ท่ามกลางฉากหลังที่เป็นบทสนทนาอันอบอุ่นระหว่างหนุ่มสาว มุนแซรอนขยิบตาพร้อมกับยกนิ้วโป้ง
ดูเหมือนอูซังฮุนก็ได้รับข้อความจากมุนแซรอนเช่นกัน เขาโผล่จากด้านหลังพวกเราด้วยย่างก้าวไม่รีบร้อน
“มาแล้วหรือ”
“อา”
อูซังฮุนทักทายห้วนขึ้นทุกวัน แต่ไม่ใช่เพราะเขามีนิสัยเย็นชา
หลังจากโยนคำทักทายที่ไม่เหมือนคำทักทาย อูซังฮุนมองไปทางจูซูย็อกกับอันดาอิน จากนั้นก็มองมาที่มุนแซรอนด้วยสีหน้าทำนอง ‘นี่น่ะหรือ?’
“ถ้าเป็นคนอื่นบังเอิญเดินผ่านมาคงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นพวกนาย สองคนนั้นคงหันมาทักทายตามมารยาท นั่นคือเหตุผลที่ฉันแนะนำให้อ้อม”
“ทำดีมากแซรอน!”
คิมยูรีเองก็เห็นด้วยกับมุนแซรอน
สองสาวถึงกับแลกดีไวซ์โค้ดกัน โดยหวังว่าจะแบ่งปันข้อมูลกันมากขึ้นในอนาคต
“หืม… งั้นก็หมายความว่า หัวหน้าห้องฉันกำลังคบกับหัวหน้าห้องของเธอ?”
“ยังไม่ถึงขั้นนั้น”
“ยังสินะ… เออนี่ ไหนๆ ก็สอบเสร็จแล้ว นัดจางนัมอุกมาเที่ยวกันเถอะ”
อูซังฮุนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา โดยไม่สนใจการกะหนุงกะหนิงของสองอัจฉริยะ
แม้ช่วงแรกจะเริ่มด้วยเรื่องบาสเกตบอล แต่ไม่นานหัวข้อก็เปลี่ยนไปเป็น ‘ฉันอยากจะดังก์ลูกบาสใส่หัวเจ้าโดซีฮูนั่นสักครั้งจัง’ กับ ‘จางนัมอุกก็ต้องโดนด้วยสักหมักสองหมัด’
“อึยชิน!”
เสียงอูซังฮีดังจากด้านหลัง
ไม่แน่ใจว่ามุนแซรอนนัดไว้ก่อนไหม แต่อูซังฮีเองก็เข้าจากประตูหลัง
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ่ะ! จริงสิ ฉันได้ยินเรื่องของโดซีฮูแล้วล่ะ เขาสร้างปัญหาอีกแล้วสินะ… โชคดีจริงๆ ที่ได้นายกับนัมอุก แล้วก็ครูฮัมกึนยองกับท่านจิตรกรฮงคยุงบ๊กช่วยเอาไว้”
อูซังฮีก็รู้จักโดซีฮู?
…แต่อูซังฮุนไม่รู้จักโดซีฮูมาก่อน
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย… พี่รู้จักซีฮูด้วยหรือ”
“อื้อ… ก่อนหน้านี้เคยไปทำงานกับ TC ในการประชุมหนึ่ง ตอนนั้นวอนอูแนะนำให้รู้จัก”
ทำงานกับ TC? ประชุม?
ในเกมไม่ได้ระบุไว้ แต่คำนึงจากการที่น้องชายอย่างอูซังฮุนไม่ได้ไปด้วย คงเป็นงานที่เกี่ยวกับพลังรักษา
‘หือ…’
ครุ่นคิดอยู่สักพัก ฉันหันไปมองอูซังฮีแล้วเพิ่งสังเกตเห็นว่าเธอดูค่อนข้างเพลีย
ตาบวมเล็กน้อย ริมฝีปากขาดเลือด
การสอบก็จบลงไปแล้ว ทำไมถึงดูเหนื่อยนักล่ะ?
“ช่วงนี้สภานักเรียนงานเยอะหรือครับ”
ฉันลองถามหยั่งเชิง แต่อูซังฮีส่ายหน้า
“ไม่เยอะ… งานของสภานักเรียนเท่าเดิม แต่พักหลังฉันกำลังศึกษาเส้นทางอาชีพ”
ในฐานะนักเรียนปีสาม เป็นธรรมดาที่อูซังฮีจะศึกษาเส้นทางอาชีพ
เส้นทางอาชีพของเพลเยอร์นั้นกว้างมาก จนควรศึกษาอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
ยิ่งไปกว่านั้น อูซังฮีคือผู้ครอบครองพลังวิเศษหายาก และยังเป็นเด็กที่อาร์เคียเอ็นดู
…แต่ถึงจะไม่มีพลังรักษา อูซังฮีก็ยังเป็นเพลเยอร์ที่เก่งมากอยู่ดี
‘แม้เราจะรู้อนาคตมาจากเกม แต่คงให้คำแนะนำอะไรไม่ได้’
เพราะในเกม อูซังฮีโยนเส้นทางอาชีพทิ้ง เพื่ออุทิศชีวิตให้กับการแก้แค้น
เป้าหมายคือการกำจัดเอนามีประเภทสัตว์อสูรให้หมดไปจากโลก ซึ่งถือเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จ
แถมยังตายก่อนเรียนจบ
“เฮ้อ…”
อูซังฮุนขมวดคิ้วอย่างไม่ปิดบัง
มองตามสายตาอูซังฮุนไป ฉันเห็นโดวอนอูยืนจ้องมาทางกลุ่มพวกเราด้วยสายตาน่ารังเกียจ
ไม่ว่าจะจ้องในระยะไหล่ชนกัน หรือจ้องผ่านซอกประตูจากตำแหน่งห่างไกล ความน่ารังเกียจก็ยังไม่เปลี่ยน
“ไอ้บ้านั่นทำอะไรอยู่น่ะ”
“วอนอูชอบทำตัวน่ารำคาญตอนฉันกำลังไตร่ตรองเส้นทางอาชีพ ก็เลยสั่งห้ามเข้าใกล้สักระยะ”
“สักระยะ? พี่ควรสั่งห้ามหมอนั่นเข้าใกล้ตลอดชีวิต”
“ชอบทำตัวน่ารำคาญตอนไตร่ตรองเส้นทางอาชีพ?”
ฉันพอจะเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ถามเพื่อความแน่ใจ
“ทางสำนักวิจัยของ TC ได้ยื่นข้อเสนอทาบทามมา… พวกเขาจะออกค่าเล่าเรียนและทุนการศึกษาให้ โดยแลกกับการที่ฉันต้องเข้าร่วมทีมวิจัยทันทีที่เรียนจบ วอนอูเอาแต่เซ้าซี้ให้ตอบตกลง…”
ยิ่งพูด สีหน้าอูซังฮีก็ยิ่งหม่นหมอง
…คงไม่ใช่แค่เพราะรำคาญที่ถูกเซ้าซี้แน่ ต้องมีอะไรอยู่อีก
“พี่ซังฮี สวัสดีค่ะ!”
“มากันแล้วหรือ? เข้ามาสิ”
แต่ก่อนจะได้มีโอกาสถาม กลุ่มคนที่น่าจะเป็นรุ่นน้องสภานักเรียนทยอยเดินเข้ามาจากประตูหน้า
เมื่อใกล้เริ่มประชุม จูซูย็อกกับอันดาอินเดินเข้ามาทักทายพวกเราตามมารยาท
“เอาล่ะเด็กๆ ไปนั่งประจำที่กันเถอะ”
ใบหน้าด้านข้างของอูซังฮีที่กำลังเดินไปนั่ง มีเงามืดปกคลุมอย่างเลือนราง
แม้ฉันจะเป็นห่วง แต่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่ควรถาม จึงทำได้แค่เดินไปนั่งประจำที่
‘รู้สึกยังกับไม่ได้มานานมากแล้ว’
ทั้งที่เพิ่งมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
นักเรียนแต่ละคนแยกย้ายไปนั่งตามป้ายชื่อตัวเอง
สภานักเรียน กรรมการรักษาระเบียบ สมาคมปีกธรณี และหัวหน้ากับรองของแต่ละห้อง
เสียงการสนทนาดังอื้ออึ้งไปทั่วห้องประชุม
“สีหน้าจุนยอลดูไม่ค่อยดีเท่าไรเลย ดูไม่มีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหล่อ… ความหล่อกลบราศีหมองคล้ำได้มิดชิดเลย”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“อ๋อ ก็วันนี้ประกาศผลสอบแล้วไง น่าจะผิดหวังที่แพ้ดงฮาอีกแล้ว”
“อย่างนี้นี่เอง… ดูทำเข้าสิ เอาแต่นั่งจ้องหน้าต่างข้อความที่เปิดค้างไว้ หรือว่าเครียดที่ต้องบอกผลสอบกับทางบ้าน?”
เป้าการสนทนามักเป็นย็อมจุนยอล ผู้นั่งอยู่ในโซนสภานักเรียนด้วยสีหน้าซับซ้อนและอ่อนไหว
แค่ได้ที่สองก็เก่งมากแล้วนะ
หรือว่าเราควรส่งข้อความไปหาลูกศิษย์เพื่อแสดงความยินดี?
…ไม่ได้ ถ้าส่งข้อความแสดงความยินดี ให้กับนักเรียนที่สอบได้อันดับสองทั้งที่เล็งอันดับหนึ่งเอาไว้ นั่นจะไม่ต่างอะไรกับการเอาเกลือลูบแผลสด
“ตอนนี้มาจินซึงอยู่ไหน? เราควรกันไอ้ทึ่มนั่นออกไปก่อนที่เขาจะทำร้ายจิตใจจุนยอลไปมากกว่าเดิม”
“สายไปแล้วล่ะ ไอ้ทึ่มมาจินซึงตะโกนใส่หน้าจุนยอลว่า ‘ดงฮาชนะนาย! และดงฮาเป็นกรรมการรักษาระเบียบ! นั่นเท่ากับว่ากรรมการรักษาระเบียบเป็นฝ่ายชนะ! ฉันที่เป็นกรรมการรักษาระเบียบจึงถือว่าชนะนายไปด้วย!’ พอพูดจบก็ถูกขังอยู่ในคุกไฟทันทีเลยล่ะ”
“อ้อ… ตรงที่แฟนคลับของจุนยอลกำลังทำสามชั้นเสียบไม้ย่างกินกันน่ะหรือ”
มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นในเขตอาคารเรียนปีสองสินะ
…ถ้าถึงขั้นที่แฟนคลับยกโต๊ะมาทำหมูสามชั้นเสียบไม้ย่างกินกันข้างคุกเพลิง มาจินซึงคงขาดประชุมค่อนข้างแน่แล้วล่ะโuเวลกูดoทคอม
‘นอกจากมาจินซึง คนที่เหลือมากันเกือบครบแล้ว… ปัญหาอยู่ที่ห้องศูนย์’
ฉันกวาดสายตาไปยังตำแหน่งของบรรดาห้องศูนย์ที่อยู่แถวหน้าสุดอีกครั้ง
รุ่นพี่ห้อง 3/0 ไม่ได้ไปตามหาพลังจักรวาลเหมือนทุกที เอาแต่นั่งสงบเสงี่ยม
อูกีฮวันและคนที่น่าจะเป็นรองหัวหน้าห้อง
ทั้งสองเสียบหลอดใส่ถุงอาหารเสริมโปรตีนแล้วนั่งดูดหน้าตาเฉย
ส่วนมืออีกข้างก็ยกดัมเบล
‘ยังปั้นกล้ามอยู่?’
แต่ถ้าเทียบกับการตามหาพลังจักรวาลแล้ว แบบนี้ดูปกติกว่าเยอะ
ฉันขยับสายตา
ปัญหาคือเก้าอี้ของห้อง 2/0 ที่ยังว่าง
กึมชานซอลกับวังชานซอลยังไม่มา
‘อย่าบอกนะว่าจะโผล่มาจากเพดานอีก?’
ฉันรีบเงยหน้าตามสัญชาตญาณ
และไม่ใช่ฉันคนเดียวที่คิดแบบนั้น อีกหลายคนในห้องทยอยแหงนมองเพดาน
แต่กลับพบแค่หลอดไฟ
“หรือว่าเจ้าพวกนั้นจะใช้ไอเท็มล่องหน?”
“ฉันลองใช้สกิลตรวจจับดูแล้ว ไม่เจออะไรเลย…”
ทันใดนั้น โดวอนอูบนเก้าอี้ประธานนักเรียน ลุกพรวดขึ้น
ด้วยสีหน้าเฉยเมย เขาเคลื่อนไหวว่องไวราวกับสายลมเพื่อกระชากธงโรงเรียนด้านหลังออก
พรึบ!
“อ๊า!”
“อ๊า! ไม่!”
ด้านหลังผืนธง นักเรียนสองคนในชุดพละ ส่งเสียงคร่ำครวญในท่าเกาะอยู่บนกำแพง
เมื่อสายตาทุกคู่หันมาจับจ้อง กึมชานซอลกับวังชานซอลจ้องหน้าโดวอนอูด้วยความโกรธเคือง
“โธ่เอ้ย! ประธานนักเรียนอีกแล้ว!”
“พังหมด! หาเจอได้ยังไงเนี่ย!”
คู่หูกึมชานวังชานกัดกรามแน่นอย่างไม่สบอารมณ์
โดวอนอูเปล่งเสียงที่แฝงไว้ด้วยคลื่นพลังวิเศษ
“ลงมา”
ทั้งสองยอมกระโดดลงแต่โดยดี พลางบ่นกระปอดกระแปด
เนื้อหาทำนองว่า พวกเขาอุตส่าห์มาซุ่มก่อนเวลาหลายชั่วโมง เพื่อเตรียมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยโชว์ยิงเลเซอร์
“ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้หอยทากมาจินซึงไม่ยอมเข้าประชุมสักที! ตอนนี้หมอนั่นอยู่ไหน?”
“หือ… อยู่ในคุกไฟ? ในตู้เย็นห้องเรียนเรายังมีไก่เสียบไม้แช่แข็งเหลืออยู่ใช่ไหม ไว้ชวนเพื่อนๆ ไปทำกินกันเถอะ!”
“เอาสิ! ต้องหาอะไรให้ครูจูเก่อกินสักหน่อยแล้ว”
ระหว่างจัดการดีไวซ์ ทั้งสองพึมพำพลางกลับไปนั่งประจำที่
แม้จะรู้สึกสงสารมาจินซึงผู้ถูกขังคุกไฟ จนทำได้แค่ดูคนอื่นกินของย่างอย่างเอร็ดอร่อย แต่หมอนั่นสมควรได้รับโทษแล้ว ฉันจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“…ขอประกาศเปิดการประชุมตัวแทนนักเรียนประจำไตรมาสที่สอง ณ บัดนี้”
เมื่อความวุ่นวายสงบลงและโดวอนอูกล่าวสุนทรพจน์เปิด งานประชุมได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
จนกระทั่งหัวหน้าของทุกห้องรายงานครบ
“…ต่อไปเป็นกำหนดการของ ‘ค่ายยุวชน’ สำหรับชั้นปีหนึ่งในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน”
ช่วงเวลาที่ฉันรอคอยมาถึงแล้ว
“เนื่องจากสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเพลเยอร์มีจำกัด ค่ายยุวชนปีนี้ก็จะจัดแบบแบ่งกลุ่มเช่นเคย”
ชั้นปีหนึ่งมีนักเรียนประมาณห้าร้อยคน
สิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับเพลเยอร์ซึ่งแข็งแกร่งแต่ยังไม่โตเหล่านี้ มีจำนวนไม่เพียงพอ
“แต่ละกลุ่มจะมีนักเรียนประมาณหนึ่งร้อยคน หรือก็คือสองห้อง ห้องศูนย์ที่มีนักเรียนน้อยจะไปรวมกลุ่มกับห้องหนึ่งและห้องสอง”
ระหว่างฟังเลขานุการอูซังฮีรายงาน ฉันเปิดดูเอกสารที่ได้รับก่อนเริ่มประชุม
เมื่อเทียบกับอีเวนต์ในเกม คำอธิบายส่วนใหญ่ตรงกัน
‘ตารางกิจกรรมแทบไม่ต่างจากในเกมเลย จุดต่างที่สุดคือครูประจำชั้นห้องหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนจากชเวย็อนทึกเป็นคิมชินรก รวมถึงการที่ห้องหนึ่งไม่มีเด็กเส้นคอยสร้างความวุ่นวาย แล้วก็…’
ฉันหันไปมองคิมยูรีข้างๆ
แม้ตราผนึกของสมาคมจะหายไปแล้ว แต่เธอที่กำลังนั่งอ่านโฮโลแกรมด้วยสีหน้าตื่นเต้น ยังคงสวมเครื่องแบบนักเรียนแขนยาว
“ถ้าเพื่อนทุกคนในห้องได้มาด้วยกันก็ดีสิ… แต่คนที่เหลือน่าจะยุ่งอยู่… ห…หือ”
ใบหน้าคิมยูรีพลันแข็งกระด้าง
ดูเหมือนจะอ่านหัวข้อเดียวกับฉันอยู่
สถานที่เข้าค่ายสำหรับห้องศูนย์ หนึ่ง และสองของชั้นปีหนึ่ง คือค่ายฝึกเพลเยอร์เยาวชนบนเกาะซอกโม
เกาะดังกล่าวตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะกังฮวา
‘ตอนนี้ผนึกแสงประทานหายไปแล้ว เธอคงลังเลที่จะไปทะเล’
ภายในเกม คิมยูรีคิดหนักจนวินาทีสุดท้าย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไป เพราะอยากคอยให้กำลังใจอันดาอินที่ถูกชเวย็อนทึกกับเด็กเส้นรุมกลั่นแกล้งในห้องเรียน
…เดาไม่ออกเลยว่าเธอจะเลือกทางไหน
“ต่อไปเป็นหัวข้อ: กิจกรรมสานสัมพันธ์กับภายนอก จำนวนสองกิจกรรม”
หัวข้อการประชุมเปลี่ยนไประหว่างที่ฉันกำลังครุ่นคิด
สองกิจกรรม?
นอกจากการแข่งกีฬากับโรงเรียนเตรียมทหารแล้วยังมีอะไรอีก?
“กิจกรรมแรก… กีฬาสานสัมพันธ์กับโรงเรียนเตรียมทหารที่จะมีขึ้นในภาคเรียนที่สอง ปัจจุบันมีอยู่สิบสามชมรมที่สนใจเข้าร่วมแข่ง รวมนักกีฬาทั้งสิ้นยี่สิบแปดคน แต่ถ้านักเรียนนอกชมรมสนใจ ในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนจะมีการแข่งคัดเลือกตัวแทนทีมและนักกีฬา ทางสภานักเรียนจะคอยสนับสนุนและช่วยเตรียมตัวการจัดแข่งตลอดช่วงเวลากิจกรรม”
อูซังฮุนที่เอาแต่เหม่อมองฝุ่นในอากาศมาสักพัก ดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำอธิบาย
คนที่ไม่แยแสการประชุมเลยอย่างเขา ชนิดที่ไม่เปิดแม้กระทั่งโฮโลแกรม ตอนนี้เริ่มลงมือจดบันทึกบางอย่าง
หลังจบการประกาศตารางเวลากีฬาสานสัมพันธ์ รวมถึงนัดวันแข่งรอบคัดเลือก
“ถัดไปเป็นการการแข่งขันเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างเกาหลี จีน และญี่ปุ่น”
การแข่งสานสัมพันธ์เกาหลี จีน ญี่ปุ่น?
เมื่อลองมานึกดู วังจีโฮเคยบอกว่าชเวย็อนทึกพยายามล้มการแข่งกระชับมิตรระหว่างสามชาติ
ในเกมไม่ได้กล่าวถึงเอาไว้เลย ไม่มีบอกว่าแผนของชเวย็อนทึกประสบความสำเร็จ หรือว่าการแข่งถูกจัดขึ้นตามปกติ
“ปัจจุบัน ทางโรงเรียนเราติดปัญหาด้านตารางเวลา และคงไม่เหมาะสมนักที่จะให้นักเรียนชั้นปีสามเป็นตัวแทนโรงเรียน เนื่องจากใกล้จบการศึกษาเต็มที อีกทั้งยังมีโอกาสที่งานอาจไม่ถูกจัดขึ้นในปีนี้ ทางสภานักเรียนจึงขอเลือกตัวแทนจากปีสองเป็นหลัก”
คงเป็นเรื่องยากที่จะให้นักเรียนปีสามซึ่งกำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหา’ ลัย เตรียมหางาน หรือต้องไปจู่โจมรอยแยก สละเวลามาเตรียมความพร้อมสำหรับกำหนดการที่ยังไม่ชัดเจน
“อันดับแรก ทางเราจะประกาศรายชื่อนักเรียนที่ถูกคัดเลือกเบื้องต้น โดยอ้างอิงจากผลงานการจู่โจมรอยแยกที่ผ่านมา ผลการเรียน และคำแนะนำจากคณะครู หรือถ้าใครอยากเสนอตัว ทางเราจะเปิดรับสมัครในภายหลัง โดยหลังจากนั้น สภานักเรียนจะกำหนดวันเวลาเพื่อจัดแข่งรอบคัดเลือก”
เมื่ออูซังฮีฉายโฮโลแกรม บนผนังห้องประชุมเต็มไปด้วยรายชื่อนักเรียน
เกือบทั้งหมดเป็นรายชื่อของนักเรียนปีสอง แต่ก็มีนักเรียนปีหนึ่งปนอยู่ประปราย
“ขอเริ่มจากผู้เข้าแข่งชั้นปีที่หนึ่งก่อน… อันดาอิน ปีหนึ่งห้องหนึ่ง… จูซูย็อก ปีหนึ่งห้องสอง… และโชอึยชิน ปีหนึ่งห้องศูนย์”