ข้อที่ 17
จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องจากข้อความ (A) และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ (B)
ข้อความ (A)
เมื่อท้องฟ้าก็เปิดออก เหล่าทวยเทพเสด็จเยือนลงมาประทานพร และพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ตอบรับ
เสือขาวกล่าว ข้าต้องการไปได้ทุกที่
เสือเหลืองกล่าว ข้าต้องการอยู่ในทุกที่
เสือครามกล่าว ข้าต้องการรับใช้เทพมนุษย์ (บุตรแห่งเทพ) ตลอดเวลา
(ละไว้)
เทพสวรรค์ประทานพรให้ด้วยความยินดี จากนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางท้องฟ้าเปิดโล่ง
เหล่าเทพมนุษย์และพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยังเหลืออยู่ ต่างยินดีปรีดาเป็นล้นพ้น
เทพมนุษย์ที่ปกครองแผ่นดิน ทรงจัดงานรื่นเริงทุกปีในวันฟ้าเปิดเพื่อขอบคุณเหล่าทวยเทพ
— เทพนิยายแกชอน —
1. ลัทธิโทเทมกำลังเฟื่องฟู
2. เห็นได้ชัดว่ามีเผ่าเสือมากกว่าสี่ตน
3. พยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์และเทพมนุษย์นั้นเท่าเทียมกัน
4. เห็นได้ชัดว่ามีระบอบปกครองแบบเทวาธิปไตย
5. เห็นได้ชัดถึงความขัดแย้งระหว่างเผ่าหมีและเผ่าเสือ
—
ข้อความ (A) คือส่วนหนึ่งของเทพนิยายแกชอนที่บันทึกไว้ในมหาประวัติศาสตร์ซัมกุก โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ (B) คือภาพของป้ายศิลาจารึก ณ สุสานพยัคฆ์สวรรค์ ยอดเขาเมฆขาว ภูเขาปีกสวรรค์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทพนิยายแกชอนดั้งเดิม
‘…คำตอบคือข้อ 4 เพราะในเมื่อมีการกล่าวถึงพิธีบวงสรวงของเทพมนุษย์ผู้ปกครองผืนแผ่นดิน เท่ากับว่าระบอบการปกครองต้องเป็นเทวาธิปไตย’
ถึงข้อ 2 กับ 5 จะไม่ผิด แต่มันเป็นกับดัก
เพราะในเทพนิยายแกชอนจะมีพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์แค่สามตน และไม่มีเผ่าหมี
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือคำถามเพื่อชี้วัดว่านักเรียนสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างเทพนิยาย กับความรู้ทางประวัติศาสตร์ของจริงได้หรือไม่
‘บิงโก’
เมื่อกด ‘ยืนยัน’ บนกระดาษสอบอิเล็กทรอนิกส์ของวิชา ‘ความเข้าใจเกี่ยวกับเผ่าแท้ 1’ ข้อความแจ้งเตือน ‘ถูกต้อง’ แสดงขึ้นทันที
ข้อสอบในหมวดเทพนิยายแกชอนง่ายกว่าที่ฉันคิด จึงใช้เวลาสอบน้อยกว่าปกติ
หลังจากยืนยันว่าคำตอบถูกต้อง ระบบเปลี่ยนเป็นคำถามถัดไปทันที
ข้อ 18
จงเลือกคำอธิบาย ‘ที่ผิด’ เกี่ยวกับ ‘ลูกหลานเผ่าแท้’
‘เป็นการวัดว่านักเรียนสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างเผ่าแท้ กับลูกหลานเผ่าแท้ได้หรือไม่’
เผ่าแท้มีลูกยากมาก ไม่ว่าจะกับเผ่าแท้ด้วยกันหรือมนุษย์
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางคนที่ไม่ลดละความพยายาม
อย่างไรก็ดี ถึงจะให้กำเนิดทายาทเผ่าแท้ได้ แต่เด็กคนนั้นก็จะไม่ใช่เผ่าแท้
พวกเขาจะถูกเรียกว่า ‘ลูกหลานเผ่าแท้’
[ข้อสอบเกี่ยวกับลูกหลานเผ่าแท้นั้นไม่ยาก ถ้านึกถึงย็อมจุนยอลของโรงเรียนเรา นักเรียนก็จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นทันที… แม่ของย็อมจุนยอลเกิดจากเผ่าแท้ (มังกร) แต่ทั้งแม่และตัวย็อมจุนยอลก็ไม่มีใครเป็นเผ่าแท้ พวกเขาจะเป็นได้เพียงลูกหลานมังกร]
ฉันตรวจสอบคำตอบพลางนึกถึงสิ่งที่อิมยอนวา—ครูเจ้าของวิชา ‘ความเข้าใจเกี่ยวกับเผ่าแท้ 1’ —เคยสอนในคาบเรียน
‘แม้ว่าเลือดของย็อมจุนยอลจะเจือจางมาก แต่เขาก็เป็นลูกหลานเผ่ามังกร…’
หากคำนึงว่าแม่ของย็อมจุนยอลก็เป็นลูกหลานเผ่าแท้ การที่เขาเกิดมาได้จึงถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์
เป็นเหตุผลว่าทำไมย็อมบังยอลและเผ่ามังกร ถึงต้องคอยทะนุถนอมย็อมจุนยอล
‘เพราะลูกหลานเผ่ามังกรมีไม่ถึงสิบคน’
จำนวนลูกหลานเผ่าแท้ จะน้อยกว่าจำนวนเผ่าแท้พอสมควร
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมข้อสอบถึงมีแต่คำถามง่ายๆ
ย็อมจุนยอลออกจะโด่งดังขนาดนั้น จะมีคนตอบผิดด้วยหรือ?
‘ลูกหลานเผ่าแท้จะอยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์กับเผ่าแท้… พวกเขาแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ แต่อ่อนแอกว่าเผ่าแท้ และมิอาจต่อต้านเผ่าแท้ในสายเลือดตัวเองได้… มีผลเสียพอสมควร’
เมื่อทำข้อสอบทั้งห้าสิบข้อเสร็จ ฉันปิดกระดาษสอบอิเล็กทรอนิกส์
เนื่องจากวันนี้ฉันมาโรงเรียนเช้า จึงเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้อง
‘เพิ่งเปิดเทอมได้หนึ่งสัปดาห์ แต่ชักเริ่มเบื่อการสอบแล้วแฮะ’
โรงเรียนแสงเงินเปิดมาได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว
เหตุการณ์สำคัญในช่วงที่ผ่านมา คือการประเมินการศึกษาแห่งชาติ ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานการศึกษาพิเศษกรุงโซล
การประเมินการศึกษาแห่งชาติ คือการสอบที่จัดขึ้นพร้อมกันในทุกโรงเรียนมัธยมปลาย โดยไม่เกี่ยงว่าจะมีจุดประสงค์พิเศษหรือเป็นโรงเรียนมัธยมทั่วไป
ดังนั้น วิชาสอบทั้งหมดจึงมีเนื้อหาด้านวิชาการเป็นหลัก
เด็กปีหนึ่งอย่างจูซูย็อกและอันดาอินสอบได้คะแนนเต็ม จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปพักใหญ่
‘ถึงเราจะสอบได้อันดับกลางๆ ก็เถอะ’
แม้โรงเรียนแสงเงินจะเป็นโรงเรียนมัธยมปลายที่ทรงเกียรติที่สุดในเกาหลี แต่ในฐานะผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมาแล้ว นี่เป็นคะแนนที่น่าอับอาย
ถ้าจะให้แก้ตัวก็คือ ฉันไม่ได้สอบวิชาการระดับชาติมาสิบกว่าปีแล้ว และตั้งแต่ถูกส่งมายังโลกใบนี้ เรื่องเดียวที่ฉันหมั่นศึกษาคือประเด็นของเพลเยอร์
โดยส่วนตัว ฉันพึงพอใจกับผลลัพธ์
‘หลังจากนี้จะเป็นการจำลองสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยนักเรียนจะได้สอบแค่วิชาที่ลงเรียน จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง’
ฉันไม่ได้ลงเรียนวิชาที่เคยเรียนในโรงเรียนมัธยมแม้แต่วิชาเดียว
จางนัมอุกที่เห็นวิชาเลือกของฉัน เอาแต่บ่นว่า ‘นายตัดใจจากการสอบเข้ามหาลัยฯ แล้วหรือ?’
หากต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเพลเยอร์ นักเรียนต้องสอบวิชาพื้นฐานให้ผ่านเกณฑ์ ดังนั้นถ้าใครตั้งเป้าว่าจะเรียนต่อ ส่วนใหญ่จะลงเรียนวิชาเชิงวิชาการ
‘มหาลัยฯ สินะ…’
ฉันเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตในรั้วมหาลัยฯ มาแล้ว
ไม่มีความโหยหาหรือจินตนาการใดๆ อีกต่อไป
สิ่งเดียวที่ฉันโหยหา คือจุดจบที่มีความสุขของโลกใบนี้
‘ตั้งใจเรียนดีกว่า’
ควรเลิกฟุ้งซ่านกับเรื่องที่ทำให้จิตใจหม่นหมอง
เฉกเช่นโรงเรียนมัธยมปลายดังๆ ทั่วไป การสอบอาจเกิดขึ้นได้ทุกวัน ดังนั้นห้ามปล่อยปละละเลย
สำหรับตอนนี้ ผลการเรียนของฉันอยู่ในอันดับต้นๆ ของวิชาพิเศษ
‘ค่อนข้างน่าเสียดายที่เกรดพวกนี้จะไม่สะท้อนในผลการเรียนรวม…’
เนื่องจากฉันศึกษาล่วงหน้าด้วย ‘สกิลเมนูพิเศษ’ จึงแทบไม่รู้สึกกดดันกับการสอบที่กำลังจะมาถึง
ในทางกลับกัน ฉันรู้สึกสนุกที่ได้เรียนรู้รายละเอียดยิบย่อยที่ไม่เคยถูกกล่าวถึงในหนังสือเซตติ้ง
‘สำหรับโลกนี้ เสือครามจะถูกกล่าวถึงเป็นลำดับสาม ถัดจากเสือขาวและเสือเหลือง…’
ฉันครุ่นคิดขณะอ่านเทพนิยายแกชอนฉบับสมบูรณ์อีกครั้ง
เผ่าเสือที่แข็งแกร่งซึ่งปรากฏตัวในเกม ประกอบไปด้วยเสือขาว เสือเหลือง และเสือแดง
นอกเหนือจากนั้น มีการกล่าวถึงเผ่าเสืออื่นอยู่เป็นเนืองๆ แต่ไม่เคยปรากฏตัวโดยตรง
อย่างมากก็มาเป็น ‘เค้าโครง’ ในฉากย้อนอดีตตัวละคร
‘ถ้าเสือครามขอพรให้ได้อยู่กับเทพมนุษย์ ตอนนี้ก็คงกำลังอยู่เคียงข้างเทพมนุษย์’
อันดับแรก ฉันต้องยืนยันการดำรงอยู่ของเสือครามกับเทพมนุษย์ให้ได้
หากคำนึงจากภาพรวมของเกม โลกนี้กับเกมจะมีความขัดแย้งและช่องว่างอยู่สองสามจุด
หากขุดลึกลงไป ก็คงคาดเดาสถานการณ์ปัจจุบันของเสือครามกับเทพมนุษย์ได้คร่าวๆ
ทว่า
‘ตอนนี้ยังไม่มีวิธียืนยัน’
วิธียืนยันคงโผล่ขึ้นมาเองถ้าปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไป
ตอนนี้ก็แค่รอ
ครืด!
เสียงประตูอัตโนมัติของปีหนึ่งห้องศูนย์ดังขึ้น
‘คิมยูรีมาแล้ว?’
ฉันเงยหน้ามองขณะคิดแบบนั้น แต่กลับได้พบบุคคลที่คาดไม่ถึง
ตัวละครที่ควบคุมไม่ได้ในเกมเพลเมโก—ฮันอี
“อรุณสวัสดิ์”
เมื่อฉันทักทาย ฮันอีตอบกลับด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“รุณหวัดฯ โชอึยชิน”
ฮันอีมีผลการเรียนยอดเยี่ยม แถมยังไม่เคยก่อเรื่อง
แม้จะเป็นคนเงียบๆ แต่เธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับครู
การที่ถูกส่งมาเรียนห้องศูนย์ เพราะเธอคือผู้บกพร่องทางการได้ยินระดับสอง—หูหนวกโดยสมบูรณ์
〈เรียกดูข้อมูลตัวละคร ‘ฮันอี’ 〉
[ชื่อ] ฮันอี
[สมญานาม] ปีหนึ่งห้องศูนย์โรงเรียนแสงเงิน (โหลดล้มเหลวบางส่วน)
[พรคุ้มครอง] (โหลดล้มเหลวบางส่วน)
[แสงประทาน] (ปิดใช้งาน)
[สถานะ] (โหลดล้มเหลวบางส่วน)
[ค่าสถานะโดยรวม] Lv.17
[สกิล]
กระโจน Lv.3
ตรวจจับตัวตน Lv.4
มวยพยัคฆ์ Lv.4
(โหลดล้มเหลวบางส่วน)
[คำอธิบาย]
ต้องอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ห้าขวบ
พิการทางการได้ยินระดับสอง, หูหนวกโดยสิ้นเชิง
ไม่สามารถฟื้นฟูการได้ยินแม้จะใช้ประสาทหูเทียมและสกิลการฟื้นฟูของเพลเยอร์เข้าช่วย จึงสันนิษฐานว่าเธอถูกสาปด้วยคำสาปรุนแรงก่อนอายุห้าขวบ
ชำนาญการอ่านปากอย่างมาก จึงไม่มีปัญหาด้านการสื่อสาร
(โหลดล้มเหลวบางส่วน)
‘ฝีมือระดับต้นๆ ของนักเรียนเลย คงเพราะเป็น NPC เราเลยแทบไม่เคยเห็นข้อมูลผ่านตา’
โรงเรียนแสงเงินไม่มีโควตาพิเศษสำหรับผู้พิการ
นักเรียนที่นี่จะถูกส่งไปต่างโลกตั้งแต่เทอมสองของชั้นปีหนึ่ง เพื่อต่อกรกับเอนามี
ผลลัพธ์เดิมพันด้วยความเป็นความตาย
จึงไม่มีสิทธิพิเศษให้กับความพิการหรือไม่พิการ
‘ฮันอีคืออัจฉริยะที่สามารถสอบเข้าโรงเรียนแสงเงินด้วยเงื่อนไขเดียวกับคนปกติ แถมคะแนนยังอยู่ในระดับท็อป’
เนื่องจากไม่เคยมีนักเรียนพิการสอบผ่านมาก่อน หลังจากการปรึกษาหารือกัน เหล่าคณาจารย์ตัดสินใจส่งเธอมาเรียนห้องศูนย์
เพราะประเมินแล้วว่า ครูประจำชั้นที่ดูแลนักเรียนแค่ยี่สิบคน คงเอาใจใส่เธอได้มากกว่าครูประจำชั้นที่ต้องดูแลนักเรียนห้าสิบคน
‘ถึงฮันอีจะแทบไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากครูเลยก็เถอะ…’
ฮันอีใช้สกิลตรวจจับเลเวลสูงร่วมกับเทคนิคการอ่านปาก
ขอแค่เห็นริมฝีปาก ฮันอีจะเข้าใจบทสนทนาได้อย่างสมบูรณ์ และตอบสนองด้วยการเปล่งเสียงอย่างเป็นธรรมชาติ
แม้แต่ในเกมก็มีฉากที่คนรอบตัวเผยสีหน้าประหลาดใจเมื่อเพิ่งรู้ว่าฮันอีหูหนวก
“วันนี้มาเร็วนะ” nᴏᴠᴇʟɢu.cᴏm
“ชมรมเพิ่งเปิดรับสมัครเป็นวันแรก”
พูดถึงชมรม นี่คงเป็นเหตุผลอันดับหนึ่งที่ฮันอีเลือกเรียนโรงเรียนแสงเงิน
เธอคงมาโรงเรียนแต่เช้าเพราะอยากรีบส่งใบสมัคร
‘ชมรมมวยพยัคฆ์แน่นอน’
ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ฮันอีเติบโตมา จะมีตัวละครชื่อ ‘กงชอนวาน’ ซึ่งทำงานอาสาสมัครอยู่ที่นั่นมาเนิ่นนาน
เขาคือคนแรกที่พบว่าฮันอีเป็นเพลเยอร์
กงชอนวานสอนเทคนิคการอ่านปากและมวยพยัคฆ์ให้ฮันอี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิชาต่อสู้เก่าแก่ของเกาหลี
(มวยพยัคฆ์ชื่อ เทโฮควอน เป็นการล้อ เทควอนโด; โฮ = เสือ)
‘เขาคอยปลุกปั้นฮันอีจนเธอสอบติดโรงเรียนแสงเงิน เป็นคนที่สุดยอดมาก’
และตอนนี้
กงชอนวานกำลังทำงานเป็นครูชั่วคราวที่โรงเรียนแสงเงิน โดยรับงานเป็นที่ปรึกษาชมรมมวยพยัคฆ์
“จะเข้าชมรมมวยพยัคฆ์ใช่ไหม”
“ใช่”
ฮันอีเผยรอยยิ้มคลุมเครือ
‘สำหรับโลกนี้… เธอเพิ่งทำสีหน้าแบบนี้เป็นครั้งแรกสินะ’
ภายในเกม หลังจากกงชอนวานตายเพราะปกป้องนักเรียนคนหนึ่ง
ฮันอีที่มาเจอเขาเมื่อสาย เผยรอยยิ้มแบบเมื่อครู่
แม้เอนามีจะเข้ามาใกล้ แต่เธอก็ไม่ตอบสนอง
ภาพสุดท้ายของเธอคือการโคลสอัปใบหน้าที่กำลังนั่งหลับตาข้างๆ กงชอนวาน
‘เลิกคิดดีกว่า’
ฉันเรียนหนักไปรึเปล่า?
กระแสความคิดมักจะไหลไปในทิศทางที่มืดมนเสมอ
ฉันตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“ในคาบเรียนต่อสู้เมื่อสัปดาห์ก่อน การดวลของเธอน่าประทับใจมาก ไว้มีเวลาว่างฉันจะแวะไปที่ชมรม”
ในคาบแรกของวิชาฝึกซ้อมต่อสู้สำหรับเพลเยอร์ ฮันอีดวลกับวังจีโฮ
ดวงตาวังจีโฮเป็นประกายทันทีที่เห็นฮันอีทั้งท่ามวยพยัคฆ์ ด้วยสนับที่เสกจากไอเท็มการ์ด
‘มีข่าวลือว่าต้นกำเนิดของมวยพยัคฆ์มาจากเผ่าเสือ แต่ดูจากปฏิกิริยาของวังจีโฮ เห็นทีคงไม่ใช่แค่ข่าวลือ’
วังจีโฮโยนการ์ดไอเท็มของตัวเองทิ้งทันทีหลังจากเห็นฮันอีตั้งท่า
แม้ว่าครูและนักเรียนคนอื่นจะทำหน้าฉงน แต่วังจีโฮไม่แยแส
วังจีโฮทิ้งสกิลต่อสู้ที่เคยแจ้งไว้กับครู และใช้มวยพยัคฆ์ด้วยมือเปล่า
เป็นการต่อสู้ที่เสือเหลืองยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับตื่นเต้นที่ได้พบทายาทมวยพยัคฆ์ฝีมือดี
ภาพดังกล่าวยิ่งทำให้เขาดูเหมือนคนเพี้ยน
‘มวยพยัคฆ์เป็นวิชาต่อสู้โบราณที่ถูกเทควอนโดแซงหน้าในด้านความนิยม จนปัจจุบันถูกลืมเลือนและเหลือแค่ในบันทึก เขาคงไม่ได้เห็นผู้สืบทอดมานานแล้วสินะ’
ผลการดวลจบลงด้วยชัยชนะของวังจีโฮ
และพฤติกรรมสุดเพี้ยนของวังจีโฮ ทำให้คนนอกมองว่าเด็กห้องศูนย์เป็นพวกไม่เต็มเต็งมากขึ้น
“วังจีโฮจะเข้าชมรมมวยพยัคฆ์ไหมนะ”
ฮันอีถามด้วยใบหน้าเจือความเศร้า
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าเบื่อๆ เขาอาจแวะไปก็ได้”
วังจีโฮผู้ไม่สนใจกิจการของโรงเรียน คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีชมรมเล็กๆ อย่างมวยพยัคฆ์อยู่ในรั้วโรงเรียน
แต่ถ้าฮันอีเข้าร่วม อีกไม่นานก็คงจะได้รู้จัก
ดูจากท่าทีในคาบแรก มีแนวโน้มที่วังจีโฮจะแวะไปดวลกับเธอบ่อยๆ
“ครั้งหน้าฉันชนะแน่”
ฮันอีพูดพลางทำตาเป็นประกาย
เหรอ… อีกฝ่ายเป็นถึงเสือเหลืองแห่งเผ่าเสือเชียวนะ
แถมยังไม่ได้ถูกลด ‘ขั้น’ หรือถูกครอบงำด้วยโทสะแห่งเทพเหมือนกับเสือแดงและเสือขาว
มวยผิดรุ่นไปหน่อยแฮะ
ถึงอย่างนั้นฉันก็เชียร์เธอ
“อื้อ เอาใจช่วยนะ”
ขณะฮันอีเปิดปากเพื่อพูดขอบคุณ
ก๊อกก๊อก!
มีเสียงเคาะดังมาจากทั้งประตูหน้าและประตูหลังของห้องเรียนพร้อมกัน
เมื่อสัมผัสถึงความเคลื่อนไหว ฮันอีรีบหันไปมองประตู
เนื่องจากฉันไม่สามารถเดินไปเปิดประตูสองบานพร้อมกันได้ ทางเลือกเดียวจึงเป็นการอนุญาตให้พวกเขาเข้ามา
“เข้ามา”
ครืด!
“อึยชิน ว่างคุยกับฉันไหม!”
“โชอึยชินอยู่ไหม!”
ผู้ที่เปิดประตูหน้าคืออูซังฮี ส่วนประตูหลังคืออูซังฮุน
‘…ไม่ได้มาด้วยกัน?’
ห้องเรียนของปีหนึ่งห้องศูนย์ตั้งอยู่หัวมุมอาคาร โดยที่ประตูหน้าจะติดกับทางเข้าตึก
ส่วนประตูหลังติดกับประตูห้องหนึ่ง
ดังนั้น อูซังฮีและอูซังฮุนจึงเข้ามาในห้องศูนย์ได้โดยที่ไม่เจอกัน
ทั้งสองเพิ่งรับรู้ถึงตัวตนของกันและกันเมื่อสาย
“มาทำอะไร?”
“พูดกับพี่สาวแบบนี้?”
“เด็กปีสามมาทำอะไรที่ห้องเด็กปีหนึ่ง?”
“ก็ต้องมาหาอึยชินอยู่แล้ว”
ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา
แต่หนึ่งสิ่งที่ฉันรู้ก็คือ มีเด็กปีสามเข้ามาในเขตของเด็กปีหนึ่ง
ไม่ใช่แค่นั้น อูซังฮีคือนักเรียนดีเด่นที่ติดท็อปสิบคะแนนรวมของรุ่นมาตลอด ขณะเดียวกันก็เป็นเลขานุการสภานักเรียน
‘แถมยังมีสกิลรักษาที่หาได้ยาก เป็นคนดังอย่างไม่ต้องสงสัย’
ถ้ามีเด็กปีหนึ่งคนไหนมาเห็นเข้า อีกไม่นานคงยกโขยงมามุงกันเต็ม
นี่ก็เริ่มเอะอะกันแล้ว
“อรุณสวัสดิ์ รุ่นพี่อูซังฮี… ซังฮุนสบายดีไหม? ทั้งสองคนมีธุระอะไร?”
ฉันต้องรีบฟังธุระของพวกเขาแล้วส่งกลับ
ทั้งสองตอบพร้อมกันหลังจากได้ยินคำถาม เป็นการประสานเสียงอย่างสมบูรณ์สมกับเป็นพี่น้อง
“อึยชิน เข้าสภานักเรียนกับฉันเถอะ!”
“โชอึยชิน เข้าชมรมบาสฯ กับฉันเถอะ!”
ฉันพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำชักชวนที่เหนือความคาดหมาย
—
MasterGU.edited = แสงประธาน->แสงประทาน, ได้ได้, ที่กับ->ที่ดีกับ, ก็เลขา->ก็เป็นเลขา, อีกมานาน->อีกไม่นาน