ในห้องเรียน 1/0, ขณะกำลังรอให้ถึงเวลาโฮมรูม
“สวัสดี”
ครูกิตติมศักดิ์—ควอนเจอินกล่าวทักทายพร้อมกับเดินเข้ามา
เด็กๆ ในห้องรีบตอบสนองอย่างลนลาน
ควอนเจอินยิ้มอ่อนโยนรับทุกคำทักทาย
“รุ่นพี่มาทำอะไรหรือคะ ครูฮัมกึนยองยังมาไม่ถึง…”
“ฉันมีอะไรจะให้พวกเธอ”
ได้ยินคำพูดควอนเจอิน นักเรียนบางคนเริ่มหวั่นวิตก
หากคำนึงจากวีรกรรมการมอบของขวัญอย่างสุดโต่งเมื่อครั้งอดีต นั่นเป็นการตอบสนองที่เข้าใจได้
“…บังเอิญเตรียมมาครบจำนวนคนพอดีเลย เพราะงั้นทุกคนรับไว้นะ”
ควอนเจอินหยิบกล่องที่ถูกห่ออย่างประณีตจำนวนเก้ากล่องออกจากถุงชอปปิ้งในมือ
มองยังไงก็ดูไม่เหมือนการ ‘บังเอิญ’ แต่ผ่านการวางแผนมาอย่างดี
“ของข้างในเหมือนกันทุกใบ เลือกเอาตามใจชอบได้เลยจ่ะ”
“ขอถามได้ไหมครับว่าข้างในเป็นอะไร”
“ที่คาดผมที่ฉันสวมตอนถ่ายปกอัลบัม”
หมายถึง ‘ที่คาดผมควอนเจอิน’ อันนั้น?
หลังจากได้ยินว่าสองสาวหาซื้อที่คาดผมไม่ได้ เธอคงวางแผนเตรียมของขวัญนับแต่นั้น
“…ให้พวกเราจะดีหรือคะ”
“ถ้าไม่ชอบ ฉันเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ได้นะ”
ยังมีอีก? ไหงเมื่อครู่บอกว่า ‘เตรียมมาครบคนพอดี’ ?
มีเรื่องแปลกอยู่เต็มไปหมด
ต้องเป็นคนประเภทไหนถึงให้ ‘ที่คาดผม’ เป็นของขวัญนักเรียนชายม.ปลาย? แถมหนึ่งในนั้นคือผู้นำเผ่าเสืออายุห้าพันปี
แม้เด็กๆ จะคิดว่ามันแปลก แต่ทุกคนก็เต็มใจรับไว้ด้วยสามัญสำนึกที่ว่า ‘นี่ล่ะรุ่นพี่ควอนเจอิน’
“อ๊ะ”
บลูไวโอลินิสต์ทำหน้าเหมือนเพิ่งฉุกคิดถึงปัญหา
“ลืมเตรียมมาให้ครูฮัมกึนยอง”
…ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า
การมอบที่คาดผมลูกไม้ให้ครูหน้าโหดแบบฮัมกึนยอง อีกฝ่ายอาจมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งเอาได้
“ขอบคุณค่ะ พวกเราจะใช้อย่างดีเลย…!”
“…ขอบคุณค่ะ”
“อื้อ”
ควอนเจอินรู้สึกภูมิใจหลังจากได้รับคำขอบคุณจากเด็กๆ
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นสีหน้ามีความสุขของควอนเลนา
เธอคงรู้สึกขอบคุณคำแนะนำของฉัน
แต่ไม่แน่ใจว่าจะยังมีความสุขหรือไม่ หากรู้เรื่องที่นักเรียนห้องศูนย์มองเธอว่า ‘รุ่นพี่ควอนเจอินพิลึกคนกว่าที่คิด’
หลังจากบลูไวโอลินิสต์เข้ามาและจากไปอย่างปุบปับ
“…ฉันเอาไปให้อีโฮดีไหม”
“แล้วนายจะใช้เองหรือไง”
“ถ้าใช้ตอนผมยาวทิ่มตา ก็น่าจะเหมาะอยู่ไม่ใช่หรือ”
“ครูกับรุ่นพี่โรงเรียนนี้มีแต่พวกนอตในหัวไม่ครบหรือไงนะ”
แตกต่างจากบรรยากาศกระอักกระอ่วนของนักเรียนชาย ฝั่งนักเรียนหญิงกำลังตื่นเต้น
“ไม่น่าเชื่อ… เหมือนกับอันที่รุ่นพี่ควอนเจอินใส่ถ่ายปกอัลบัมเลย!”
“โชคดีจัง! พวกเราตระเวนหากันทั่วกรุงโซลยังไม่ได้เลยเนอะ!”
“ใช้เลยดีกว่า”
“เดี๋ยวฉันไปเอาหวีมาให้”
ขณะกลุ่มนักเรียนหญิงลากเก้าอี้ไปจัดแต่งทรงผมหน้ากระจกด้วยบรรยากาศชื่นมื่น
“…ฉันลองด้วยดีกว่า”
มินกือรินผู้สวมฮู้ดคลุมหัวตลอดเวลา ลังเลสักพักก่อนจะเกริ่นขึ้นมา
“เอาสิ!”
“กือริน มานั่งตรงนี้!”
ควอนเลนาและคิมยูรีหยุดสิ่งที่ทำอยู่ทันที เพื่อเปิดทางให้มินกือรินนั่ง
ขณะหญิงสาวถอดฮู้ดลงอย่างระมัดระวังท่ามกลางสายตาเพื่อนร่วมชั้น
ผมที่ถูกกดอยู่ในฮู้ดเริ่มกระดกออกมา แต่ควอนเลนากับคิมยูรีช่วยกันใช้หวีและกิ๊บจัดแต่งอย่างชำนาญจนดูน่ารัก
หลังจากสวมที่คาดผมทับผมหยักศกที่ยาวถึงกระดูกไหปลาร้า ออร่ารอบตัวเธอแตกต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“เหมาะมากเลย!”
“กือรินอาจจะไม่สูง แต่ก็หน้าเล็ก… การสวมที่คาดผมช่วยเสริมบุคลิกได้ดีมากเลย!”
ตามที่เพื่อนผลัดกันชม มันดูเข้ากับมินกือรินมาก
‘อีกสักพักคงไม่ต้องใช้แว่น AR แล้ว’
การที่มินกือรินยอมถอดฮู้ด แม้จะแค่ครู่เดียว คือสัญญาณว่าเธอยอมเปิดใจมากขึ้น
มองดูภาพสะท้อนตัวเองในกระจก มินกือรินรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยังไม่คิดจะสวมฮู้ดปิดทับ
“กือริน เหมาะมากเลยล่ะ”
“อื้อ…”
ซงแดซอกกล่าวขณะโน้มตัวลงไปยังระดับสายตามินกือริน
คงเป็นภาษากายที่สื่อถือความอยากใกล้ชิดกับเธอ
มินกือรินคงเขินที่ถูกชมในระยะประชิด จึงรีบคว้าที่คาดผมในมือซงแดซอกแล้วจับสวมหัวอีกฝ่าย
“แดซอกใส่ก็เหมาะเหมือนกัน”
เธอทำไปเพื่อแก้เขินก็จริง แต่มองจากคนนอกมันดูเหมือนการแสดงความรัก
“ข…ขอบใจ”
การตอบสนองอย่างอ่อนโยนของซงแดซอกซึ่งยังสวมที่คาดผมไม่เรียบร้อย ช่วงดึงพวกเขาดำดิ่งเข้าสู่โลกสองคนสองคน
ครูฮัมกึนยองที่เดินเข้ามาในคาบโฮมรูม ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นที่คาดผมบนหัวซงแดซอก แต่ก็ปล่อยผ่านหลังจากเห็นมินกือรินสวมแบบเดียวกัน
“…หมอนั่นจะไม่ถอดจริงดิ”
“ปล่อยไปเถอะ นานๆ ทีจะได้เห็นอะไรแบบนี้”
ราวกับไม่ได้ยินคำวิจารณ์ของเม็งเฮียวทงและวังจีโฮ สองคู่หูมินกือรินกับซงแดซอกสวมที่คาดผมตลอดทั้งวัน
* * *
“…ฉันแพ้แล้ว”
พัคซึงยอนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตะแคงคิงตัวเองพร้อมกับประกาศ
“นายเก่งกว่าคราวก่อนอีกนะ รูปแบบการเล่นเปลี่ยนไปนิดหน่อยด้วย”
“งั้นหรือ”
“ถ้าพูดให้ดูดีก็ต้องบอกว่า ‘ผ่อนคลายมากขึ้น’ … แต่ถ้าให้พูดจากใจ… ฉันคิดว่าแต่ละก้าวของนายเต็มไปด้วย ‘พิรุธ’”
ไม่ผิดจากที่พัคซึงยอนพูด
แม้อาการปวดหัวหรือมือชาจะยังไม่หายไป แต่ฉันเริ่มชินกับความเข้มข้นของเกมหมากรุก
ส่งผลให้เลิกตีกรอบว่าต้อง ‘รีบจบเกม’ และเลือกเดินแต่หมากวัดใจ โดยเปลี่ยนไปเดินหมากระยะยาวมากขึ้น
หลังจากย้อนวิเคราะห์กระดานที่เพิ่งจบลง เราสองคนลุกขึ้นยืน
“ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
“อา… เมนูอาหารวันนี้เป็นเนื้อหม้อหินสไตล์เกาหลี และบิบิมบับ หรือถ้าเอาแนวตะวันตกก็มีสเต๊กแฮมเบิร์กเห็ด”
ปกติแล้วฉันจะแข่งหมากรุกที่ห้องกลุ่มย่อยสเทลเมต แต่วันนี้นัดแข่งที่ห้องสันทนาการของสมาคมปีกธรณี
เราสองคนย้ายตำแหน่งไปยังโรงอาหารประจำหอใน
‘ตอนนี้ย็อมจุนยอลกับชอนดงฮาคงกำลังแข่งกันอยู่ที่ห้องชมรมสเทลเมต’
ปีนี้มีสถิติการคัดค้านข้อสอบสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของโรงเรียนแสงเงิน
และก่อนที่คะแนนสอบสุดท้ายจะประกาศอย่างเป็นทางการ ห้องแข่งหมากรุกของกลุ่มย่อยสเทลเมตกำลังเนืองแน่นไปด้วยผู้ชม เนื่องจากสองตัวเต็งที่จะได้คะแนนท็อปของชั้นปีสอง—ย็อมจุนยอลและชอนดงฮา กำลังนั่งดวลหมากรุกกัน
ตอนแรกมีคนเสนอให้จัดแข่งที่โรงยิม แต่ทั้งสองปฏิเสธ จำนวนคนดูจึงถูกจำกัดไว้เฉพาะกลุ่มที่จองล่วงหน้า แต่ก็แก้ไขปัญหาด้วยการถ่ายทอดสดแทน
ฉันเองก็อยากไปดูเกมดังกล่าว แต่เนื่องจากเลื่อนนัดแข่งกับพัคซึงยอนมาหลายครั้งแล้ว จึงตัดสินใจสะสางให้เสร็จแล้วค่อยไปดูย้อนหลังเอา
“ห้องศูนย์ไปเข้าค่ายยุวชนพร้อมกับห้องหนึ่งและสองสินะ… ไปที่ไหนกันล่ะ”
“เกาะซอกโม”
“ห้องของฉันก็ไปเข้าค่ายวันเดียวกัน แต่คนละสถานที่… สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเพลเยอร์มีจำนวนจำกัดจริงๆ”
ไม่มีทางที่ฉันจะได้เจอกับพัคซึงยอน—นักเรียนห้อง 1/7 ในค่ายยุวชน
เราคุยกันหลายเรื่อง เช่นเมนูมื้อค่ำ เกมหมากรุกเมื่อสักครู่ ทำนายลำดับคะแนนสอบของแต่ละชั้นปีหลังจากประท้วงข้อสอบ และอีกมาก จากนั้นก็แยกย้าย
เมื่อกลับถึงห้องพัก สิ่งแรกที่ฉันทำคือการตรวจสอบผลการแข่งระหว่างชอนดงฮากับย็อมจุนยอล
เกมหมากรุกของพวกเขา ซึ่งเริ่มแข่งใกล้กับคู่ของฉันและพัคซึงยอน ใช้เวลานานกว่าเราถึงสองเท่า
‘ตอนเรานั่งกินข้าวอยู่ พวกเขาก็ยังแข่งไม่เสร็จ… ผลก็คือ… ชอนดงฮาชนะ’
เป็นการแข่งที่ดุเดือดมาก เหลือหมากขาวกับดำแค่ไม่กี่ตัว และยากที่จะคาดเดาผู้ชนะ
แต่ในที่สุดชอนดงฮาก็หาจังหวะรุกฆาตและคว้าชัยไปได้อย่างเฉียดฉิวโนเวลกูดอทคoม
‘เป็นเกมที่ใครจะชนะก็ได้’
ระหว่างที่ฉันไล่ดูบันทึกการแข่งด้วยความชื่นชม
ปิ๊งป่อง!
เสียงแจ้งเตือนดังมาจากดีไวซ์
ผู้ส่งข้อความคือวังจีโฮ
[วังจีโฮ] อยู่ที่หอพักใช่ไหม… แวะมาคฤหาสน์ของฉันหน่อยสิ
ในเวลาแบบนี้?
มองดูนาฬิกา เพิ่งเลยสองทุ่มมาเล็กน้อย
ถึงจะไม่ได้ดึกจนเกินไป แต่การออกไปไหนมาไหนก็ไม่ปกติเช่นกัน
ขณะฉันเตรียมตอบกลับไปว่า ‘ถ้าไม่เร่งด่วนขอเป็นวันหลังได้ไหม’
[วังจีโฮ] ฉันได้ยาวิเศษสำหรับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว
[ฉัน] กำลังจะออก
ฉันเตรียมตัวออกจากห้องโดยไม่มัวลีลา
* * *
ทันทีที่เปิดประตูคฤหาสน์วังมยองโฮ คลื่นพลังวิเศษแผ่ปะทะใบหน้าฉัน
“ย๊าห์!”
“ย่าห์!”
คลื่นพลังวิเศษที่ไม่มีเจตนาจะทำร้ายเป้าหมาย โอบกอดร่างกายเล็กน้อยก่อนจะสลายไป
สามพี่น้องเสือเงินยืนจ้องละอองคลื่นพลังสีเงินด้วยใบหน้าผิดหวัง
“ล้มเหลว…”
“อุตส่าห์เตรียมตัวมาตั้งนาน!”
ฉันเดาไม่ออกว่าพวกเขาเตรียมตัวทำอะไร
“เพื่อเซอร์ไพรส์อึยชินอปป้า เราสามคนวางแผนมอบพรคุ้มครองให้พี่”
“…อย่างนี้นี่เอง”
“พี่โทยอนเล่าว่า พี่อึยชินปฏิเสธพรคุ้มครองของท่านเสือเหลือง ดังนั้นถ้าพวกเราขออนุญาตก่อน พี่ก็น่าจะปฏิเสธเหมือนกัน ข้าก็เลย…”
ฉันดีใจก็จริง แต่ลูกหลานแจกพรคุ้มครองได้ด้วยหรือไง?
โดยเฉพาะการแจกแบบไม่ได้รับการยินยอม
แม้แต่เผ่าแท้กับเบื้องบน ก็ยังต้องเคลียร์ข้อจำกัดค่อนข้างมากเพื่อแจกพรคุ้มครอง
‘พรคุ้มครองไม่ใช่พลังวิเศษหรือทักษะ แต่เป็นการสลัก ‘ตัวตน’ ไว้กับผู้รับพร… ไม่ว่าจะมีพลังวิเศษยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ถ้าไม่ใช่ ‘ตัวตน’ ระดับเผ่าแท้หรือเทพก็เปล่าประโยชน์’
วังจีโฮกำลังยืนมองลูกหลานเสือเงินทั้งสามในท่ากุมหน้าผาก
“…พรคุ้มครองไม่ได้ให้กันแบบนี้ แล้วลูกหลานอย่างพวกเจ้าก็มอบพรคุ้มครองไม่ได้”
“ใครจะไปรู้ล่ะ! ข้าอาจเป็นลูกหลานคนแรกที่มอบพรคุ้มครองสำเร็จก็ได้!”
“พวกเราแอบทำเพราะรู้ว่าท่านเสือเหลืองคงไม่เห็นด้วยแน่!”
…พวกเขาคงไม่เข้าใจคำว่า ‘แอบทำ’ สักเท่าไร
และฉันก็ไม่เข้าใจด้วยว่า เหตุใดเด็กเรียบร้อยทั้งสามถึงวางแผนทำเรื่องแผลงๆ ที่คาดไม่ถึง
ไม่สิ ถ้าลองย้อนนึกดูก็พอจะเดาได้ไม่ยาก
“วิญญาณภูเขาแนะนำมาใช่ไหม”
“พ…พี่อึยชินรู้ได้ยังไง!”
วิ้ว!
วิญญาณภูเขาที่มองมาจากห้องนั่งเล่น บินวนไปเวียนมาราวกับช่วยยืนยันคำตอบ
แต่พอสัมผัสถึงสายตาของแบคโฮกุนกับวังจีโฮ ร่างกายของมันพลันแข็งทื่อราวกับถูกเนตรส่องรัดตรึง
“สงสัยจะยังฝึกไม่พอ”
“เสือขาว คราวหน้าขอหนักๆ หน่อยสิ”
ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว วิญญาณภูเขาเริ่มสั่นเทา แต่ความสนใจของฉันมุ่งไปทางอื่น
…เจ้าบ่วงหายไปไหน
หน้าทางเข้าและบริเวณใกล้เคียงไม่มีสัญญาณของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลย
“เจ้าบ่วงล่ะ?”
ได้ยินคำถามฉัน ลูกหลานเสือเงินทั้งสามปิดปากเงียบทันที ส่วนวังจีโฮแสยะยิ้ม
แบคโฮกุนชิงตอบก่อนที่ฉันจะถาม
“หลบอยู่ในบ้านที่เจ้าซื้อให้เป็นของขวัญ”
“หลบทำไม?”
“ถ้าได้ยินเสียงเจ้า มันอาจจะยอมออกมาก็ได้”
แม้จะไม่เข้าใจ แต่ฉันตัดสินใจเดินไปหาเจ้าบ่วง
ณ มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นอันกว้างใหญ่ ฉันเห็นก้อนสำลีกำลังหลบอยู่ในบ้านหลังหนึ่งจากหลายหลัง
“เจ้าบ่วง?”
บ๊อก!
ได้ยินเสียงเรียกของฉัน เจ้าบ่วงรีบตะกุยเท้าออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?”
ครืงงงงง…
เจ้าบ่วงส่งเสียงคร่ำครวญอย่างอ่อนแรง
แต่พอวังจีโฮเดินตามเข้ามาในห้อง ฉันเห็นก้อนสำลีสะดุ้งพร้อมกับเกร็งตัว
“นายแกล้งเจ้าบ่วงหรือ”
“ฮะฮะฮะ!”
วังจีโฮหัวเราะชอบใจ
‘รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ’
เมื่อย้ายไปที่ห้องรับแขก ฉันเห็นกระเป๋าใบใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ
ในกระเป๋าเต็มไปด้วยถุงใส่ของเหลวสีประหลาดที่ไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน
“โชอึยชิน นี่คือยาวิเศษสำหรับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่นายเอาแต่ถามถึงยังไงล่ะ”
สั่งมาเยอะขนาดนี้เลย?
วังจีโฮยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เจ้าบ่วงต้องแข็งแรงแน่”
“ใช่แล้ว หลังจากได้ยินว่าเป็นยาสำหรับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำเผ่ากวางก็อาสาปรุงให้ด้วยตัวเอง… ถือเป็นงานที่ค่อนข้างยากเนื่องจากร่างกายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แตกต่างจากมนุษย์และเผ่าแท้”
“แพงไหม? ฉันออกเอง”
“ไม่จำเป็น นี่เป็นยาวิเศษที่ผู้มีพระคุณของเผ่าเสือร้องขอ ผู้นำอย่างฉันจึงต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย”
วังจีโฮยิ้มแฝงเลศนัยอีกครั้ง
ใบหน้านั้นทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
และแล้ว
ลางร้ายได้กลายจริง
…บ๊อก! บ๊อกบ๊อก!
เจ้าบ่วงในอ้อมแขนเงยหน้ามองฉัน สายตาเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง
สายตาของผู้ถูกหักหลัง
ฉันเริ่มกังวลกับใบหน้าที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“หือ? เจ้าบ่วง เกิดอะไรขึ้น?”
ผลุบ!
ก้อนสำลีกระโดดออกจากอ้อมอกฉัน
หากฉันไม่วางลง มันไม่เคยกระโดดลงไปเองสักครั้ง
ก้อนสำลีวิ่งดุ๊กดิ๊กหนีไปขณะฉันยืนสั่นสะท้าน
ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากดูมันตะกุยเท้าโดยไม่เหลียวหลัง
“ฮะฮะฮะฮ่าฮ่า!”
วังจีโฮระเบิดเสียงหัวเราะ
เสียงพูดอันเย็นชาดังขึ้นโดยมีเสียงหัวเราะนั่นเป็นฉากหลัง
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อ่อนไหวต่อประสาทสัมผัสมาก ทั้งกลิ่นและรส”
ได้ยินคำพูดแบคโฮกุน ฉันรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า
…เราสนใจแต่สุขภาพของมัน โดยไม่ได้คำนึงถึงรสชาติที่เหมือนกับของเหลวจากนรก!
ทำไมฉันที่เคยมีประสบการณ์ตรง ถึงไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้!
ฉันโกรธวังจีโฮที่ไม่ยอมเตือน รวมถึงโมโหตัวเองที่ขาดความเอาใจใส่
แม้จะแค่ครู่เดียว แต่ภาพรอยยิ้มแฝงเลศนัยของวังจีโฮยิ่งทำให้ฉันเจ็บใจ
เป็นตาแก่ที่นิสัยไม่ดีจริงๆ
“…ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าเลยหรือ”
ระหว่างที่วังจีโฮกระหน่ำหัวเราะเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ และฉันกำลังยืนจิตใจแตกสลาย เสือแดงปรากฏตัว
“ฮะฮะฮะฮะ! เสือแดง เจ้ามาก็ดีแล้ว! สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กำลังโกรธโชอึยชิน… หือ… เสือแดง…”
เสียงของวังจีโฮพลันแข็งกระด้าง
“บาดเจ็บมาอีกแล้ว? สภาพย่ำแย่กว่าคราวก่อนอีกนะ”
ได้ยินแบบนั้น ฉันรีบสำรวจร่างกายเสือแดงทันที
เป็นไปตามที่วังจีโฮพูด สุขภาพของเสือแดงดูย่ำแยกว่าตอนที่ถูกคราดเก้าซี่เสียบท้องเสียอีก
“…ข้าระบุเป้าหมายของพวกมันได้แล้ว”
“นักเรียนปีหนึ่งของโรงเรียนแสงเงิน?”
“มีมากกว่านั้น”
เป้าหมายของจอมบงการ ไม่ได้มีแค่การรวบรวมเครื่องเซ่น?
เสียงของเสือแดงสั่นเครือขณะรายงาน
“เป้าหมายคือคิมชินรก… ครูประจำชั้นห้อง 1/1 และที่ปรึกษาชมรมปีกธรณี… ที่พวกมันฆ่าไม่สำเร็จเมื่อปีที่แล้ว”