📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 382

บทที่ 382 - เปิดฉาก 3
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

เหล่าขุนนางบุ๋นต่างหันขวับ ใช้สายตาพินิจพิเคราะห์และเป็นปรปักษ์จ้องมองเฉากั๋วกง

ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมแก่ ‘ดวงวิญญาณพยาบาทสามหมื่นแปดพันดวง’ นี้ โครงสร้างสมาชิกของฝ่ายต่อต้านขุนนางบุ๋นนั้นค่อนข้างซับซ้อน บางคนอยู่เพื่อชอบธรรม บางคนอยู่เพื่อดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งปราชญ์ บางคนอยู่เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภหรือในขณะที่บางคนอยู่เพราะตามสมควร

ซึ่งฝ่ายต่อต้านนำโดยเว่ยเยวียนและหวางเจินเหวิน

ทั้งนี้โครงสร้างสมาชิกของฝ่ายค้านก็ซับซ้อนพอๆ กัน อย่างแรกคือสมาชิกราชวงศ์ แน่นอนว่าในหมู่พวกเขาย่อมมีคนดีอยู่บ้าง แต่บางครั้งสถานะก็เป็นตัวกำหนดตำแหน่ง

เมื่อไหวอ๋องถูกตัดสินว่ามีความผิด มันจึงกลายเป็นระเบิดเวลาต่อชื่อเสียงของทั่วราชวงศ์ หากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ต่อจากนี้คงไม่กล้าสู้หน้าใครได้อีก

คนธรรมดายังต้องการรักษาใบหน้านับประสาอะไรกับราชวงศ์?

อ๋องสยบแดนเหนือสามารถตายได้ แต่ไม่สามารถถูกตัดสินลงโทษได้

อันดับแรกคือกลุ่มขุนนางผู้ทรงอำนาจมั่งคั่ง พวกเขาย่อมมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ หากเข้าใจลำดับของฐานันดรเป็นอย่างดี ก็จะทราบได้โดยปริยายว่าขุนนางและราชวงศ์นั้นอยู่ฝ่ายเดียวกัน

สรุปได้เพียงสองคำคือ ชนชั้นสูง!

ขุนนางบุ๋นก็เปรียบเหมือนกุยช่าย เวียนสับเปลี่ยนกันไปมา มีหน้าใหม่ๆ หลั่งไหลเข้ามาในท้องพระโรงอยู่เสมอ เมื่อรุ่งเรืองอำนาจราชสำนักถือเป็นใหญ่ เมื่อตกอับผู้สืบสกุลก็ไม่ต่างอะไรจากสามัญชน

โดยเฉพาะขุนนางผู้สืบทอดมรดกถาวร ชาติกำเนิดเป็นขุนนางชั้นสูง อยู่ในชนชั้นที่แตกต่างจากสามัญชน ซึ่งมรดกถาวรนี้ อำนาจการสืบทอดเป็นสิ่งที่ราชวงศ์พระราชทานให้

ดังนั้นแม้ว่าจะมีขุนนางชั้นสูงที่ไม่เห็นด้วยกับไหวอ๋องและจักรพรรดิหยวนจิ่ง พวกเขาส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ

ท้ายที่สุดขุนนางบุ๋นเป็นกลุ่มคนที่ต้องการก้าวสู่จุดสูงสุดหรือยามตกที่นั่งลำบาก พวกเขาก็จะแอบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง ทำหน้าที่เป็นนกต่อและอาวุธชั้นดีของอีกฝ่าย

ด้วยเหตุนี้สมาชิกราชวงศ์ เหล่าขุนนางชั้นสูงและขุนนางบุ๋นบางส่วน ทั้งสามกลุ่มจึงผนวกกลายเป็นฝ่ายค้าน

ขณะนั้นเองเฉากั๋วกงได้ออกมาเป็นตัวแทนกลุ่มขุนนางชั้นสูงเพื่อแสดงเจตจำนงของพวกเขา

“ฝ่าบาท ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ราชสำนักประสบปัญหาทั้งภายในและภายนอก ความแห้งแล้งอย่างรุนแรงในฤดูร้อน น้ำท่วมในฤดูฝน การดำรงชีวิตของประชาชนนั้นยากลำบาก ทั้งภาษีก็คั่งค้างปีแล้วปีเล่า”

เฉากั๋วกงเจ็บแปลบใจพลางเอ่ยเสียงแข็ง “ในเวลานี้หากมีการรายงานการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือแพร่งพรายออกมาอีก ใต้หล้าจะมองราชสำนักอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เสนาบดีเล็กและผู้ใต้บังคับบัญชาจะมองราชสำนักอย่างไร?

“คงคิดว่าราชสำนักเสื่อมถอยแล้ว จึงเร่งขูดรีดราษฎรอย่างเข้มข้นขึ้น ไร้ยางอายมากขึ้น เช่นนั้นใช่หรือไม่?”

“ต่ำช้า!”

จักรพรรดิหยวนจิ่งโกรธจัด ชี้ไปที่จมูกของเฉากั๋วกงอย่างอาฆาต “เจ้ากำลังเยาะเย้ยว่าข้าเป็นทรราช เยาะเย้ยว่าทุกคนทั้งหมดในท้องพระโรงเป็นคนโง่เขลาใช่หรือไม่?”

“กระหม่อมมิกล้า!” เฉากั๋วกงเอ่ยเสียงกังวาน

“ก่อนอื่นใดสิ่งที่พวกเขาทุกคนกระทำอยู่ไม่ใช่เรื่องโง่เขลาหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ โหวกเหวกเพื่อล้างแค้นแทนประชาชน หวังลงโทษไหวอ๋อง มีใครเคยพิจารณาสถานการณ์โดยรวมบ้างหรือไม่? คำนึงถึงภาพลักษณ์ของราชสำนักแล้วหรือยัง? ทุกคนล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก ไม่รู้หรือว่าหน้าตาของราชสำนักถือเป็นหน้าตาของพระองค์ด้วย?”

ทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ต่างเล่นลูกล่อลูกชน

ทุกคนในราชสำนักเริ่มกระซิบกระซาบ ซุบซิบนินทา

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งพลันตกตะลึง ทั้งตกใจและกรุ่นโกรธ เขาต้องยอมรับว่าคำพูดของเฉากั๋วกงไม่ใช่การโต้แย้งข้างๆ คูๆ เพียงเท่านั้น แต่กลับมีเหตุผลมาก

ในเมื่อหน้าตาของราชวงศ์ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนเปลี่ยนทรรศนะได้

แต่หากเป็นหน้าตาของราชสำนักล่ะ?

ในหัวใจขุนนางนับร้อย ความยิ่งใหญ่ของราชสำนักอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เพราะความยิ่งใหญ่ของราชสำนักคือความยิ่งใหญ่ของพวกเขา ทั้งสองถือเป็นหนึ่งเดียวกันและไม่อาจแยกจากกันได้

แม้แต่เจิ้งซิ่งไหวเจิ้งเองก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปราชสำนักจะรักษาหน้าตาและฟื้นฟูภาพลักษณ์ในหัวใจของผู้คนได้อย่างไร

จักรพรรดิหยวนจิ่งโศกเศร้าเหลือทน ก่อนถอนหายใจ “แต่ แต่ไหวอ๋องเขา…ผิดจริงๆ”

เฉากั๋วกงเอ่ยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ไหวอ๋อง…สิ้นพระชนม์แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!”

การสนทนาดังเซ็งแซ่ขึ้นในทันใด บางคนยังคงกระซิบเสียงเบา แต่บางคนเริ่มโต้เถียงอย่างดุเดือด

ขณะที่ขันทีชรากำลังคว้าแส้ออกแรงเหวี่ยงกระทบพื้นกระเบื้องเพื่อตำหนิขุนนางอยู่นั้น

แต่เมื่อถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งเหล่มอง ขันทีชราจึงเข้าใจความหมายของจักรพรรดิและนิ่งเงียบโดยทันที ปล่อยให้การโต้เถียงเดือดดาลและดำเนินต่อไป

จริงสิ ไหวอ๋องสิ้นแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของ ‘ขุนนางชั้นสูง’ ได้สิ้นลงแล้ว จากนี้ไปจะไม่มีแม่ทัพคนไหนที่สามารถกดขี่พวกเขาได้อีก…เมื่อเป็นเช่นนี้สมควรแล้วหรือที่จะทำลายความยิ่งใหญ่ของราชสำนักเพื่อคนที่ตายไปเพียงคนเดียว?

ขุนนางบุ๋นหลายคนมีความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว

จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวอย่างโกรธเคือง “สิ้นแล้วสามารถลบเลือนเรื่องราวได้หรืออย่างไร?”

เฉากั๋วกงโค้งคำนับกล่าวว่า “ได้สิพ่ะย่ะค่ะ!”

เว่ยเยวียนเหล่ตากวาดมองเฉากั๋วกงด้วยดวงตาที่เชือดเฉือนราวกับคมมีด

เว่ยเยวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ หัวเราะเย้ยหยันโดยไร้เสียง

ดูเหมือนทั้งสองจะรู้ว่าเฉากั๋วกงต้องการจะพูดอะไรต่อไป

จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

เฉากั๋วกงแสดงท่าทีจริงจัง ใบหน้าเคร่งขรึม “ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นผู้ทำลายเมืองฉู่โจวที่แท้จริง? เป็นเผ่าอนารยชน เผ่าอนารยชนที่เปลี่ยนเมืองฉู่โจวให้กลายเป็นซากปรักหักพัง เรื่องนี้เป็นไปได้หรือไม่หากจะลองมองในมุมที่ต่างกันดู? เมื่อสองกองทัพปีศาจและเผ่าอนารยชนรวมตัวกันเข้ายึดครองเมือง อ๋องสยบแดนเหนือที่ต่อสู้อย่างหมดท่าเพื่อปกป้องประตูชายแดนต้าฟ่ง ในที่สุดเมืองก็ถูกทำลาย ผู้คนเสียสละชีวิตอย่างกล้าหาญ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสียงของเฉากั๋วกงพลันเปลี่ยนเป็นเสียงดังกระหึ่ม “อย่างไรก็ตาม การเสียสละของอ๋องสยบแดนเหนือล้วนมีคุณค่า เขาต่อสู้เพียงลำพังกับสองผู้นำปีศาจและเผ่าอนารยชน บั่นคอจี๋ลี่จือกู่ สร้างความบาดเจ็บสาหัสให้แก่จู๋จิ่ว ผลพวงจากการทำให้สองผู้แข็งแกร่งทางตอนเหนือถูกฆ่าและได้รับบาดเจ็บนั้น หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ความสงบสุขคงได้บังเกิดแก่ชายแดนเหนือไปอีกนานนับสิบปีหรือหลายสิบปี กล่าวได้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือนั้นตายอย่างมีเกียรติเป็นวีรบุรุษแห่งต้าฟ่ง”

เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย อารมณ์ของเฉากั๋วกงทะยานขึ้นสูง เลือดลมสูบฉีดรุนแรง เปล่งเสียงดังก้องทั่วทั้งท้องพระโรง

เฉากั๋วกงให้ทางเลือกแก่คนทั้งสองฝ่าย ประการที่หนึ่งคือยึดมั่นในความคิดเห็นของเขา ตัดสินลงโทษไหวอ๋องผู้ล่วงลับไปแล้ว ทว่าหน้าตาของราชวงศ์ก็จะได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง สะเทือนความเชื่อมั่นในราชสำนักของประชาชนจนอาจเกิดวิกฤต

ประการที่สอง คือลักขื่นเปลี่ยนเสา เปลี่ยนแปลงเรื่องราวให้สองกลุ่มปีศาจและเผ่าอนารยชนเป็นผู้ที่ทำลายเมืองฉู่โจว ส่วนอ๋องสยบแดนเหนือเป็นผู้ปกป้องเมืองและสละชีวิตอย่างกล้าหาญ

พวกเขาทุกคนต้องทำ เพื่อเรียกชื่อเสียงของชินอ๋องที่ตายแล้วให้คืนกลับมา สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาหน้าตาของราชสำนักเท่านั้น แต่ยังก้าวไปอีกขั้น โดยการสร้างความเชื่อมั่นและความแข็งแกร่งอีกด้วย

ขณะนั้นเสียงหัวเราะอันน่าสังเวชหนึ่งก็ดังขึ้นกังวานอยู่เหนือท้องพระโรง

เจิ้งซิ่งไหวมองไปรอบๆ ทุกคนที่นิ่งเงียบ ก่อนเหลือบมองไปที่ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งและเฉากั๋วกง ปัญญาชนผู้นี้พลันโศกเศร้าและกรุ่นโกรธ

“ฝ่าบาท เฉากั๋วกง พวกท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าไม่ใช่คนเดียวที่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ยังมีคนของคณะทูตทั้งหมด ทหารฉู่โจวสองหมื่นนาย รวมถึงคนหลายพันคนในเมืองหลวง และบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงที่รู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน” เจิ้งซิ่งไหวหัวเราะเย้ยในทันที

“พวกท่านสามารถห้ามเสียงนกเสียงกาเหล่านี้ได้หรือไม่เล่า?”

จักรพรรดิหยวนจิ่งมองลงมาที่เขา ลึกเข้าไปในดวงตาปรากฏการเย้าแหย่อันลึกล้ำ แล้วเอ่ยเสียงเบา “เลิกประชุม วันพรุ่งนี้ค่อยหารือกันใหม่!”

ณ จวนฮว๋ายชิ่ง

ในศาลาสวนด้านหลัง ข้างโต๊ะหิน ฮว๋ายชิ่งกำลังแข่งหมากล้อมกับสวี่ชีอัน

“เมื่อวันก่อน ข้าได้ยินมาว่าหลินอันไปหาเสด็จพ่อของนางเพื่อซักถามความจริง แต่กลับถูกห้ามไม่ให้เข้าห้องทรงพระอักษร นางที่ดื้อรั้นและไม่ยอมไปจึงถูกลงโทษโดยการหักเงินเป็นเวลาสองเดือน เดิมทีข้าคิดว่านางคงจะต้องไปอีกแน่ ผลลัพธ์ในวันถัดไปกลับกลายเป็นว่าองค์รัชทายาทถูกลอบสังหารเสียแล้ว”

นิ้วหยกเรียวยาวของฮว๋ายชิ่งกำลังบิดตัวหมากรุกสีขาว สนทนาด้วยท่าทางเย็นชา

“องค์รัชทายาทยังไม่สิ้นพระชนม์ไม่ใช่หรือ” สวี่ชีอันจ้องไปที่กระดานหมากรุก จับวางหมากรุกอยู่นาน ก่อนเอ่ยถามด้วยท่าทีสบายๆ

“แค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย” ฮว๋ายชิ่งกล่าวเสียงเบา

ทั้งสองเล่นหมากรุกอยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกว่าการเล่นหมากรุกกับสวี่อวิ๋นหลัวนั้นน่าเบื่อมาก จึงหาหัวข้ออื่นมาสนทนา “วันนี้ได้ยินเหตุการณ์ในท้องพระโรงหรือเปล่า?”

สวี่ชีอันพยักหน้าละห้อย “ขุนนางทุกคนถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ฝ่าบาทยังหาข้อดีไม่ได้ คาดว่าเป็นการต่อสู้อันสูสีที่ใช้ระยะเวลายาวนานมากทีเดียว”

ฮว๋ายชิ่งเงยใบหน้างดงามลึกล้ำ ดวงตาสีดำขลับเปล่งประกายราวกับห้วงเหวที่ใสสะอาดหลังฤดูใบไม้ร่วง จ้องมาที่เขาและหัวเราะเยาะพร้อมพูดว่า “เจ้าไม่เหมาะกับท้องพระโรงจริงๆ”

“?”

ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ เจ้าถึงต้องโจมตีข้าเช่นนี้…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

“เกมหมากรุกนี้ช่างน่าเบื่อ ข้าไม่อยากเล่นแล้ว สู้โต้เถียงเรื่องท้องพระโรงในวันนี้กับเจ้าดีกว่า” องค์ฮว๋ายชิ่งค่อยๆ โยนชิ้นส่วนลงในกล่องหมากรุกไม้ไผ่

สวี่ชีอันรู้สึกสดชื่น

“วันนี้ท้องพระโรงหารือถึงการตัดสินคดีฉู่โจ่ว ทุกคนขอให้เสด็จพ่อลดตำแหน่งของไหวอ๋องเป็นเพียงสามัญชน แล้วทำการแขวนคอทิ้งไว้ในเมืองเป็นเวลาสามวัน…เสด็จพ่อทุกข์ระทมมากจนเสียการควบคุม เริ่มทำให้คดีใหญ่โตและประณามขุนนาง”

ฮว๋ายชิ่งยกยิ้ม “หากจะให้ดี ก่อนอื่นให้ปิดวังสักสองสามวันเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารที่โกรธเคืองชกต่อยลมไป

“หลังจากที่พวกเขาสงบลงและอารมณ์คงที่แล้วก็จะสูญเสียจิตวิญญาณที่ไม่อาจต้านทานนั้นได้เอง เมื่อเปิดการประชุมท้องพระโรงค่อยหวนคืนอีกครั้ง ไม่เพียงแต่จะทำให้ความกล้าหาญที่เหลืออยู่ของพวกเขาสลายไปเท่านั้น แม้แต่แขกก็จะกลายเป็นเจ้าบ้าน ทำให้พวกเขาสงวนคำพูดและระมัดระวังมากขึ้น…”

นี่ก็เหมือนการต่อสู้กันระหว่างคนสองคน คนหนึ่งจู่ๆ ก็กลายเป็นบ้า คว้าก้อนอิฐมาตีหัว ส่วนอีกคนก็กลัวและระแวดระวังตามสัญชาตญาณโดยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนบ้า อุบายอาจไม่ได้เหนือชั้น แต่ใช้การได้ดีมากทีเดียวแหละ…สวี่ชีอันนึกยอมรับว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นผู้ที่มีกลอุบายเฉียบขาดโดยแท้โนlวลกูดอทคoม

“จากนั้นเหยาหลินขุนนางใกล้ชิดแห่งกรมพิธีการก็จะออกมาร้องเต้นกล่าวโทษสมุหราชเลขาธิการหวาง ซึ่งนั่นทำให้สมุหราชเลขาธิการหวางเพียงถูกปลดเกษียณเท่านั้น นี่คือแผนของเสด็จพ่อที่จะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ขั้นแรกทุบสมุหราชเลขาธิการหวางให้จมลงกับพื้น คราวนี้เขาก็จะเหลือศัตรูตัวฉกาจลดลงไปหนึ่งตัวแล้ว ทั้งทำให้ขุนนางนับร้อยคนต่างหวาดหวั่นไปกับการเชือดไก่ให้ลิงดูอีก”

ฮว๋ายชิ่งจิบชาเอ่ยเสียงเบา

“การที่เว่ยกงลงมือได้ถูกเวลา ไม่ใช่เพราะต้องการรวบอำนาจสมุหราชเลขาธิการหรอกหรือ? หากเป็นอย่างนั้นก็ยังพอมีทางหนีทีไล่ แต่สิ่งนี้ขัดกับเจตนาเดิมของเสด็จพ่อ เขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับสมุหราชเลขาธิการหวางจริงๆ ซึ่งจะทำให้ตระกูลของเว่ยกงมีอำนาจเหนือกว่า เหอะ สำหรับเว่ยกงแล้ว การใช้โอกาสนี้เพื่อกำจัดสมุหราชเลขาธิการหวางก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเช่นกัน”

สวี่ชีอันลอบกลืนน้ำลาย นั่งตัวตรงอย่างไม่รู้ตัว

“หากกลวิธีเชือดไก่ให้ลิงดูล้มเหลว เสด็จพ่อก็คงจะขอให้หยวนสยงเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายลงมือในทันที นำหน้าตาของราชวงศ์ออกไป…เจ้าก็รู้ว่าตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนถึงบัดนี้ ศักดิ์ศรีของราชวงศ์เป็นรองเพียงศักดิ์ศรีของราชสำนักเท่านั้น สำหรับขุนนางทุกคนแล้ว ย่อมถูกแรงกดดันตามธรรมชาติ” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม

หากเปรียบข้าเป็นขุนนางที่มีใจคิดอยากจะทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์แล้ว สิ่งนี้จะต้องสร้างแรงกดดันทางจิตใจต่อทุกคนได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย…สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ

การต่อสู้ระหว่างผู้คนไม่มีอะไรมากไปกว่าการต่อสู้ด้วยอาวุธและเกมจิตวิทยา

ก็เหมือนคำที่เขาเคยได้ยินผ่านอยู่บ่อยๆ ว่า ‘ผู้มีวาทศิลป์’

“นี่เป็นการปูทางสำหรับการปรากฏตัวครั้งต่อไปของลี่หวาง ท้ายที่สุดหยวนสยงก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของราชวงศ์และเสด็จพ่อก็ไม่เหมาะกับความเกรี้ยวกราดเช่นนี้ ลี่หวางผู้ทรงฤทธานุภาพถือเป็นบทบาทที่ดีที่สุด แม้ว่าอุบายนี้จะถูกเว่ยกงตีแตกก็ตาม”

ขณะที่ฮว๋ายชิ่งกำลังเก็บของก็ได้กล่าวอีกว่า “แต่ด้วยปัญหาของลี่หวาง ผลกระทบนับว่ายังคงมีมาก และสิ่งเหล่านี้จะเป็นการปูทางสำหรับการปรากฏตัวครั้งต่อไปของเฉากั๋วกง ใช้หน้าตาของราชสำนักและราชวงศ์สร้างความสะเทือนใจ ใช้จุดจบของการฆ่าเผ่าอนารยชนและเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่ออธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจโดยทั่วกัน แม้ว่าเมืองฉู่โจวจะหายไป แต่ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำโดยสองเผ่าอนารยชนและเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผู้คนคุ้นเคยกับความดุร้ายของปีศาจและเผ่าอนารยชนมาเนิ่นนานแล้ว พวกเขาย่อมสามารถยอมรับตอนจบนี้ได้ง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ปีศาจและเผ่าอนารยชนทั้งสองไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ เนื่องจากอ๋องสยบแดนเหนือได้สังหารผู้นำฝ่ายชิงเหยียนและเผ่าอนารยชน ทั้งยังต่อสู้กับจู๋จิ่วผู้นำเผ่าพันธุ์ปีศาจทางตอนเหนือจนได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก ขอถามหน่อยจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนได้ยินข่าวนี้แล้วเต็มใจยอมรับ?”

สวี่ชีอันกล่าวสวนขึ้น “การทำลายเมืองฉู่โจวนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับไม่ได้ขนาดนั้น เพราะบาปทั้งหมดเกิดจากการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าอนารยชน จนนำมาสู่สงคราม อ๋องสยบแดนเหนือที่ถูกเปลี่ยนจากผู้สังหารเมืองกลายมาเป็นวีรบุรุษผู้ปกป้องประเทศต้าฟ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ฆ่าผู้แข็งแกร่งลำดับสามของเผ่าอนารยชน นั่นจึงมีส่วนดีมาก”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งพยักหน้า น้ำเสียงยังคงแจ่มชัดไพเราะ แม้หัวข้อที่เอ่ยถามจะโหดร้ายเพียงใดก็ตาม “หากเจ้าเป็นพวกเขา เจ้าจะเลือกทำสิ่งไหน?”

สวี่ชีอันไม่ตอบ

อ๋องสยบแดนเหนือเป็นเพียงคนตาย ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ทุกคนย่อมทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อโค่นเขาลง

แต่ตอนนี้เขาได้ตายไปแล้ว คนตายเพียงหนึ่งคนจะไปมีอันตรายอะไร? ด้วยวิธีนี้แรงจูงใจหลักของทุกคนจึงลดลงครึ่งหนึ่ง

หากเป็นอย่างที่เฉากั๋วกงกล่าวจริงๆ การที่สามารถพลิกผันความจริงของคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว เปลี่ยนเหตุการณ์นี้จากเรื่องอื้อฉาวให้เป็นชัยชนะที่น่ายกย่องได้

แล้วเหตุใดจะไม่เห็นด้วยล่ะ?

ฮว๋ายชิ่งกล่าว “วิธีต่อไปของเสด็จพ่อ คือการให้คำมั่นสัญญาในผลประโยชน์ภายในท้องพระโรง ซึ่งผลประโยชน์นั้นจะต้องคงอยู่ชั่วนิรันดร์ หากเสด็จพ่อต้องการเปลี่ยนผลลัพธ์ นอกจากกลยุทธ์ข้างต้นแล้ว เขาต้องยอมให้สัมปทานที่เพียงพอกับทุกคนด้วย ทุกคนก็จะคิดว่าถ้าเรื่องอื้อฉาวกลายเป็นเรื่องดีได้และมีประโยชน์ที่จะได้รับ แล้วพวกเขาจะยังยืนกรานในเรื่องนี้อยู่อีกด้วยเหตุใด?”

ใบหน้าของสวี่ชีอันเริ่มมืดมนลงเรื่อยๆ

“และเมื่อจิตใจของผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนไป เว่ยกงและสมุหราชเลขาธิการหวางก็จะกลายเป็นคนที่เผชิญกับความเป็นไปของสถานการณ์แทน แต่พวกเขาจะไม่สามารถปิดประตูวังและไม่สามารถหยุดกระแสที่พุ่งสูงขึ้นได้” ในรอยยิ้มที่เย็นชาของฮว๋ายชิ่งมีการเย้ยหยันอยู่เล็กน้อย

ชั่วขณะหนึ่งที่สวี่ชีอันเห็นต่างกับนาง การเยาะเย้ยจักรพรรดิหยวนจิ่ง เหล่าขุนนางหรือเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวาง

ไม่ว่าอย่างไหน หรือแม้แต่การที่นางยังเยาะเย้ยตัวเองก็ตาม

“ไม่ใช่ เรื่องนี้มันใหญ่โตจนแก้ไม่ได้ด้วยคำประกาศของท้องพระโรง ข่าวลือในเมืองหลวงเต็มไปหมด ถ้าจะย้อนข่าวลือ ก็ต้องมีเหตุผลเพียงพอ เขาสามารถปิดกั้นปากของเจ้าหน้าที่ท้องพระโรงได้ แต่เขาไม่สามารถปิดกั้นปากของผู้คนทั้งใต้หล้าได้” สวี่ชีอันส่ายหัว

“เสด็จพ่อท่าน ทั้งคนที่รับช่วงต่อ…” ฮว๋ายชิ่งถอนหายใจ “แม้ว่าข้าจะไม่รู้อะไรมากนัก แต่ข้าก็ไม่เคยประเมินเขาต่ำไปหรอกนะ”

ทั้งสองไม่พูดอะไรอีก หลังจากเงียบไปนาน ฮว๋ายชิ่งก็เอ่ยกระซิบ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า อย่าทำอะไรที่โง่เขลา”

นางเองก็ไม่คิดว่าข้าจะมีบทบาทในเรื่องนี้ จริงสิ ข้าเป็นเพียงขุนนางชั้นจื่อตัวกระจ้อยร่อย อวิ๋นลั่วตัวเล็กๆ ไม่สามารถแม้แต่จะได้เข้าไปในตำหนักกระดิ่งทอง จะไปต่อสู้กับจักรพรรดิของจักรวรรดิได้อย่างไร

ข้ายังคงอ่อนหัดนักเมื่อพูดถึงการต่อสู้ ฮว๋ายชิ่งก็คิดว่าข้าทำไม่ได้เช่นกัน…สวี่ชีอันยกยิ้ว ทว่ากลับเป็นรอยยิ้มฝืนทน

ถึงอย่างไรข้าก็คือวีรบุรุษที่เพิ่งจะสังหารจี๋ลี่จือกู่ไปนี่นา

ณ หอเฮ่าชี่ ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

หลังอาหารกลางวัน เว่ยเยวียนที่งีบหลับชั่วขณะพลันถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาปลุกให้ตื่น

“เว่ยกง ฝ่าบาททรงส่งคนมาเรียกท่านให้เข้าวังขอรับ” เจ้าหน้าที่ก้มศีรษะลง

เว่ยเยวียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เตรียมรถ”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset