📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 553

บทที่ 553 - ไยจึงหัวเราะ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ไม่นานนัก เหมยเหยียนไป๋และพวกก็มายังหุบเขา

“ทุกคนอยู่ที่นี่นะ”

เหมยเหยียนไป๋หยุดลงห่างจากสระบัวร้อยฉื่อ

เขาหยิบยันต์กลไกสำริดหกเหลี่ยมซึ่งอัดแน่นด้วยอักขระออกมาจากแขนเสื้อชิ้นหนึ่ง ใจกลางยันต์สำริดสลักรูปคางคก

เหมยเหยียนไป๋กดปลายนิ้วลงที่หัวคางคก

ฉัวะ!

ทันใดนั้นคางคกก็อ้าปากออก มันพ่นแสงสีครามที่เจิดจ้าส่งแสงจรัสชวนแสบตาออกมา

ฉากตรงหน้าทุกคนเปลี่ยนไปกะทันหัน และพวกเขาก็พบว่าห่างออกไป สิบฉื่อได้บังเกิดม่านแสงจองจำขึ้นชั้นหนึ่ง ปกคลุมทั่วนภาและดวงตะวัน โอบล้อมสระบัวเอาไว้

อักขระบนม่านแสงค่ายกลพลิ้วไหวไหลริน สว่างไสวเจิดจ้า

“นี่มัน…”

ทุกผู้ต่างประหลาดใจ

พวกเขาเคยใช้จิตสัมผัสตรวจตราสถานที่แห่งนี้มาก่อน ทว่ากลับไม่พบเขตแดนซึ่งปกคลุมมันอยู่เลย

“ค่ายกลนี้มีอำนาจสี่แบบ ซ่อนลมหายใจ อำพราง สังหารและพันธนาการ มันถูกจัดเรียงโดยรากฐานค่ายกลหกสิบสี่แห่งทั่วพื้นที่ หากผู้ฝึกตนเช่นข้าฝ่าเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เกรงว่าคงถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว”

เหมยเหยียนไป๋กล่าวอย่างไหลลื่น “ซูอี้ผู้นี้พอมีทักษะการสร้างยันต์กลไกอยู่บ้าง สูงกว่าพวกที่อ้างตนว่าเป็นปรมาจารย์ค่ายกลในโลกนี้มากนัก”

เฉียนอวิ๋นอดอุทานไม่ได้ “พี่เหมยสมกับเป็นทายาทสายตรงผู้มากความสามารถด้านยันต์กลไกที่สุดแห่งตระกูลเหมย ทัศนวิสัยและความรู้ช่างน่าอัศจรรย์”

เนี่ยหลีชุดดำผู้มีผมสีขาวกล่าวด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือก “พี่เหมย ค่ายกลนี้แข็งแกร่ง ในเมื่อมันผิดปกติ เช่นนั้นเจ้ามีวิธีทำลายค่ายกลนี้หรือไม่?”

เหมยเหยียนไป๋ยื่นมือออกไป ขยับนิ้วตามใจ พลางกล่าวช้า ๆ “การทำลายค่ายกลนี้ สำหรับข้านั้นง่ายดาย”

อารมณ์ของทุกคนดีขึ้น เฉียนอวิ๋นกล่าวว่า “พี่เหมย โปรดทำลายค่ายกลนี้!”

“ทุกคนรอสักครู่”

เหมยเหยียนไป๋ยิ้มน้อย ๆ พลางโบกแขนเสื้อ

พรึ่บ! พรึ่บ!

สายรุ้งทิพย์สิบสองสายกวาดผ่านอากาศ เปลี่ยนเป็นค้อนด้ามทองขนาดเล็ก รัศมีแสงทอประกาย “นี่คือค้อนทลายพันธนาการ ตระกูลเหมยของข้าสร้างมันขึ้นด้วยเคล็ดวิชาลับเฉพาะ ดูเหมือนมันจะสามารถทำลายค่ายกลตรงหน้าข้าได้ แค่การเคาะครั้งเดียวเท่านั้น”

เหมยเหยียนไป๋กล่าวจบ เขาก็เหวี่ยงค้อน “เฮอะ!”

จากนั้น ภายใต้สายตาตกตะลึงทุกคู่ ค้อนทองทั้งสิบสองถูกจัดเรียงเป็นค่ายทุบลงจากเบื้องบน และค่ายกลซึ่งปกคลุมทั่วน่านฟ้าก็ถูกทุบแหลกในคราเดียว

“สุดยอด!” เหล่าผู้ชมต่างชื่นชมเสียงดัง

เหมยเหยียนไป๋อดหัวเราะอย่างภาคภูมิไม่ได้

เขายังไม่ได้ทำให้ทุกคนตะลึงในวิถีแห่งยันต์กลไกอย่างเต็มที่เลย!

“เมื่อค่ายกลนี้แตกสลาย ซูอี้จะใช้สิ่งใดมาลอบโจมตีข้ากัน?”

เฉียนอวิ๋นกล่าวยิ้ม ๆ

“หากซูอี้ลงมือ ไยเล่าจึงต้องพึ่งพาค่ายกลเช่นนี้?”

เฟิงจื่อตูพึมพำกับตนเอง

เขาไม่ได้บอกพวกเหมยเหยียนไป๋ ว่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณอันลือนามเช่นตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงผู้ล่วงลับ เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ยังไม่ต่างกับมดถูกขยี้

อันที่จริง เหตุผลที่เขาเลือกร่วมมือกับเหมยเหยียนไป๋และคณะในครานี้ก็เป็นเพราะไพ่ตายที่คนกลุ่มนี้ถือครอง

“การเคลื่อนไหวของค่ายกลนี้ย่อมต้องทำให้ซูอี้ไหวตัวและแสดงร่องรอยทันที ทว่าไฉนจึงยังไม่โผล่มา?”

โต้วโค่วงุนงงเล็กน้อย “เขาไม่กังวลหรือว่าเราจะนำบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยไปก่อน?”

ทันทีที่สิ้นคำ ผู้อื่นรอบข้างต่างตกใจเช่นกัน

“ง่ายมาก ค่ายกลของซูอี้ที่ตั้งไว้ไม่ได้มีเพียงค่ายนี้อย่างไรเล่า”

ดวงตาของเหมยเหยียนไป๋ทอประกายสีทองจาง ๆ ขณะพูดอย่างผู้เชี่ยวชาญ “กล่าวโดยรวม การตั้งค่ายกลเพื่อสังหารศัตรู หากไม่ใช่ค่ายกลสังหารไร้ใดเปรียบ ผู้ใช้ค่ายกลทั่วไปจะตั้งค่ายกลมากกว่าหนึ่งชั้นเพื่อสร้างห่วงโซ่ค่ายกลล้อมสังหาร ซึ่งจะทำให้ศัตรูไม่อาจต้านทานหรือหนีได้”

“ดูเถิดทุกคน”

เขายกมือขึ้นวางลงบนหัวคางคก ณ กลางยันต์กลไก

ฟู่!

คางคกอ้าปากออกพ่นสายรุ้งทิพย์สีครามออกมาอีกครั้ง พวยพุ่งลงสู่พื้นห่างออกไปสิบจั้ง

พื้นปฐพีสั่นไหวโยกคลอน และท่ามกลางฝุ่นทรายคลุ้งกระจาย อักขระสีเงินตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฟ้า เปลี่ยนเป็นคลื่นจองจำทะยานสูง ทำให้สถานการณ์ผันแปรไป

รังสีฆ่าฟันที่พุ่งเข้าใส่หน้าทำให้ม่านตาของทุกคนหดตัว ร่างชะงักกับที่

เป็นจิตสังหารที่แข็งแกร่งนัก!

“ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลสังหารที่บริสุทธิ์ยิ่ง ต้องเป็นแผนที่แท้จริงของซูอี้เป็นแน่ หากเราคิดว่าเราทำลายค่ายกลได้และทำตัวเลินเล่อ ผลที่ตามมาคงร้ายแรง”

เหมยเหยียนไป๋กล่าวเบา ๆ

สายตาของทุกผู้ที่มองเหมยเหยียนไป๋เปลี่ยนแปร แฝงไปด้วยความชื่นชม

“หากครั้งนี้ไม่ได้พี่เหมย แล้วข้าอยากจะชิงสมบัตินี้ เกรงว่าข้าคงตกหลุมพรางของซูอี้เป็นแน่แท้”

เฉียนอวิ๋นทอดถอนใจ

เฟิงจื่อตูอดเหลือบมองเหมยเหยียนไป๋ไม่ได้ ชายผู้นี้ไม่ธรรมดา

“พี่เฉียนอวิ๋นผิดแล้ว ตระกูลเหมยของข้าก่อร่างสร้างตัวจากยันต์กลไก หากมองกระทั่งค่ายกลนี้ไม่ออก คงเป็นเรื่องน่าขันเกินไป”

เหมยเหยียนไป๋กล่าวอย่างถ่อมตัว ทว่าสีหน้าของเขาเปี่ยมความมั่นใจ

“พี่เหมย โปรดทำลายค่ายกลนี้เถิด”

เนี่ยหลีกล่าวอย่างเปี่ยมเจตนาสังหาร “ไม่ว่าซูอี้จะกล้าโผล่มาหรือไม่ก็ไร้ความหมาย ขอเพียงค่ายกลนี้พังลง บงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยจะเป็นของเรา”

เหมยเหยียนไป๋พยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่ข้าจะสื่ออย่างไรเล่า”

เฟิงจื่อตูเห็นดังนี้ หัวใจของเขาก็บีบแน่น กล่าวย้ำเตือนว่า “ทุกท่าน โปรดระวังและหลบเลี่ยงไม่ให้ซูอี้ปรากฏตัวออกมาลอบฆ่าพวกเราโดยไม่ตั้งตัวด้วย”

ทุกผู้พยักหน้า กระตุ้นปราณในกายของตนอย่างเงียบ ๆ รอคอยการปรากฏตัว

พวกเขาไม่กล้าประมาทบุคคลโหดเหี้ยมเยี่ยงซูอี้

“เฮอะ!”

เหมยเหยียนไป๋ระเบิดเสียงกัมปนาท และค้อนทลายพันธนาการทั้งสิบสองก็เหินขึ้นฟ้าเหวี่ยงลงมาอีกครั้ง

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ค่ายกลตรงหน้าบิดมวนกระเพื่อมไหวรุนแรง ในเวลาชั่วไม่กี่อึดใจ มันก็ถูกทุบจนพังทลาย สายฝนละอองแสงโปรยปรายเช่นละอองน้ำ

ผู้คนต่างตะลึงงันอีกครา

หากเป็นพวกเขาคิดทำลายค่ายกลนี้ เกรงว่าคงต้องงัดไม้ตายก้นหีบออกมาใช้บ้าง

“ทุกท่าน ทุกอย่างเรียบร้อย บงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยนี้อยู่ในมือของเราแล้ว!”

เหมยเหยียนไป๋กล่าวยิ้ม ๆ

เขาใช้เคล็ดวิชาลับตรวจตราพื้นที่ และพบว่าไร้ค่ายกลใด ๆ เหลืออยู่

“ค่ายกลถูกทำลาย ทว่าซูอี้ก็ยังไม่ปรากฏ หรือเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าวิถีตนไม่ดีพอ จึงไม่กล้าปรากฏตัว?”

เฉียนอวิ๋นหัวเราะอย่างเหน็บแนม

เฟิงจื่อตูดูเคลือบแคลงใจเล็กน้อย เขารู้สึกเสมอว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง คนเช่นซูอี้น่ะหรือจะกลัวการต่อสู้แค่เพราะค่ายกลถูกทำลาย?

“หือ? เกิดอันใดขึ้น?”

จู่ ๆ เนี่ยหลีก็โพล่งถามอย่างงุนงงเมื่อเห็นชั้นน้ำแข็งหนาใกล้สระบัวละลายลงอย่างกะทันหัน จากนั้นคลื่นอากาศร้อนระอุก็เริ่มแผ่ออกมาสู่โดยรอบ!

“ดูสิ”

โต้วโค่วแหงนมองฟ้า ใบหน้างดงามของนางปรากฏความแปลกใจ

สายตาทุกคู่มองตาม และเห็นว่า ณ ใต้นภา เมฆาขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเจิดจรัสราวถูกแผดเผาอย่างตระการตา

นี่มัน…

ต่างคนต่างสังหรณ์ร้ายในใจ

“บางอย่างผิดแปลก ขุนเขาที่รายล้อมเหมือนเคลื่อนไหวได้”

เปลือกตาของเฟิงจื่อตูกระตุกรุนแรง

เมื่อทุกผู้มองตาม ก็พบว่ายอดขุนเขาตระหง่านรอบหุบนี้ดูราวมีชีวิต เคลื่อนไหวบนผืนปฐพีอย่างเงียบงัน

ยามนี้ ทุกผู้ต่างรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง

“แย่แล้ว! พวกเราถูกหลอก ไปกันเถิด!”

เหมยเหยียนไป๋เปลี่ยนสีหน้ากะทันหัน สีหน้ามั่นใจของเขาถูกแทนที่ด้วยความมืดมน

ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็หันหลังจากไป

ไม่มีผู้ใดกล้าลังเล พวกเขาต่างไล่ตาม

ตู้ม!

รอยร้าวนับไม่ถ้วนแยกผืนปฐพีออกเป็นเสี่ยง เพลิงสีม่วงพวยพุ่งเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงม่วงอันแผดเผารุนแรง ไล้เลียเข้าหาเหมยเหยียนไป๋และคณะจากทั่วทุกสารทิศโuเวลกูดoทคอม

ในขณะเดียวกัน หมู่เมฆาสีชาดซึ่งแผดเผาราวเปลวเพลิงพลันกระหน่ำฝนเพลิงลงมาราวเขื่อนแตก!

เปลวเพลิงทำลายล้างทำให้ทุกคนต่างเปลี่ยนสีหน้า

“อย่าตระหนกไป ทุกท่าน มันก็แค่ค่ายกล!”

เหมยเหยียนไป๋กล่าวเสียงเคร่งขรึม

กล่าวพลาง เขาก็หยิบธงเล็กสีเหลืองออกมาโบกเบา ๆ

ตู้ม!

ลำแสงสีน้ำตาลอมเหลืองสาดส่อง ทะลวงผ่านทะเลเพลิงม่วงที่ไล่ลามมาหา

เหมยเหยียนไป๋และคณะพุ่งตรงไปเบื้องหน้าทันที

ทว่าแม้ทำเยี่ยงนั้น คลื่นเพลิงอันต่อเนื่องก็ยังคงสร้างความทุลักทุเลหนักหน่วงแก่คณะของเหมยเหยียนไป๋ บีบบังคับให้พวกเขาต้องดิ้นรนสุดชีวิต

ครู่ถัดมา

ภายใต้การนำของเหมยเหยียนไป๋ ในที่สุดพวกเขาก็รอดจากค่ายกลเปลวเพลิงอันน่าหวาดหวั่นนี้ และเข้าไปในหุบเขาซึ่งอยู่ใกล้ ๆ

ทว่าพวกเขาต่างมีสภาพเละเทะมาก เส้นผมกระเซอะกระเซิง อารมณ์รุ่งริ่ง บรรยากาศไหม้เกรียม ใบหน้าดำทะมึน

“เวรเอ๊ย!!”

“เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เช่นไร?”

ทุกผู้ต่างดูมืดมน ตกใจและโกรธเคือง และอดมองไปทางเหมยเหยียนไป๋ไม่ได้

“ข้าประมาทไป ไม่คาดว่าซูอี้จะใช้หุบเขาเป็นค่ายกล ปรากฏว่าเราเข้าสู่กับดักของเขานับแต่ย่างเท้าสู่หุบเขานี้แล้ว”

สีหน้าของเหมยเหยียนไป๋ซีดขาว

เมื่อครู่นี้ เขายังคงเปี่ยมความมั่นใจและเจ้าแผนการอยู่

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นตบหน้าอย่างเจ็บแสบ ความรู้สึกอับอายอันไม่อาจบรรยายเกาะกุมเต็มหัวใจ

สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดคือยันต์กลไก ทว่าสุดท้ายเขาเกือบตกสู่กับดักใหญ่หลวง ความอัปยศนี้ช่างยิ่งใหญ่…

“แต่อย่าห่วงไป ทุกท่าน เราหนีออกมาจากค่ายกลสังหารนั้นได้แล้ว”

เหมยเหยียนไป๋สูดหายใจลึก ๆ มองไปรอบ ๆ และจู่ ๆ ก็หัวเราะ

“เหตุใดพี่เหมยจึงหัวเราะ?”

เฉียนอวิ๋นขมวดคิ้ว

เหมยเหยียนไป๋คืนความมั่นใจ ชี้ไปทางหุบเขาพลางขำดังลั่น “ข้าหัวเราะให้แก่ความไม่รอบคอบของซูอี้ เป็นข้า ข้าคงสร้างค่ายกลใหญ่ขึ้นที่นี่ รอมันทำงาน แม้ข้าจะทำแค่รอ หากพวกเจ้ารอดจากค่ายกลเดิมมาได้ พวกเจ้าก็คงต้องตกสู่ค่ายกลสังหารอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ และความเป็นความตายจะเกินหยั่งคาด”

เพิ่งสิ้นเสียง…

ตู้ม!

สองข้างหุบเขาบังเกิดเสียงอสนีบาตคำรามลั่น และค่ายกลอันแข็งแกร่งก็กางออกเป็นคลื่นเข้าปกคลุมจนทั่ว!

เหมยเหยียนไป๋ตะลึงราวถูกทัณฑ์อสนีบาต เสียงหัวเราะของเขาหยุดกลางคัน ดวงตาเบิกกว้าง

ผู้คนโดยรอบ “…”

ภาพนี้จะแตกต่างอันใดกับการฉีกหน้าเหมยเหยียนไป๋?

“ไปกันเถิด!”

เหมยเหยียนไป๋ตะโกน ใช้ค่ายกลชักยันต์มหาสมบัติพาคนทุกผู้หนีอย่างสุดกำลัง

ครู่ถัดมา

เมื่อในที่สุดพวกเขาก็หนีออกมาจากค่ายกลที่หุบเขาได้ ทว่าทุกคนก็ต่างบาดเจ็บไม่มากก็น้อย

แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่สาหัส แต่ความรู้สึกของการหนีหัวซุกหัวซุนก็ทำให้พวกเขารู้สึกโกรธเคือง

ทว่ายามนี้ เหมยเหยียนไป๋กลับหัวเราะอีกครั้ง

“มาถึงขนาดนี้ ไยพี่เหมยจึงหัวเราะอีก?”

เฉียนอวิ๋นอดถามไม่ได้

เหมยเหยียนไป๋ดูจะพยายามรักษาหน้าที่ตนเสียไปอย่างสุดชีวิต เขาสูดหายใจลึก ๆ พลางกล่าวอย่างไหลลื่น “ข้าไม่ได้หัวเราะให้ผู้ใด เพียงให้ซูอี้ เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่อาจถูกเรียกว่ายอดฝีมือยันต์กลไกได้ หากเป็นข้า ข้าจะตั้งค่ายกลสังหารที่นี่ด้วย เราจะประสบหายนะหนักหนาจนไม่อาจฟื้นตัวได้”

เพิ่งสิ้นเสียง…

ตู้ม!

ทันใดนั้น เสียงกัมปนาทจากค่ายกลก็ระเบิดสนั่นลั่นพิภพจบแดน

เหมยเหยียนไป๋ “…”

ทุกคนโดยรอบ “???”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset