📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 568

บทที่ 568 - ขั้นศิลาทดสอบ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

สีของหยาดเลือดเป็นสีทองดั่งโลหิตของเทพเซียนที่ใสดุจอัญมณี

เมื่อสัมผัสอย่างระมัดระวัง ก็ยังสามารถรับรู้ถึงจังหวะวิถีเร้นเทวะจำนวนหนึ่งที่รวมอยู่ด้วย น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง

ชิ! ชิ!

สิ่งที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือหยาดโลหิตก้อนนี้กำลังดิ้นรนไม่หยุดบนฝ่ามือของซูอี้ ราวกับว่ามันมีชีวิต และพลังที่ปล่อยออกมายิ่งทวีคูณความแข็งแกร่ง

ด้วยวิถีเต๋าของซูอี้แล้วจำเป็นต้องใช้กลวิธีกักขังที่เรียกว่า ‘หัตถ์กักขุนเขาจองจำสายธาร’ เพื่อหยุดมันไว้ให้มั่น

“มันดูเหมือน… เลือดของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ที่มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์รวมอยู่ด้วยจาง ๆ…”

ซูอี้เองก็ตกตะลึงเช่นกัน

ทันใดนั้นเขาก็เกิดความคิดมากมายขึ้น “หากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ยังคงอยู่ในภูเขาพระสุเมรุแห่งนี้ จะต้องต้านทานต่อการกัดกร่อนของ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ได้อย่างแน่นอน”

“อย่างไรก็ตาม วัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ยังเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดขึ้นในแหล่งกำเนิดโลกด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่หายากยิ่ง หากสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ตกอยู่ในครอบครองหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับอิทธิพลของ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ เลย”

“แต่หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุกลับถล่มลงไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาแล้ว ค่อนข้างแปลกทีเดียว”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ในภูเขาพระสุเมรุแห่งนี้ เดิมทีไม่ได้เป็นของหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุอยู่แล้ว?”

“น่าสนใจ สถานที่แห่งนี้จะต้องมีความลึกลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่แน่!”

ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจความลึกลับได้อย่างถ่องแท้ แต่การค้นพบใหม่ที่อยู่เบื้องหน้ากลับปลุกสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นของซูอี้ให้ตื่นขึ้น

เขากักขังเลือดสีทองเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเก็บมันเข้าไป

“ศิษย์พี่ซู ของชิ้นเมื่อครู่คืออะไรหรือ?”

เหวินซินจ้าวเอ่ยถาม

สายตาของคนอื่น ๆ จับจ้องไปยังซูอี้เช่นกัน

โดยเฉพาะเหมยเหยียนไป๋และพรรคพวก แววตาราวกับได้พบที่พึ่งอย่างไรอย่างนั้น

“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจนัก บางทีคงต้องรออาจได้พบอีกในภายหลัง”

ซูอี้มองไปยังพวกเหมยเหยียนไป๋ “ด้วยกำลังของพวกเจ้าแล้ว ล่าถอยออกจากไปจากที่แห่งนี้จะเป็นการดีกว่านะ”

เหมยเหยียนไป๋กล่าวอย่างขมขื่น “ข้าและคนอื่น ๆ ติดกับดักแม้ว่าจะอยากไปก็ไม่สามารถไปได้”

ซูอี้หยิบม้วนหยกโบราณเปล่าออกมา ใช้จิตสัมผัสของเขาสลักแผนที่เส้นทางลงไป “เดินไปตามเส้นทางที่อยู่ด้านบนนี้ แล้วพวกเจ้าจะออกไปได้เอง”

เหมยเหยียนไป๋รีบใช้สองมือรับมันมาราวกับได้สมบัติล้ำค่า แล้วกล่าวอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณสหายเต๋าซูอย่างยิ่งสำหรับความช่วยเหลือของท่าน!”

เฟิงจื่อตู เฉียนอวิ๋น และเนี่ยหลีก็แสดงความเคารพเช่นกัน “ขอบคุณสหายเต๋าซูอย่างยิ่ง!”

ทุกคนต่างตื่นเต้นและมีความสุขเป็นอย่างมาก

เมื่อได้เห็นภาพนี้ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “ข้าแย่งชิงสมบัติของพวกเจ้าไป การช่วยพวกเจ้าย่อมเป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว”

เหมยเหยียนไป๋และพรรคพวกรู้สึกอับอาย

“ศิษย์พี่ซู เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น อย่างที่ท่านว่าไว้ในคราแรก มันเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงโอกาส ไม่มีผิดมีถูก หากข้าและคนอื่น ๆ พ่ายแพ้ การมอบสมบัติล้ำค่าให้ก็ถือเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว”

เหมยเหยียนไป๋สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “การที่ศิษย์พี่ซูละเว้นเรื่องในครั้งนี้เพื่อชี้แนะหนทางการดำเนินชีวิตให้กับพวกข้า ช่างเมตตากรุณาเป็นอย่างยิ่ง แม้จะสายเกินไปที่จะซาบซึ้งต่อท่าน แต่ข้าย่อมไม่กล้าไปคิดทวงถามเรื่องที่ผ่านมาหรอก”

เฟิงจื่อตูและคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้า

เมื่อเห็นเหมยเหยียนไป๋กับพรรคพวกที่จัดแจงเปลี่ยนอาวุธเป็นแพรไหม*[1] พวกเหวินซินจ้าวก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

การมีศัตรูและคู่ต่อสู้น้อยลงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด

“ไปกันเถิด”

ซูอี้ไม่รอช้าและพาพวกเหวินซินจ้าวมุ่งหน้าต่อไปทันที

ฉันพลันเฉียนอวิ๋นก็ได้เอ่ยรั้งเอาไว้ สีหน้าแลดูลังเล “สหายเต๋าซู ข้ามีคำขอร้องอันไร้เหตุผลหนึ่งคำขอ ในการเดินทางครั้งต่อไป หากสหายเต๋าซูพบกับโต้วโค่ว โปรดช่วยนาง… ได้หรือไม่?”

ภาพของสตรีผู้งดงามทรงเสน่ห์พลันปรากฏขึ้นในใจของซูอี้ เขายังจำพรสวรรค์หายากยิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของอีกฝ่ายได้อยู่เลย

เขาตอบกลับทันที “หากข้าได้เจอ จะไม่ยืนอยู่เฉย ๆ เป็นแน่”

เฉียนอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก โค้งคำนับ “ขอบคุณสหายเต๋าซูเป็นอย่างยิ่ง!”

และในไม่ช้าซูอี้กับพรรคพวกของเขาก็หายไปยังส่วนลึกของหมอกอันกว้างใหญ่

เหมยเหยียนไป๋กับคนอื่น ๆ พากันถือม้วนหยกโบราณที่ได้รับมาจากซูอี้แล้วมุ่งหน้าไปยังภูเขาพระสุเมรุด้วยความไม่คุ้นชิน

หนึ่งชั่วยามต่อมา

ครึ่งทางบนภูเขาพระสุเมรุ

กลุ่มของซูอี้มาถึงจุดหมายปลายทางอย่างราบรื่น

สิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตาคือสิ่งปลูกสร้างที่เรียงกันเป็นแถว แต่พวกมันกลับพังทลายและกลายเป็นซากปรักหักพังไปหมดแล้ว

เมื่อกวาดสายตามองรอบ ๆ จะเห็นว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้น เป็นภาพที่เต็มไปด้วยความรกร้างและแห้งแล้ง

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่อันน่าสลดใจขึ้นที่นี่มาก่อน?”

เหวินซินจ้าวถามความประหลาดใจ

เก๋อเฉียนรู้สึกผิดหวัง “แต่ไม่ว่าจะมีการต่อสู้หรือไม่ก็ตาม สถานที่เลวร้ายและย่ำแย่เช่นนี้จะมีโอกาสที่มันมาซ่อนหรือ”

“ของที่ต้องใช้โชคในการพบ จะพบเจอโดยง่ายดายได้อย่างไรเล่า”

ซูอี้มองขึ้นไปด้านบน “แต่ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มันจะไม่อยู่ในภูเขาลูกนี้”

ว่าจบเขาก็เดินไปอีกฟากหนึ่งของซากปรักหักพัง

เมื่อเดินพ้นออกมาก็มีเส้นทางปรากฏขึ้นและนำไปสู่ยอดเขา ความกว้างของมันคือสิบจั้ง ปูขั้นบันไดด้วยศิลาสีดำทุกชั้น

ตอนที่ซูอี้และคนอื่น ๆ เดินทางมาถึง พวกเขาเห็นในทันทีว่ามีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นบนขั้นบันไดศิลาแห่งนี้ แต่อยู่ในชั้นที่สูงมาก ๆ

ผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันอย่างหลวงจีนเฉินลวี่ หลี่หานเติง เจียงหลี อวี่เหวินซู่ และอีกมากมาย กระจัดกระจายอยู่บนขั้นศิลาที่มีความสูงแตกต่างกัน

แต่ละคนออกแรงกวัดแกว่งสมบัติล้ำค่าในมือ ทั้งยังต่อสู้กันอย่างเต็มที่

ที่น่าแปลกคือมองไม่เห็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาสักนิด

ราวกับว่ากำลังต่อสู้กับอากาศ…

“นี่คือ…”

เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ตกตะลึง

“นี่คือขั้นศิลาทดสอบ แต่ละขั้นจะมีตัวแทนคู่ประลองเฝ้าไว้ เมื่อก้าวเข้าไปก็เท่ากับเข้าสู้สนามต่อสู้ และจะพบกันคู่ต่อสู้ที่วิถีแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในทุกขั้นที่บรรลุผ่าน”

แค่ซูอี้เห็นก็มองรายละเอียดของขั้นศิลาทดสอบออก “ยิ่งขั้นศิลาสูงมากเท่าไร คู่ต่อสู้ก็จะมีระดับวิถีที่สูงล้ำขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่ายิ่งเจ้าอยู่ในระดับขั้นที่สูงมากเท่าไร คู่แข่งของเจ้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน”

“โดยทั่วไปแล้ว มีเพียงวิถีปราชญ์กลุ่มเต๋าที่มีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถเปิด ‘สนามฝึกฝน’ เช่นนี้ได้ มันถูกเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักเท่านั้น และสิ่งนี้ก็เพื่อทดสอบวิถีเต๋าและพลังต่อสู้ของพวกเขา”

“แน่นอนว่าสนามฝึกฝนแห่งนี้ยังทดสอบความอุตสาหะ จิตวิญญาณ และปัญญาของผู้ฝึกตนด้วย บ่อยครั้งที่การทดสอบของศิษย์สำนักก็จะดำเนินการในสถานที่แห่งนี้ด้วย”

“ตัวอย่างเช่น หากเจ้าผ่านขั้นศิลาทดสอบในระดับต่าง ๆ เจ้าก็จะได้รับตำแหน่ง ตลอดจนรางวัลมากมาย”

“ในตอนที่ทดสอบและคัดเลือกศิษย์ในสำนัก ศิษย์สายตรง ศิษย์ผู้สืบทอด และศิษย์สายในก็จะใช้สนามแห่งนี้ในการทดสอบเช่นเดียวกัน”

เมื่อฟังจบ เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างเข้าใจกันเป็นอย่างดีและอดไม่ได้ที่จะอยากลองบ้าง

สถานที่เช่นนี้ดูเหมือนจะไม่เคยพบเห็นจากโลกภายนอกเลย!

สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ไม่ต่างอะไรไปจากการค้นพบสถานที่อันเหมาะสมสำหรับฝึกฝนความแข็งแกร่งเลย!

ท้ายที่สุดอย่างที่ซูอี้กล่าวไว้ มีเพียงวิถีปราชญ์กลุ่มเต๋าระดับจักรพรรดิเท่านั้นจึงจะสามารถเริ่มสนามฝึกฝนเช่นนี้ได้

นั่นหมายความว่าแม้จะเป็นมหาทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นปีก่อน ก็มีเพียงพลังของตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นที่จะมีสถานที่ที่คล้ายกันได้โuเวลกูดoทคอม

เรียกได้ว่าเป็นโอกาสหายากแน่นอน

ในตอนนั้นเองที่เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างเข้าใจแล้ว ว่าการต่อสู้ของพวกหลวงจีนเฉินลวี่ที่กำลังดำเนินอยู่หมายถึงสิ่งใด

“ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับพวกเจ้าในการฝึกฝนความแข็งแกร่งและพัฒนาวิถีเต๋าด้วย”

ซูอี้กล่าวต่อ “ซึ่งไม่อันตรายเช่นกัน พวกเจ้าลองดูได้”

เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ กระตือรือร้นที่จะลองแล้ว และพวกเขาต่างก็ตอบรับอย่างมีความสุข

“ศิษย์พี่ซู แล้วศิษย์พี่เล่า?”

เยว่ซือฉานถาม

สตรีในชุดขาวผู้นี้เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก สนทนาร่วมกันน้อยครั้ง

แต่เมื่อพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซูอี้ เห็นได้ชัดว่านางกังวลมาก

ซูอี้แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย “เช่นเดียวกับพวกเจ้า ข้าก็ต้องการปีนขั้นศิลาทดสอบเหมือนกัน แต่จุดประสงค์คือการขึ้นไปบนยอดเขาตรงนั้น รีบมาเถิด มาดูกันว่าพลังต่อสู้ของพวกเจ้าแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง”

แค่ประโยคเดียวกลับทำให้เหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉาน เกิดความคิดแข่งขันขึ้นในใจ

“พี่ซือฉาน ทำไมพวกเราไม่มาแข่งกันสักหน่อยเล่า?”

เหวินซินจ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สตรีผู้มีรูปร่างสง่างาม เสื้อผ้าหน้าผมเรียบง่าย งดงามตามธรรมชาติ และมีบรรยากาศที่ดึงดูดใจ

“ได้สิ”

เยว่ซือฉานเพียงพยักหน้า สีหน้าเย็นชาของนางราวกับเทพธิดาผู้เมินเฉยต่อโลก

ส่วนเก๋อเฉียนนั้นถูกคนทั้งสองคนมองข้ามไปโดยสมบูรณ์…

เก๋อเฉียนตั้งใจจะไม่พูดอะไร ด้วยนิสัยรอบคอบของเขา ตนเองจะไม่แข่งขันกับเรื่องเช่นนี้แน่นอน

แล้วทั้งสามก็ลงมือทันที

ซูอี้เอามือไพล่หลัง พลางมองดูเงียบ ๆ ชั่วขณะหนึ่ง

จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือ หยิบก้อนโลหิตสีทองที่กักขังเอาไว้ออกมา ก่อนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วพูดกับตนเอง

“ถ้าเจ้ากล้าสร้างปัญหาบนขั้นศิลาทดสอบ อย่าหาว่าข้าหยาบคายกับเจ้าเลย”

ว่าจบ เขาก็เก็บเลือดก้อนนี้ลงไป และก้าวขึ้นไปยังขั้นศิลาทดสอบขั้นแรก

ตูม!

ตามด้วยพลังที่ผันผวนอย่างแปลกประหลาด ก่อนฉากตรงหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

ซูอี้ก็ปรากฏตัวขึ้นในโลกอันมืดสลัว

มีเพียงแท่นเต๋าขนาดใหญ่ตั้งอยู่โดด ๆ กลางทุ่งกว้างใหญ่ไพศาล และไม่มีสิ่งใดอื่นอีก

ซูอี้ก้าวขึ้นไปบนแท่นเต๋า

วูบ!

บนแท่นเต๋าเกิดเกลียวคลื่นมหาวิถีแปลกประหลาดขึ้น ก่อนจะมีร่างร่างหนึ่งปรากฏออกมา

ร่างนี้สวมชุดเต๋า คาดแถบผ้าสีทองรอบเอว มีดาบโบราณอยู่บนหลัง รูปลักษณ์เลือนราง แต่กลิ่นอายจากร่างกายกลับเต็มไปด้วยผลการฝึกขอบเขตรวบรวมดาราขั้นต้น

นี่คือ ‘คนเฝ้าประตู’

และซูอี้ก็ไม่แปลกใจเท่าไรกับภาพเบื้องหน้า

เพราะบนขั้นศิลาทดสอบจะมีคนเฝ้าประตูประจำอยู่เสมอ

และต่อให้ไปขั้นศิลาสูงกว่านี้ คนเฝ้าประตูก็จะขอบเขตการฝึกฝนเดิม ทว่าความยากของด้านวิถีจะทวีคูณขึ้น

เช่นเดียวกับเยว่ซือฉานและคนอื่น ๆ พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงเหมือนกัน

ดังนั้น เมื่อคนเฝ้าประตูและผู้เข้ารับการทดสอบปะทะกัน พวกเขาจะแข็งแกร่งไม่ต่างกันนัก ซึ่งสิ่งนี้ก็เพื่อเป็นการลับคมผู้เข้ารับการทดสอบนั่นเอง

ด้วยหากพลังของคนเฝ้าประตูแข็งแกร่งเกินไป ขั้นศิลาทดสอบก็จะสูญเสียความหมายในการคงอยู่

“เป็นไปได้หรือไม่ที่รูปแบบและรูปลักษณ์ของคนเฝ้าประตูพวกนี้ มีต้นแบบและถูกคนขอบเขตจักรพรรดิสักคนในหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุทิ้งเอาไว้?”

ซูอี้มองไปยังคนเฝ้าประตูฝั่งตรงข้ามอย่างครุ่นคิด

การจะสร้างคนเฝ้าประตูจำเป็นต้องมีพลังระดับจักรพรรดิ

เช่นนี้แล้วจึงสร้างคนเฝ้าประตูที่มีระดับทักษะวิถีที่สูงล้ำภายใต้ขอบเขตพลังระดับเดิมได้

ชายเบื้องหน้าสวมชุดเต๋า มีดาบโบราณอยู่บนหลัง คาดแถบผ้าสีทองรอบเอว และแม้ว่ารูปลักษณ์จะรางเลือนก็ตาม แต่ซูอี้รู้ดีว่า รูปแบบเช่นนี้ต้องถูกคนขอบเขตจักรพรรดิที่ขัดเกลาขั้นศิลาทดสอบทิ้งไว้เป็นแน่

“ข้าอยากเห็นนัก ว่าในสายตาของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเช่นเจ้าในตอนนั้น พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของขอบเขตรวบรวมดาราขั้นต้นจะไปได้ถึงระดับใดกัน หวังว่า… จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…”

ซูอี้ส่ายหัว และไม่คิดรีรออีกต่อไป

วูบ!

เขาเอื้อมมือออกมาคว้าดาบเล่มหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ ในอากาศ

เกือบจะพร้อมกันกับคนเฝ้าประตูที่ดึงดาบโบราณออกมาจากด้านหลัง กลิ่นอายของเขาแข็งแกร่งขึ้นในทันใด

ซูอี้ก้าวไปข้างหน้า ใช้ปราณดาบฟันออกไปอย่างสบาย ๆ

ตูม!

คนเฝ้าประตูไม่ทันได้เข้ามาทักทาย ร่างกายดุจกระดาษแผ่นหนึ่งของเขาถูกฟันออกเป็นสองท่อนแล้วหายวับไปในทันที!

…………….

[1] เปลี่ยนอาวุธเป็นแพรไหม หรือ 化干戈为玉帛 หมายถึงการเปลี่ยนศึกสงครามให้กลายเป็นสันติ

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset