว่าเหตุใดฟงเฉาหยางจึงยังไม่ปรากฎตัว หรือจะเป็นเพราะว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีจิตคิดสังหาร?
ไม่ใช่เพราะว่าฟงเฉาหยางไม่ปรากฎตัว หากแต่…. บนหลังคาของท้องพระโรงหลวนฟง ฟงเฉาหยางกำลังถือกระบี่ตัดวายุอยู่ ดวงตาสงบและคมกล้าค่อยๆสั่นสะท้าน เบื้องหน้าเขา สาวน้อยในชุดดำกำลังจูงมือสาวน้อยผมขาว สบตาเผชิญหน้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ดวงตาที่คุ้นเคยและกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นนั้นจ้องตรึงทั่วร่างของเขา ทำให้สองมือนั้นต้องสั่นไหว เนื่องจากนางคือสิ่งที่น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง….สตรีเทพพิโรธ! ปีศาจตนเดียวในโลกนี้ที่ทำให้เขารู้จักถึงคำว่าหวาดกลัว
“รีบจับมันเร็วเข้า!” ฟงเลี่ยยืนขึ้นคำราม
ขณะที่องครักษ์กำลังจะเคลื่อนไหว ฟงหลิงก็ตะโกนบอก “ช้าก่อน!” เขาก้าวออกไปเบื้องหน้าแล้วกล่าว “พระบิดา ตอนนี้ยังไม่สมควรที่จะลงมือ เราควรสอบถามดูก่อน”
ฟงเลี่ยย่นคิ้วและผงกศีรษะ
ฟงหลิงไม่ต้องการให้องครักษ์ลงมือเพราะเกรงว่าเย่ฉุ่ยเหยาอาจบาดเจ็บ สำหรับชายที่อยู่ข้างนางที่บุกรุกเข้ามา เขาปรารถนาสับมันเป็นชิ้นๆ ทำลายงานแต่งใหญ่คือความผิดสถานแรก ตอนนี้เขายิ่งแปลกใจ…. มันกระทั่งกอดเย่ฉุ่ยเหยาไว้แน่นในอ้อมแขน สตรีที่เขาใฝ่ฝัน กระทั่งยังไม่เคยได้สัมผัสแม้แต่ชายเสื้อนาง เย่ฉุ่ยเหยากลับไม่ปฏิเสธมัน ยิ่งกว่านั้นสายตาที่มองกันยังทำให้เขาแผดเผาด้วยเพลิงอิจฉา ต่อให้พันครั้งไม่ปรารถนาก็ไม่อาจปฏิเสธความจริง หัวใจของเย่ฉุ่ยเหยาเป็นของคนอื่น และคนผู้นั้นเดินทางพันลี้เพื่อมายังอาณาจักรต้าฟง บุกเข้ามาในราชวังโดยไม่สนถึงผลลัพธ์ใด
และสำหรับบุรุษผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา , บุคลิกลักษณะ , ความกล้าหาญที่บุกพิธีงานแต่ง , หรือพลังน่าตระหนกที่แสดงออกมา กระทั่งเวลานี้มันกลับยังมีท่าทีสงบเยือกเย็น เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คนผู้นี้เหมาะสมกับเย่ฉุ่ยเหยายิ่งกว่าตน
“คุณชายท่านนี้คือ?” ฟงหลิงยามนี้หม่นหมอง ใช้ความพยายามทั้งหมดกดระงับอารมณ์
เย่หวูเฉินหรี่ตาลง สายตามืดมนมองไปที่รัชทายาทแห่งต้าฟง มันผู้วางแผนเอาตัวเย่ฉุ่ยเหยาไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เย่หวูเฉินแห่งตระกูลเย่!”
ทั่วบริเวณกลายเป็นเงียบกริบ ฟงหลิงสะท้านอย่างหนัก ฟงเลี่ยหัวคิ้วยิ่งชิดติดกัน ตั้งตัวไม่ทันกับคำตอบนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในงานต่างรู้จักกับชื่อนี้ดี บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเย่แห่งเทียนหลง สุดยอดพรสวรรค์อัจฉริยะรุ่นเยาว์ ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ เขามีอีกหนึ่งสถานะพิเศษยิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องหวั่นเกรง…ผู้สืบทอดของเทพกระบี่!
อาณาจักรต้าฟงเป็นประเทศที่ยกย่องผู้กล้า สำหรับฉู่ชางหมิงแล้ว นอกจากความนับถือ พวกเขายังรู้สึกเกรงกลัว
“อาณาจักรเทียนหลง เย่หวูเฉินแห่งตระกูลเย่?” ฟงเลี่ยเลิกคิ้วขึ้นสูง ตะโกนอย่างเย็นชา “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้เจ้าบังอาจบุกรุกเข้ามาในราชวัง สังหารราชองครักษ์ไปมากมาย ขัดขวางงานแต่งของบุตรชายข้า เจ้าจะต้องชดใช้ความผิดที่ก่อ!”
ในอดีตเมื่อเขาแสดงพลังอำนาจ ย่อมทำให้เหล่าขุนนางนายพลตัวสั่นและเงียบงันด้วยความกลัว กระทั่งไม่กล้าหายใจดัง กระนั้นพวกเขากลับเห็นเย่หวูเฉินไร้อาการแม้เพียงนิด สีหน้ายังคงไม่แยแสเหมือนเช่นเคย ไร้ความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง แม้โกรธเกรี้ยวในใจแต่ก็อดชื่นชมไม่ได้ อย่างไรก็ตามฟงหลิงก้าวออกมาแล้วกล่าว “พระบิดา โปรดสงบใจลงก่อน ได้โปรดลองฟังความเห็นของข้า”
เมื่อได้ยินเย่หวูเฉินบอกชื่อออกมา ความรู้สึกหนักอึ้งในอกพลันคลายเป็นอิสระ เรื่องกลับกลายเป็นไม่ใช่อย่างที่เขาคิดไว้ คนผู้นี้แท้จริงแล้วคือน้องชายของเย่ฉุ่ยเหยา ด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในจิตใจ มุมมองต่อเย่หวูเฉินจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ในใจอดไม่ได้และชื่นชมเขา ข่าวลือที่ว่าบุตรชายคนเดียวแห่งตระกูลเย่เป็นมังกรในหมู่มนุษย์ เป็นความจริงแท้ไม่อาจแปรเป็นอื่น แม้ว่ากระทำวันนี้จะจาบจ้วงล่วงล้ำ แต่เฉพาะเพียงความกล้าหาญก็ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบได้ หากแต่สายตาของเย่ฉุ่ยเหยาที่มองกัน สัมพันธ์พี่น้องสมควรแน่นแฟ้น ไม่เช่นนั้นเย่หวูเฉินคงไม่กระทำบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ ดังนั้น… หากวันนี้เย่หวูเฉินต้องเจ็บหนัก เย่ฉุ่ยเหยาย่อมต้องชิงชังเขา กลับกันหากเขาสามารถปกป้องเย่หวูเฉินจากการกระทำ เย่ฉุ่ยเหยาจะต้องรู้สึกขอบคุณ และนางย่อมมีมุมมองต่อเขาเปลี่ยนไป ไม่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเย็นชา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขากลับยินดีที่เย่หวูเฉินบุกรุกเข้ามาอย่างอุกอาจ จากนั้นเผชิญหน้ากับเหล่าองครักษ์ที่จ้องเย่หวูเฉินตาเป็นมัน เขากล่าว “วางอาวุธของพวกเจ้าลงซะ”
เหล่าองครักษ์ลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นเก็บกระบี่กลับ พวกเขาถอยออกมาเล็กน้อย สีหน้าดวงตายังคงจับจ้องไม่ละวาง