📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 552

บทที่ 552 - สอนจระเข้ว่ายน้ำ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“สามวันจากนี้ เราจะฝึกตนกันที่นี่”

ซูอี้กล่าวในถ้ำที่เพิ่งสร้างขึ้น จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิฝึกฝน

ถ้ำแห่งนี้อยู่ลึกเข้าไปในขุนเขา ไกลจากสระบัวสามพันฉื่อ

รอบถ้ำ ซูอี้ตั้งค่ายกลจองจำสองชั้น

ชั้นแรกคือ ‘ค่ายกลสุญญะกลืนตะวัน’ ไว้ลบลมหายใจ

อีกชั้นคือ ‘ค่ายกลเล็กผสานธาตุ’ เพื่อรวบรวมปราณวิญญาณ

พวกมันต่างก็เป็นค่ายกลซึ่งบรรจุพลังพันธนาการอันแยบยลลึกลับ ชั้นแรกนั้นสามารถพอจะเลี่ยงการตรวจจับจิตของมหาปราชญ์สวรรค์ได้

ส่วนค่ายกลหลังสามารถดูดซับปราณวิญญาณทั่วสิบทิศแห่งโลกา เพื่อที่ศัตรูจะไม่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณทั่วฟ้าดินจากการฝึกฝน

ไม่นาน ซูอี้ก็วางกับดักในบริเวณใกล้เคียงสระบัวเสร็จ

โชคดีที่ยามนี้ เขาไม่ขาดทรัพยากรวิญญาณใด ๆ ดังนั้นการสร้างและวางค่ายกลจึงไม่ได้ขัดสน

เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉานและเก๋อเฉียนเห็นดังนี้ก็เริ่มทำสมาธิ

กาลเวลาเคลื่อนคล้อย

ด้วยการใช้วิถีหายใจจากเคล็ดวิชาแสวงไร้ลักษณ์ข้ามปัจเจก ปราณวิญญาณอันอุดมแน่นหนาก็ทะลักไหลสู่ร่างของซูอี้ราวคลื่นโหม

ร่างของเขาราวกับสุญญะไร้ขอบเขต กระแสคลื่นพลังวิญญาณบริสุทธิ์แน่นหนาหลั่งไหลเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ เข้าถึงเส้นเลือด แขนขา กระดูกและอวัยวะต่าง ๆ จากแรงฉุดของพลังปราณ ก่อนจะหลั่งไหลเข้าสู่ถ้ำเปิดทวารภายในกาย

ถ้ำเปิดทวารนี้ราวเป็นพื้นที่ลับตำหนักเซียน โดยมีเมล็ดพันธุ์เต๋าซึ่งมีลักษณ์เหมือนดาบเก้าคุมขังลอยอยู่กึ่งกลาง

เสียงแห่งเต๋ากังวานในถ้ำเปิดทวาร เป็นจังหวะพลังอัศจรรย์ บางคราเหมือนเสียงดาบประสาน ก้องกังวานตื่นเต้น บางหนก็เหมือนเสียงวายุโชยพิรุณพรำ เสียงแห่งห้วงนภา และบางคราก็ลั่นก้องราวอสนีบาตสะท้านแดนดิน…

ท้ายที่สุด ร่างขัดสมาธิของซูอี้ก็อาบใต้ชั้นแสงแห่งวิถี

ราวต้องแสงอรุณจากฟ้า ดูแล้วงดงามศักดิ์สิทธิ์

ควรกล่าวว่าเกาะเซียนพระสุเมรุนี้เป็นสถานที่ฝึกฝนอันหายากยิ่งและเปี่ยมล้นด้วยปราณวิญญาณแน่นหนายิ่ง

ยามฝึกตน จิตจะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินได้โดยง่าย ด้วยวิธีนี้ การประจักษ์แจ้งสอดคล้องระหว่างวิถีมนุษย์และสวรรค์จึงทำได้โดยอัศจรรย์

นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถสำเร็จได้เพียงแค่การกลืนโอสถมากมาย

ฝึกฝนแสวงวิถี ‘ฝึกฝน’ คือวิธีการ และ ‘แสวงวิถี’ คือเป้าหมายสูงสุด

เมื่อปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินเหือดแห้งระแหง ผู้ฝึกตนอาจใช้โอสถวิญญาณเข้าช่วยฝึกฝน ทว่ายากจะ ‘แสวงวิถี’ จากมัน

นี่ยังเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดผู้ฝึกตนมากมายในมหาทวีปคังชิงจึงไม่มีภูมิหลังและการฝึกฝนอันสูงส่งนัก

ในทางกลับกัน เมื่อปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินอัดจนหนาแน่น และผู้ฝึกตนใช้มันฝึกฝน กายและใจย่อมสอดคล้องกลมเกลียวกับฟ้าดิน สัมผัสร่องรอยปราณทั่วหล้าและสวรรค์ได้ จึงง่ายกว่าที่จะสำเร็จการ ‘แสวงวิถี’ และก้าวหน้าในวิถีของตนได้รวดเร็วกว่า

แน่นอนว่ามีโอสถล้ำค่าบางอย่างที่บรรจุปราณแห่งวิถีเอาไว้ ซึ่งพวกมันทำให้ผู้ฝึกตนสามารถ ‘แสวงวิถี’ สำเร็จได้โดยง่าย

น่าเสียดายที่ในมหาทวีปคังชิง โอสถล้ำค่ามหาวิถีเหล่านี้แทบหาไม่ได้เลย

จากเรื่องนี้จึงทราบได้ว่าโลกเร้นลับเยี่ยงเกาะเซียนพระสุเมรุดึงดูดใจสำหรับผู้ฝึกตนมากเพียงไร

อย่าว่าถึงโอกาสหรือโชคลาภอื่น ๆ เลย เพียงฝึกตนให้วิถีกระจ่างที่นี่ก็เพียงพอให้รับประโยชน์ได้ไม่รู้จบแล้ว

สำหรับซูอี้ นี่ก็เป็นโอกาสสำหรับฝึกฝนอันหาได้ยาก

ในมหาทวีปคังชิงยามอดีต แม้ว่าเขาจะมีเคล็ดวิชาอัศจรรย์มากมาย เขาก็ยังคงต้องทุกข์ทนกับความยากเย็นคล้ายรู้วิธีหุงข้าวทว่าไร้ข้าว

ทว่ายามนี้ ทุกสิ่งต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

เขาไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรืออยากทะลวงคอขวดให้ไวที่สุด

กลับกัน การฝึกฝนที่นี่ทำให้วัตถุประสงค์การ ‘แสวงวิถี’ ง่ายขึ้น ดังนั้นวิถีเต๋าของตนจึงถูกขัดเกลากลั่นบริสุทธิ์ได้อย่างลึกล้ำกว่า!

ยกตัวอย่าง การทำความเข้าใจความหมายอันลึกล้ำแห่งมหาวิถี ลับคมร่างกาย จิตใจและวิญญาณ ทั้งหมดนี้สามารถบรรลุผลสองเท่าได้ด้วยความพยายามครึ่งเท่า

ในระหว่างฝึกฝน เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน และเก๋อเฉียนก็สังเกตเห็นผลประโยชน์การฝึกตนที่นี่เช่นกัน พวกเขาทั้งหมดจึงตั้งใจทำวิถีให้กระจ่างแจ้ง

หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ซูอี้ตื่นจากภวังค์

ขอบเขตเปิดทวารถึงขั้นสมบูรณ์!

ในเรื่องนี้ ซูอี้ไม่อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นความสำเร็จมากมายเพียงไร ด้วยมันเป็นของตายแน่นอน

“ด้วยวิถีเต๋าในยามนี้ การก้าวไปสู่ขอบเขตรวบรวมดาราก็ไม่นับเป็นเรื่องยากอันใด ทว่าก่อนหน้านั้น ข้าต้องควบคุมจังหวะวิถีแห่งหยางให้ได้ก่อน ข้าจึงจะสามารถหล่อหลอมจังหวะวิถีหยินหยางได้ และเมื่อเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมดารา ก็จะควบแน่นดาราปฐมญาณได้สองชนิด คือหยินและหยาง”

“ยามนั้น ดาราปฐมญาณจะสัมผัสกลมเกลียวกับจังหวะวิถีเบญจธาตุ ครึ่งหยินครึ่งหยาง ซึ่งสามารถตีความลับการหมุนแห่งจักรวาล สร้างเป็นรากฐานที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งขอบเขตรวบรวมดารา!”

ซูอี้ลอบกล่าวว่า “ส่วนจังหวะวิถีแห่งสายฟ้า คงไม่สายไปหากจะทำความเข้าใจมันหลังเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมดาราแล้ว”

เนิ่นนานก่อนหน้านี้ เขาได้วางแผนมานานพอแล้ว

กล่าวง่าย ๆ ก็คือเขาจะต้องฝึกฝนเบญจธาตุ หล่อหลอมหยินและหยาง แปรสภาพวายุและอสนีบาต!

มหาวิถีทั้งเก้านี้ หากมองแยกกันจะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นจังหวะวิถีพิเศษ ทว่าเมื่อพวกมันอยู่ร่วมกัน พวกมันจะสามารถหลอมรวมเป็นจังหวะวิถีได้สามแบบ

รากฐานแห่งเบญจธาตุคือหยินและหยางซึ่งก่อกำเนิดเป็นฟ้าดิน สายลมสายฟ้าขยับไหว และสรรพสิ่งบังเกิด

ในลักษณะนี้ เมื่อเขาเหยียบย่างสู่วิถีวิญญาณ จังหวะวิถีทั้งสามจึงสามารถขัดเกลาและหลอมรวมเป็นหนึ่งแก่นแท้แห่งวิถีวิญญาณอันลึกล้ำ นาม ‘ต้นกำเนิดดั้งเดิม’!

ต้นกำเนิดแห่งความหมายแรกเริ่ม

เมื่อมีต้นกำเนิด ทุกสิ่งก็บังเกิด!

สำหรับซูอี้ในยามนี้ เขาบรรลุจังหวะวิถีเบญจธาตุ จังหวะวิถีแห่งหยิน และจังหวะวิถีแห่งลม ทั้งหมดอยู่ในระดับสมบูรณ์แบบแล้วโนเวลกูดอทคอม

และขอเพียงบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยเบ่งบาน เขาก็จะสามารถทำความเข้าใจจังหวะวิถีแห่งหยางได้!

ส่วนจังหวะวิถีแห่งสายฟ้า การทำความเข้าใจมันไม่ยาก ขอเพียงรอให้เกิดโอกาสก็เท่านั้น!

และในขณะเดียวกัน…

เงาร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุไกลออกไปจากสระบัวหลายสิบลี้

“ทุกท่าน ข้าย้ำเตือนแล้วว่าสถานที่เกิดซึ่งมีโชคลาภได้ถูกซูอี้ยึดไว้ หากประสบอันตราย อย่าได้โทษข้าเฟิงจื่อตูว่าไม่เตือนเชียว”

เฟิงจื่อตูผู้สวมชุดหนังสัตว์ ถือคันธนูกระดูกสัตว์ร้ายขนาดยักษ์กล่าวอย่างเคร่งขรึม

ข้างกายเขามีบุรุษสามคนและหนึ่งสตรี

“พี่เฟิงระวังตนมากเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งของคณะเรา เหตุใดจึงจะล้มซูอี้ไม่ได้?” ชายในอาภรณ์ทองผู้หนึ่งกล่าวอย่างสบายใจ

เหมยเหยียนไป๋

บุคคลชั้นหนึ่งในหมู่ผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณ ผู้ติดอันดับเก้าในชุมนุมมวลพฤกษา

“นี่ไม่ใช่ชุมนุมมวลพฤกษาที่ตัดสินเพียงผลลัพธ์ ยามต่อสู้ถึงตาย ด้วยชั้นเชิงและความแข็งแกร่งของเรา เราไม่จำเป็นต้องกลัวซูอี้ผู้นั้นเลย”

ดวงตาของเฉียนอวิ๋นฉายแววเย็นชาแข็งกร้าว

ร่างของเขาสูงใหญ่แกร่งกล้า สวมอาภรณ์ม่วง เป็นชายทรงพลังยิ่งผู้อยู่ลำดับที่ยี่สิบในชุมนุมมวลพฤกษา

“หลังจากนี้เมื่อพบเขา เราจะใช้ไพ่ตายของเรากำจัดเขาเสีย”

วาจาของเนี่ยหลีรวบรัด เปี่ยมเจตนาฆ่าฟัน

เขามีใบหน้ายาวซูบ ชุดดำผมขาว สะพายดาบสีเลือดที่หลัง

อันดับที่สิบสี่แห่งชุมนุมมวลพฤกษา

“พี่เฟิง ด้วยวิธีการของเจ้า เจ้าไม่น่าจะต้องกลัวซูอี้ ทว่ายามนี้เหตุใดจึงระแวดระวังนักเล่า?”

โต้วโค่วงุนงงเล็กน้อย

นางคือสตรีผู้งดงามทรงเสน่ห์ เส้นไหมสีครามทิ้งตัวราวน้ำตก ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ สวมกระโปรงรัดเอวสีแดงทับทิมเจิดจ้า

นางอยู่ในอันดับที่สิบหกในชุมนุมมวลพฤกษา

ไม่ว่าจะเป็นเหมยเหยียนไป๋ เฉียนอวิ๋น เนี่ยหลี หรือโต้วโค่ว พวกเขาต่างเป็นตัวตนร้ายกาจในยุคโบราณระดับสูงสุด พื้นเพแต่ละผู้ต่างมีขุมอำนาจหนุนหลัง ดังนั้นหลังจากเข้าสู่เกาะเซียนพระสุเมรุได้ พวกเขาจึงเลือกร่วมมือกัน

เหตุการณ์เช่นนี้หาได้ง่ายมาก

เหมือนเช่นเฟิงจื่อตูซึ่งร่วมมือกับตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงมาก่อน

“ข้าย่อมไม่กลัวซูอี้”

เฟิงจื่อตูกล่าวโดยไม่หันไปมอง “ทว่าข้าก็ไม่ประมาทเขาเช่นกัน ใครเล่าจะกล้าละเลยบุคคลผู้สามารถเอาชนะหวนเฉ่าโหยวอย่างง่ายดายได้?”

เขากล่าวอย่างเยือกเย็น

ทว่าเมื่อคิดถึงการต่อสู้กับซูอี้เมื่อวันวาน เขาก็อดรู้สึกเจ็บปวดในใจไม่ได้ เต็มไปด้วยความระทมและโทสะ!

“พี่เฟิงพูดถูก ซูอี้คือศัตรูใหญ่จริงแท้ ทุกคนควรระวังเขาไว้ในยามที่จะไปคว้าโอกาสโชคลาภครานี้” เหมยเหยียนไป๋ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มเอ่ยกระตุ้น

ขณะพูดคุย พวกเขาได้ทะยานสู่เหนือขุนเขา เห็นหุบผาและสระบัวที่กลางผาจากระยะไกล

“ทุกท่าน นั่นคือบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัย จากข้อตกลงของเรา หลังจากสังหารซูอี้ เราจะแบ่งปันโอกาสนี้กัน” เฟิงจื่อตูชี้ไปยังสระบัวพลางพูดเบา ๆ

เหมยเหยียนไป๋และผู้อื่นเพิ่งได้พบพานบงกชเพลิงของสองเทพผู้ขับไล่โรคภัยเป็นครั้งแรก

นี่คือโอกาสอันหาได้ยาก!

“พี่เฟิงอย่ากังวลไป เจ้าก็รู้ว่าข้าคือผู้ใด ในเมื่อข้าเหมยเหยียนไป๋ตกลงร่วมมือ ข้าย่อมไม่ผิดคำพูด”

เหมยเหยียนไป๋กล่าวลอยชาย

“พี่เฟิง ดูเหมือนซูอี้จะไม่ได้อยู่ในละแวกนี้เลย”

เฉียนอวิ๋นขมวดคิ้ว

“ไม่ เขาอาจไม่ได้อยู่ใกล้สระบัว ทว่าเขาต้องหลบอยู่ท่ามกลางขุนเขาเหล่านี้แน่” ก่อนเฟิงจื่อตูจะทันได้เอ่ยวาจา เหมยเหยียนไป๋ก็กล่าวขึ้นก่อนอย่างมั่นใจ

สายตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ สระบัว แล้วก็อดกล่าวอย่างขำขันออกมาไม่ได้ “ซูอี้ผู้นี้ก็รอบคอบจัด เขาตั้งค่ายกลจองจำไว้ใกล้สระบัวล่วงหน้า เขาจะลอบโจมตีแน่นอน”

เฉียนอวิ๋น เนี่ยหลีและโต้วโค่วต่างประหลาดใจ พวกเขาไม่พบร่องรอยค่ายกลแต่อย่างใด

“ปรากฏว่าชายผู้นี้ช่างร้ายกาจ!”

เฉียนอวิ๋นขมวดคิ้ว

“โชคร้ายที่เขาพานพบพี่เหมย การซุ่มโจมตีเช่นนี้ช่างดูถูกกันโดยแท้”

เนี่ยหลียิ้มเยาะ

ตระกูลเหมยของเหมยเหยียนไป๋โด่งดังทั่วหล้าในวิถียันต์มานับสามหมื่นปี และมียอดฝีมือค่ายกลผู้โด่งดังถือกำเนิดในตระกูลนี้มากมาย!

ในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลเหมย ความสำเร็จด้านค่ายกลและยันต์ของเหมยเหยียนไป๋จึงถึงจุดที่สามารถพัฒนาเส้นทางใหม่เฉพาะตนเองได้

ค่ายกลที่เขาสร้างสามารถจองจำและทำลายผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้โดยง่าย!

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญยันต์ เหมยเหยียนไป๋จึงไม่ขาดแคลนยันต์และมีหลากหลายแขนง

“เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน…”

เฟิงจื่อตูพึมพำในใจ

เขาจำยามที่ตนซุ่มโจมตีอยู่กับตงกัวอวิ๋นและหร่านฉงก่อนหน้านี้ได้ ในยามนั้น เขาคิดว่าซูอี้และพวกเป็นเหยื่อหวาน ๆ ที่สามารถสังหารได้ง่าย

ทว่าเมื่อคิดถึงมันในยามนี้ เฟิงจื่อตูก็พลันเกิดความรู้สึกร้าวรานแทบหายใจไม่ออกขึ้นมา

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสายตาซูอี้ยามนั้น การซุ่มโจมตีของพวกเขาคงคล้ายกับการสอนจระเข้ว่ายน้ำ เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน…

“ไปกันเถิด ไปดูกันว่าความสำเร็จในวิถีค่ายกลของซูอี้เป็นเช่นไร”

เหมยเหยียนไป๋ยิ้มอย่างมั่นใจและชิงลงมือ

มาอวดวิถีแห่งค่ายกลต่อหน้าเขาหรือ?

อืม…

งั้นก็ให้ซูอี้ได้รู้เถิดว่าการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเป็นเช่นไร!

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset