ซงแดซอกกับมินกือรินทะเลาะกัน?
…นี่มันหลุดกรอบการตั้งค่าตัวละครไปหน่อยไหม
ฉันนึกไม่บอกเลยว่าทั้งสองคนทะเลาะกันในลักษณะไหน
หากถกเถียงในบางประเด็นอาจพอเข้าใจได้ แต่ถึงขั้นทะเลาะกัน…
“ทะเลาะรุนแรงไหม…?”
ระหว่างฉันครุ่นคิด ซาวอลเซอึมโพล่งถามอย่างระวังปาก
“หืม… ในเมื่อยังไงก็ต้องมีข่าวลืออยู่แล้ว สู้เล่าให้กระจ่างไปเลย น่าจะดีกว่าให้ปล่อยเพื่อนได้ฟังเนื้อหาที่ถูกบิดเบือน… แดซอก ฉันเล่าได้ไหม?”
คิมยูรีถาม แต่ซงแดซอกเอาแต่นั่งกอดเข่ามองไปในอากาศราวกับโลกใกล้จะแตก ไม่มีความคิดที่จะตอบ
“เล่าๆ ไปเถอะน่า… หมอนี่กลายเป็นแบบนี้หลังจากขอเข้าชมรมศิลปะแล้วถูกเธอปฏิเสธ”
“ชมรมศิลปะ?”
เม็งเฮียวทงตัดสินใจเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดด้วยความอึดอัด
วันนี้จิตรกรฮงคยุงบ๊กกับมินกือรินเริ่มทำกิจกรรมชมรมเป็นครั้งแรก
แน่นอนว่าซงแดซอกก็ตามไปด้วย แต่กลับได้รับคำตอบจากคู่ศิษย์อาจารย์ว่า ‘เราคงรับคนที่ไม่มีความสนใจด้านศิลปะเลยเข้าชมรมไม่ได้หรอก แต่ถ้าจะแวะมาชมผลงานเป็นครั้งคราวก็ยินดีต้อนรับ’
ซงแดซอกที่ไม่ได้เป็นคนของชมรมศิลปะ ได้ทะเลาะกับสมาชิกชมรมหลายคนระหว่างถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในห้อง
“หลังจากถูกท่านจิตรกรกับประธานชมรมศิลปะลากตัวมาที่ห้องเรียนพวกเรา หมอนั่นยังเอาแต่โวยวายไม่เลิก… เราพยายามห้ามแล้ว… และนั่นเป็นแค่ยกแรก”
วันนี้ฉันออกจากห้องเรียนเร็ว มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยสินะ
ว่าแต่… ยกแรก? แปลว่ามียกที่สองกับสาม?
“ฉันเองก็ไม่ทันเห็นเพราะต้องรีบไปชมรมเครื่องสาย… มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยสินะ… ในตอนที่มาถึงบ้านยูรี ฉันเห็นแค่ว่าแดซอกกำลังโมโหเพื่อนๆ ที่ปล่อยให้กือรินจัดโต๊ะ”
“ฮะฮะฮะ! ตอนนี้กือรินกำลังทำอาหารเย็นในครัว และหมอนี่โกรธที่พวกเราปล่อยให้มืออันมีค่าของเธอต้องเปียกน้ำ…”
ควอนเลนากับวังจีโฮเล่าถึงยกที่สองและสาม
“หืม… ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งไม่เหมือนการทะเลาะ แต่เป็นแค่…”
‘งี่เง่าอยู่ฝ่ายเดียว?’
เด็กดีอย่างซาวอลเซอึมฝืนกลืนคำที่ไม่ควรพูดลงคอ
“กือรินกำชับว่าถ้าแดซอกเข้ามาขวางอีก เธอจะไม่ทำอาหารให้เขากิน… เธอยืนกรานว่าจะทำอาหารคนเดียว แม้พวกเราจะเสนอตัวแล้ว”
เมื่อคำอธิบายของคิมยูรีจบลง ฉันเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
ปัจจุบันกำลังเกิดสงครามประสาทระหว่างทั้งสอง
มินกือรินดิ้นรนอยู่ในครัวตามลำพัง ส่วนเด็กคนอื่นต้องออกมารอด้านนอก
ซงแดซอกชำเลืองมาทางฉันแล้วพะงาบปากแต่ไม่พูด
หรือพวกเราจะเข้าใจผิด…?
คิมยูรีมองดูเหตุการณ์ ทำหน้าลังเลสักพักแล้วจึงถาม
“เอ่อ… เข้าใจผิดก็ต้องขอโทษด้วยนะ ว่าแต่… กือรินกับแดซอกคบกันอยู่ไหม…?”
“โว้ว… โว้ว…!”
“หือ… ก็ต้องคบกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
เมื่อเด็กๆ ตอบสนองด้วยใบหน้าแดงก่ำ ซงแดซอกที่นั่งเหม่อมาสักพัก ตะคอกด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ฉันจะคบกับกือรินอยู่หรือไม่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเธอ!”
วินาทีที่ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเด็กในห้องเริ่มแปรเปลี่ยน
“หือ… ไม่ได้คบกันอยู่หรือเนี่ย”
“…ยังไม่ถึงขั้นนั้นสินะ”
“หรือว่าจะแต่งงานกันเลยโดยไม่ได้คบกัน?”
“ฉันคงถามแทงใจดำสินะ… ขอโทษนะแดซอก”
“…ฉันยังไม่ได้ตอบอะไรเลย! ทำไมพวกเธอถึงด่วนสรุปว่าไม่ได้คบกัน!!”
ซงแดซอกเถียงหน้าดำหน้าแดง
เด็กคนอื่นมองเขาด้วยสายตาสงสาร
ถ้ากำลังคบกันอยู่ ซงแดซอกคงตอบว่า ‘ใช่ ฉันกำลังคบกับกือริน หลังจากนี้พวกนายห้ามเข้ามายุ่มย่าม!’
ซงแดซอกขึ้นเสียงเมื่อเห็นสายตาเห็นใจของเพื่อนๆ
“เพิ่งจะรู้จักกือรินกันแท้ๆ … อย่ามาทำเป็นสนิทกับกือรินนะ! อย่าได้คิดจะแทรกเข้ามาระหว่างเราเชียว เพราะไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน แต่กือรินก็เป็นของฉัน…”
“ซงแดซอก! ไอ้โง่สมองหิน!!”
เสียงแผดของมินกือรินดังกังวาน
ซงแดซอกชะงักไปทันที ส่วนเม็งเฮียวทงก็สะดุ้งเมื่อได้ยินคำว่า ‘สมองหิน’
“ไอ้โง่! โง่ที่สุด! โง่สมองหิน! โง่เหมือนควาย! โง่เหมือนปลิงทะเล! โง่เหมือนดอกไม้ทะเล! ทำไมถึงชอบโมโหใส่เพื่อนร่วมชั้นของฉันกับพวกรุ่นพี่นักล่ะ? อย่ามาตะคอกพวกเขานะ! ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณปู่ซง!”
ยุคสมัยนี้แล้ว แม้แต่เด็กประถมยังไม่ค่อยด่ากันเป็นชุดยาวๆ
แต่ทั้งมินกือรินและซงแดซอก ต่างก็มีเพื่อนร่วมชั้นครั้งสุดท้ายสมัยเรียนประถม ฝ่ายหลังจึงทำได้แค่อ้าปากเหวอกับคำด่าชุดใหญ่
“อ…เอ่อ กือริน ครั้งนี้ฉันผิดเองแหละ… ฉันถามเสียมารยาทกับแดซอก”
“…ถามว่าอะไร”
“ช…ช่างมันเถอะนะ อาหารเสร็จหรือยัง? มากินกันเถอะ! ได้เอาเครื่องเคียงที่ทำจากบ้านมาด้วยไหม”
คิมยูรีพยายามแก้ไขสถานการณ์
ในทางกลับกัน ซงแดซอกจิตใจแตกสลายไปแล้ว จึงไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย
และนั่นทำให้เขาพลาดทำเลดีๆ บนโต๊ะอาหาร จนต้องนั่งไกลจากมินกือรินมากกว่าใครเพื่อน
ความทุกข์ระทมของซงแดซอกยังไม่หมด
“…ฉันจะไม่ไปไหนกับแดซอกแล้ว หลังจากนี้ พวกเราจะมาโรงเรียนและกลับบ้านแยกกัน”
วินาทีที่ติวเสร็จ มินกือรินประกาศทิ้งระเบิด
“รักษาระยะห่างจากฉันสิบนาที! ถ้ายังตามมาอีก พรุ่งนี้ฉันจะไม่คุยกับซงแดซอกทั้งวัน”
“…กือริน!”
ซงแดซอกพยายามเรียก แต่มินกือรินตั้งหน้าตั้งตาวิ่งกลับบ้านอย่างไม่ไยดี
หญิงสาวหายไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากวิ่งด้วยสกิล
ซงแดซอกรีบใช้ดีไวซ์จับเวลาด้วยสีหน้ามึนงง
“หมอนั่นน่าสงสารแฮะ”
“ฮะฮะฮะฮะ!”
เม็งเฮียวทงแสดงความเห็น ส่วนวังจีโฮหัวเราะชอบใจ แต่ซงแดซอกสนใจเพียงทิศทางที่มินกือรินวิ่งไปและตัวเลขบนนาฬิกานับถอยหลังโน!วลกูดoทคอม
* * *
กลับถึงหอพัก ก่อนที่จะหลับ ฉันสะดุดตาข้อความจากลูกหลานเสือเงิน
เนื้อหาในแชตคือรูปถ่าย
ดูเหมือนจะมีการเล่นเกมคอนโซลโดยแบ่งเป็นสองทีม
‘แต่มีสามคน แล้วแบ่งสองทีมยังไง…’
เมื่อลองเพ่งมองรูปให้ดี ฉันพบบางสิ่งสีขาวๆ นั่งถัดจากอึนซอโฮ
ยิ่งตั้งใจดูก็เริ่มพบว่า สิ่งนั้นกำลังถือจอยไร้สาย
‘…วิญญาณภูเขาบนเขาปีกสวรรค์!’
มีข้อความถูกเสริมใต้ภาพ
[อึนซอโฮ] ข้าเล่นเกมกับวิญญาณภูเขาด้วยจอยที่พี่ซื้อมาให้! ท่านเสือขาวเป็นคนถ่ายรูป!
[อึนอีโฮ] วิญญาณภูเขาเล่นเกมเก่งมากเลยล่ะ… ข้าแพ้ตลอดเลย ㅠㅠ
ฉันเคยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณภูเขาที่ถูกแบคโฮกุนลากตัวไป ที่แท้ก็มานั่งเล่นเกมกับเด็กๆ ในคฤหาสน์ของวังมยองโฮ
‘ปากบอกว่ายังระแวงวิญญาณภูเขา แต่กล้าปล่อยให้เล่นเกมกับลูกหลาน… หรือว่าวิญญาณภูเขาทำร้ายเผ่าแท้กับลูกหลานไม่ได้?’
เพราะถ้าเสี่ยงอันตรายแม้เพียงเล็กน้อย ไม่มีทางที่วังจีโฮจะปล่อยผ่าน
อีกทั้งแบคโฮกุนก็ยังเป็นคนถ่ายรูปให้
‘วิญญาณภูเขา, เนตรส่อง, ต้นอารามสวรรค์, จักรวาลเหนือรูป… ปริศนาเต็มไปหมด’
ระหว่างกำลังเรียบเรียงข้อมูลในหัว ฉันผล็อยหลับไปโดยไม่ได้ฝันเหมือนทุกที
* * *
วันถัดมา
ซงแดซอกถูกจับได้ว่าแอบตามมินกือรินมาโรงเรียน ทั้งสองจึงไม่คุยอะไรกันเลย
ซงแดซอกพยายามชวนคุยหลายหน แต่มินกือรินปิดปากเงียบจนถึงที่สุด เขาจึงทำได้แค่นั่งซึมอยู่ตรงมุมห้อง
คิมยูรีพยายามชวนซงแดซอกคุย แต่อีกฝ่ายตอบกลับมาแค่ ‘อือ’ ‘ไม่’ แล้วก็ ‘ไม่รู้’
ดูแล้วซงแดซอกคงทำตัวไม่ถูก เพราะนี่คือครั้งแรกที่มินกือรินปฏิบัติต่อเขาแบบนี้
‘มินกือรินคงไม่ได้โกรธซงแดซอกจริงๆ หรอก’
เมนูที่มินกือรินทำเมื่อวานเต็มไปด้วยอัลมอนด์ ของโปรดของซงแดซอก
ข้าวอบอัลมอนด์ ข้าวพองอัลมอนด์วอลนัต
แม้แต่สลัดบวบก็ยังมีอัลมอนด์อบฝานแผ่นบาง
ยิ่งไปกว่านั้น ขนมที่เธอซื้อมาแจกเพื่อนเพื่อขอโทษความวุ่นวายเมื่อวาน ก็ยังเป็นคุกกี้อัลมอนด์
‘ซงแดซอกควรมีโลกของตัวเองบ้าง มินกือรินคงคิดแบบนั้น’
หลังเลิกเรียน, ห้องเรียนเก่าในเขตหวงห้าม
ระหว่างฉันกำลังใช้ดีไวซ์เปิดเว็บไซต์ของสมาคมเพลเยอร์ เพื่อดูประกาศรับสมัครเด็กฝึกงาน
ครืด—
ประตูเลื่อนแบบเก่าเปิดออก
“สวัสดีครับอาจารย์”
ย็อมจุนยอลทักทายอย่างร่าเริงและสุภาพ แต่ดูเหมือนบรรยากาศจะยังห่อเหี่ยว
ขอเดาว่าแทบไม่ได้นอนเลย เพราะฉันเห็นเส้นเลือดฝอยในดวงตา
“เอ่อ คาบเรียนวันนี้…”
“วันนี้ไม่ได้เรียกมาเพื่อสอน”
ฉันใช้โฮโลแกรมฉายดีไวซ์โค้ดใหม่ของตัวเอง
ย็อมจุนยอลจ้องโค้ดดังกล่าวด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม
“ขอบคุณมากครับ…!”
เขากรอกโค้ดใส่ดีไวซ์ตัวเองด้วยใบหน้าที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ
คงเกิดอะไรขึ้นจริงๆ
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”
“ครับ?”
“ฉันเห็นการแข่งหมากรุกของเธอแล้ว”
อีกหนึ่งจอโฮโลแกรมถูกฉายเพิ่มข้างโค้ด
เป็นเกมหมากรุกที่ย็อมจุนยอลแข่งกับโชอึยชินเมื่อวาน
เมื่อเห็นบันทึกการแข่ง ย็อมจุนยอลทำไหล่ห่อ
“อา… การแข่งถูกบันทึกลงเว็บบอร์ดโรงเรียนด้วยสินะเนี่ย… เป็นเกมที่น่าสมเพชจริงๆ ครับ…”
“ฉันไม่ได้เรียกมาเพื่อตำหนิ แต่เป็นห่วงน่ะ”
“อาจารย์เป็นห่วงผม…!”
ย็อมจุนยอลยิ้มขื่นขมพลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
…ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากรอคำตอบอย่างใจเย็น ย็อมจุนยอลสูดลมหายใจยาวแล้วกล่าวเสียงขรึม
“คนอย่างผมไม่มีคุณค่าพอให้อาจารย์ต้องเป็นห่วงหรอกครับ…”
ฉันต้องเป็นห่วงตัวละครที่เป็นลูกศิษย์ของตัวเองอยู่แล้ว พูดอะไรออกมาเนี่ย?
“…ผมมีบางสิ่งอยากแจ้งให้ทราบครับ”
ย็อมจุนยอลเกริ่นเกี่ยวกับกระบวนการสืบหาตัวจริงของฉัน
รวมถึงเรื่องที่เจอชื่อ ‘ซาวอลเซอึม’ ในเอกสารลับของทีมสิงโตแดง จึงนัดพบอีกฝ่ายเพื่อพูดคุย
ลงเอยด้วยการสัญญาไว้ว่า ถ้าได้เจอกับอาจารย์เมื่อไร เขาจะฝากคำขอบคุณมาให้
“หลังจากผ่านบททดสอบของอาจารย์จนผมได้เป็นศิษย์ ผมสนุกไปกับการเรียนจนลืมคำขอร้องของซาวอลเซอึม”
หือ… ห่อเหี่ยวแค่เพราะเรื่องแค่นี้?
มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายในกระบวนการรับเป็นศิษย์ ดังนั้นจะลืมไปบ้างก็คงไม่แปลก
“คนเราผิดพลาดกันได้ ฉันไม่ถือสา”
“แต่ความคิดของผมหลังจากนั้น… มันไม่ใช่ความผิดพลาดครับ!”
ความคิดหลังจากนั้น?
“ผมสามารถติดต่อกับอาจารย์ได้ทันทีผ่านไอเท็มที่อาจารย์มอบให้ แต่ผมก็ไม่ได้ทำเพราะเสียดาย”
ย็อมจุนยอลถือไอเท็มการ์ดในมือ
ไอเท็มสิ้นเปลืองเกรด SR— ‘ข้อความที่ไม่พึ่งพิราบสื่อสาร’
มันคือไอเท็มใช้แล้วทิ้ง เป็นธรรมดาที่จะเสียดาย
เขากล่าวพลางก้มศีรษะอย่างสำนึกผิด
“และผมไม่ได้คิดแค่ว่า ‘มันน่าเสียดาย’ … อาจารย์รู้ประวัติของเซอึมใช่ไหมครับ”
ย็อมจุนยอลคงสืบประวัติซาวอลเซอึมมาในระดับหนึ่งแล้ว
ไม่ใช่เรื่องยากเย็นหากพึ่งพาทรัพยากรของเผ่ามังกร
“ปัจจุบัน ตระกูลผู้ส่งสารแห่งปัจฉิมราชวงศ์ของแผ่นดิน เหลือสมาชิกเพียงน้อยนิด และเซอึมคือหนึ่งในนั้น เขาคือบุคคลที่หายากยิ่งกว่าผมเสียอีก… เผ่ามังกรมีลูกหลานไม่มากก็จริง แต่ก็ยังมากกว่าลูกหลานของผู้ส่งสาร และถ้านับรวมเผ่าแท้ทั้งหมดก็ยิ่งมากกว่าหลายเท่า… แต่เซอึมนั้นมีแค่คนเดียว และอาจไม่มีอีกแล้ว”
“นั่นก็จริง เด็กคนนั้นมีพรสวรรค์ที่หายาก… แล้วมันเกี่ยวกันยังไง”
เมื่อฉันถามเพราะไม่เข้าใจ ย็อมจุนยอลทำหน้าอมทุกข์ยิ่งกว่าเดิม
ฉันเพิ่งเอะใจเมื่อสายว่าอาจไม่ควรถาม แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
“ผมคิดว่าเซอึมคงอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์ด้วยอีกคน และถ้าเป็นเขา อาจารย์คงมีอะไรให้สอนมากกว่า… เด็กคนนั้นพิเศษกว่าผมมาก ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะสูญเสียที่ยืน และไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้น… ช่างเป็นความคิดที่น่าสมเพชและน่ารังเกียจจริงๆ …”
ย็อมจุนยอลค่อยๆ พรั่งพรูความในใจจนกระทั่งปิดปากเงียบ