📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 381

บทที่ 381 - เปิดฉาก 2
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

วันที่ห้าหลังจากร่างของอ๋องสยบแดนเหนือถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวง ยามอิ๋นท้องฟ้าพลันมืดสนิท

ด้านนอกประตูอู่ ภายใต้ตะเกียงหิน เปลวเทียนส่องประกายแสงสีส้ม พร้อมด้วยคบเพลิงที่ถือโดยทหารรักษาวังสองนาย

ท่ามกลางลมหนาว เหล่าขุนนางมารวมตัวกันที่ประตูอู่ รอคอยให้ถึงรุ่งสางอย่างเงียบๆ ขุนนางที่คุ้นหน้าคุ้นตากันก้มหัวพูดคุยกระซิบกระซาบเป็นครั้งคราว ทว่ามวลรอบตัวยังคงเงียบเชียบ

พวกเขารออย่างใจจดใจจ่อประหนึ่งกระบวนการกลั้นหายใจ ลำพองตัว แต่กลับยับยั้งไว้ภายใน รอคอยโอกาสที่จะระเบิดออกมา

‘ตึงตึงตึง…’

เมื่อแสงแรกโผล่พ้นขอบฟ้า ปราการบนประตูอู่พลันส่งเสียงรัวกลอง

เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารต่างจัดตั้งขบวนอย่างพร้อมเพรียง มุ่งหน้าเข้าไปในประตูวังที่ค่อยๆ เปิดออกตามลำดับ

ตำหนักกระดิ่งทอง!

ขุนนางระดับสี่ขึ้นไปก้าวเข้าไปในท้องพระโรง รอคอยเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งในเสื้อคลุมนักบวชเต๋าจะปรากฏตัวในภายหลัง

หลังจากที่ไม่ได้พบหลายวัน จักรพรรดิชราองค์นี้ดูอิดโรยลงไปเล็กน้อย ถุงใต้ตาปูดบวม ดวงตาสองข้างแดงก่ำ สะท้อนภาพพี่ชายผู้ที่สูญเสียน้องชายด้าวยความเจ็บปวดเหลือแสน

เหล่าขุนนางบุ๋นต่างตกตะลึง พวกเขาทราบดีว่าฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพและการบำรุงพระวรกายเป็นที่สุด ตั้งแต่ได้บำเพ็ญเพียร ร่างกายก็แข็งแรง ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

เคยดูซีดเซียวเช่นนี้เสียที่ไหน?

หลายคนมองหน้ากันเพียงเงียบๆ ตะลึงงันภายในใจ

ขันทีชราเหลือบมองจักรพรรดิหยวนจิ่งพลางกล่าวเสียงกังวาน “หากมีราชกิจขอให้เอ่ยแจ้ง หากไม่มีก็กลับไปได้”

สมุหเทศาภิบาลฉู่โจว เจิ้งซิ่งไหวก้าวออกจากแถว เดินมาหยุดตรงหน้าผู้คน ก่อนโค้งคำนับและกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“กราบทูลฝ่าบาท หัวหน้าผู้บัญชาการแห่งฉู่โจวไหวอ๋องสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดและผู้นำเต๋านิกายปฐพีเพื่อเลื่อนตำแหน่งเป็นขั้นสองด้วยความเห็นแก่ตัว จึงได้สังหารผู้คนเป็นจำนวนสามแสนแปดหมื่นคนในเมืองฉู่โจว ตั้งแต่สถาปนาต้าฟ่ง การกระทำอันโหดร้ายนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่มีผู้ใดอภัยให้ได้ ได้โปรดฝ่าบาททรงลดตำแหน่งไหวอ๋องให้เหลือเพียงสามัญชน แล้วแขวนคอเขาให้อยู่ในเมืองเป็นเวลาสามวัน เพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณที่พยาบาททั้งสามแสนแปดหมื่นดวง…ให้เป็นประจักษ์โดยทั่วหล้า”

จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเขาอย่างลึกซึ้ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

สิ่งทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือแม้จะเผชิญหน้ากับอารมณ์คุกรุ่นภายใต้ความนิ่งเงียบขององค์จักรพรรดิ ทว่าสมุหเทศาภิบาลฉู่โจวเจิ้งซิ่งไหวกลับไร้ความหวาดกลัว เพียงจ้องเขม็งอย่างไม่ลดละ

ขณะนั้นสมุหราชเลขาธิการหวางที่ติดตามมาได้กล่าวด้วยความนอบน้อม

“การกระทำของไหวอ๋องสร้างความโกรธเคืองให้กับผู้คนในวงกว้าง บัดนี้เมืองหลวงเต็มไปด้วยความโกลาหล ชาวฉู่โจวนั้นหาญกล้า หากไม่สามารถให้คำอธิบายแก่ไพร่ฟ้าได้ เกรงว่าชะตาของใต้หล้าอาจมีอันเปลี่ยนแปลง ได้โปรดฝ่าบาทลดสถานะไหวอ๋องให้เหลือเพียงสามัญชน แล้วแขวนคอเขาให้อยู่ในเมืองเป็นเวลาสามวัน เพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณพยาบาททั้งสามแสนแปดหมื่นดวงของเมืองฉู่โจวด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

ภายในท้องพระโรงขุนนางทั้งหลายต่างโน้มตัวลง เปล่งเสียงดังกระหึ่ม “ฝ่าบาทได้โปรดลดสถานะไหวอ๋องให้เหลือเพียงสามัญชน แขวนศีรษะไว้ในเมืองเป็นเวลาสามวัน เซ่นไหว้ดวงวิญญาณพยาบาททั้งสามแสนแปดหมื่นดวงของเมืองฉู่โจวด้วย”

จักรพรรดิหยวนจิ่งลุกขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา มองไปยังขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรง

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกช้าๆ เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้นอย่างกะทันหัน…ทันใดนั้นเขาก็กระแทกม้วนสำนวนคดีลงมาตรงหน้าก่อนจะเปิดมันออก

‘ปึก…’

ม้วนสำนวนคดีคลี่ลงมาราวกับขั้นบันได ปะทะสายตาเบื้องหน้าของเหล่าขุนนาง

ตามมาด้วยเสียงคำรามที่เสียดแทงออกมาจากหัวใจของจักรพรรดิชราดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง

“ไหวอ๋องเป็นน้องชายข้า การที่พวกเจ้าต้องการลดสถานะเขาไปเป็นสามัญชน หัวใจทำด้วยอะไรกัน? ทั้งยังคิดอยากให้ข้าออกกฤษฎีกาต้องโทษ พวกเจ้ายังเห็นข้าในสายตาอยู่อีกหรือไม่? การที่ข้าสูญเสียน้องชายว่าเป็นดั่งแขนที่หักแล้ว แต่พวกเจ้ากลับคอยอย่างไม่นึกเห็นอกเห็นใจ รังแต่ป่าวร้องที่ประตูวังนานนับหลายวัน ต้องการจะบีบคั้นข้าให้ตายหรืออย่างไร?!”

ใบหน้าของจักรพรรดิชราเกรี้ยวกราด ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ราวกับสัตว์เดรัจฉานที่เศร้าโศกาอับจนหนทาง

นี่…ทำให้เหล่าขุนนางตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงครองราชย์มาสามสิบเจ็ดปี ทรงเป็นผู้มีความคิดลึกซึ้ง ภาพพระปรีชาสามารถในการทรงงานหยั่งรากลึกในหัวใจของข้าราชการพลเรือนและทหารเสมอ

พวกเขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจักรพรรดิผู้สุขุมจะมีความเศร้าโศกเช่นนี้

ความแตกต่างระหว่างความประทับใจเดิมกับท่าทีที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ ทำให้บรรดาขุนนางต่างรู้สึกขมขื่น

ความเย่อหยิ่งที่พุ่งทะยานของเหล่าขุนนางพลันหยุดนิ่ง

ยังไม่ทันที่พวกเราจะได้ตอบสนองความประหลาดใจอันหนักอึ้ง จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ทรุดตัวนั่งลง บนใบหน้าฉายแววเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด

“ตอนที่ข้ายังเป็นรัชทายาท ได้รับการปกป้องจากจักรพรรดิองค์ก่อน เพราะตำแหน่งของข้าไม่มั่นคง ในทุกๆ วันจึงต้องคอยระมัดระวังยิ่งยวด เป็นไหวอ๋องที่ให้การสนับสนุนข้าอยู่เงียบๆ เพียงเพราะเราเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน จึงมีความผูกพันลึกซึ้ง ในปีนั้นไหวอ๋องถือดาบสยบดินแดนเข้าสังหารศัตรูของจักรวรรดิและปกป้องอาณาเขต ในการต่อสู้ด่านซานไห่หากไม่ได้ความกล้าหาญไม่รักตัวกลัวตายของเขา พวกเราจะประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ได้อย่างไร ทุกคนควรยอมรับเขาในเรื่องนี้ หลังยุทธการด่านซานไห่ ไหวอ๋องได้รับคำสั่งจากข้าให้ขึ้นไปทางเหนือและปกป้องชายแดนเป็นเวลากว่าสิบปี กลับมาเมืองหลวงเพียงไม่กี่ครั้ง ไหวอ๋องได้ทำผิดครั้งใหญ่หลวงก็จริงอยู่ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ได้ต้องโทษประหารไปแล้ว แม้แต่ชื่อเขาทุกท่านก็จะไม่เหลือไว้ให้เป็นอนุสรณ์เลยหรือ?”

เมื่อถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งขัดจังหวะอย่าง ‘เลือดเย็น’ เหล่าขุนนางจึงหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ไร้เสียงเอื้อนเอ่ยเป็นเวลานาน

แต่ไม่ว่าอย่างไร ในท้องพระโรงก็จะมีสักคนที่เป็นนกต่อ พุ่งเข้าสู่สนามรบเสมอ

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งเอ่ยเสียงดัง “ฝ่าบาท คุณและโทษไม่อาจทดแทนกันได้ เป็นความจริงที่ว่าไหวอ๋องเคยทำความดีไว้มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ราชสำนักก็ได้มอบรางวัลสำหรับคุณงามความดีนั้นแล้ว ทั้งผู้คนต่างก็รักเขาอย่างสุดซึ้ง ทว่าในตอนนี้เขาได้ก่ออาชญากรรมที่เลวทราม ว่ากันโดยทั่วไปเขาสมควรถูกลงโทษอย่างร้ายแรง มิฉะนั้นจะเป็นฝ่าบาทเสียเองที่ถูกครหาว่าบิดเบือนกฎบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตน”

จักรพรรดิหยวนจิ่งร้องตะโกนขึ้นทันที “ชั่วช้า ถึงทุกวันนี้เจ้าจะคอยวิ่งเต้นในเมืองหลวง เร่ใส่ความราชวงศ์ใส่ร้ายชินอ๋อง แต่เพราะข้านึกถึงความมุมานะของเจ้ามาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แม้ไม่มีคุณงามความดีก็มอบผลตอบแทนสำหรับความเหน็ดเหนื่อย ยอมทนเจ้ามาจนถึงตอนนี้ คดีไหวอ๋องยังคลี่คลายไม่เท่าไร ตราบใดที่ยังไม่คลี่คลาย เขาก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ การที่เจ้าใส่ร้ายชินอ๋องถือเป็นอาญาร้ายแรงถึงแก่ชีวิต!”

“ฝ่าบาท!…”

ทันใดนั้นหวางเจินเหวินก็เอ่ยขึ้น ขัดจังหวะของจักรพรรดิหยวนจิ่งเสียงกร้าว “เรื่องของท่านสมุหเทศาภิบาลเจิ้งค่อยว่ากันทีหลังเถิดพ่ะย่ะค่ะ เรามาคุยเรื่องไหวอ๋องกันก่อนดีกว่า”

จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเขาอย่างลึกล้ำ ดวงตากวาดมองหวางเจินเหวิน ก่อนหยุดพักที่ไหนสักแห่ง

ราวกับตอบสนองต่อจักรพรรดิหยวนจิ่ง จู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

บรรดาขุนนางต่างหันมองไปยังต้นเสียง ก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นขุนนางใกล้ชิดจากกรมพิธีการ

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าขุนนางใกล้ชิดเป็นคนปากไวไร้เหตุผล เปรียบได้กับหมาบ้าประจำท้องพระโรง จับผิดใครได้ก็จะแว้งกัดคนนั้น ในขณะเดียวกันพวกเขายังเป็นผู้ริเริ่มสงครามภายในท้องพระโรงอีกด้วย

และเป็นจริงอย่างที่คาดไว้ คราวนี้ก็ไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง

เหยาหลินทำความเคารพ ก้มศีรษะเล็กน้อยและกล่าวเสียงดัง “กระหม่อมต้องการร้องเรียนท่านสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวิน ที่เคยสั่งให้เจ้ากรมพิธีการร่วมกับกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจทำลายซังผอ”

ภายในท้องพระโรงค่อยๆ เกิดความโกลาหล

เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าแปลกๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหวางเจินเหวินได้นำกลุ่มขุนนางเข้าล้อมประตูวัง ชื่อเสียงเลื่องลือเป็นวงกว้างกล่าวว่าเขาเป็นแนวหน้าในการ ‘บีบคั้นองค์จักรพรรดิ’

และดูเหมือนว่า ณ ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับข้อร้องเรียนดังกล่าว…ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรกระทำ

อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องนี้เจ้ากรมพิธีการเป็นสมาชิกของพรรคหวาง ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะกล่าวหาว่าเขาได้รับคำสั่งจากสมุหราชเลขาธิการหวางหรือเปล่า

เรื่องราวภายในของคดีซังผอนั้นแท้จริงแล้วเป็นเจ้ากรมพิธีการคนก่อนที่ได้สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อทำลายซังผอ และเบี้ยเดิมพันที่เผ่าพันธุ์ปีศาจมอบให้ก็คือพระศพของท่านหญิงผิงหยางกับเหิงฮุ่ย

ด้วยความตรากตรำของคู่สามีภรรยาคู่นี้ จึงเปิดโปงความผิดของพรรคเหลียงได้

ต้นตอทัั้งหมดมาจากสงครามระหว่างพรรค การที่เผ่าพันธุ์ปีศาจลักลอบช่วยเหลือต่างแดน

สมุหราชเลขาธิการหวางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ หรือ? ในเรื่องนี้ไม่ว่าภายในใจขุนนางจะตั้งคำถามหรือกำหนดจุดจบเรื่องราว มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้

ต่อมาเหยาหลินก็ได้ประกาศกฤษฎีกาต้องโทษหวางเจินเหวินอยู่หลายครั้ง เช่น ข้อหายอมให้มีการทุจริตและติดสินบนผู้ใต้บังคับบัญชา หรือข้อหาการรับสินบนจากผู้ใต้บังคับบัญชา…

ทว่าคดีซังผอไม่ได้ถูกกล่าวถึง มีเพียงข้อกล่าวหายิบย่อยต่างๆ ที่ถูกระบุลงไว้ด้านหลัง แน่นอนว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

เขาจึงได้กลายเป็นสมุหราชเลขาธิการผู้ที่สองแขนเสื้อโปร่งใสสะอาดอย่างนั้นสินะ?

ขืนใครยอมทำตามเจ้าล่ะก็ ฝ่าบาทคงถึงคราวได้เชือดไก่ให้ลิงดู…

ในใจขุนนางตะลึงงัน แม้ว่าลัทธิขงจื๊อจะมีวิทยายุทธสังหารมังกร แต่ระหว่างกษัตริย์และขุนนางยังคงมีช่องว่างที่ไม่มีทางข้ามผ่านไปได้

จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ใช่จักรพรรดิหนุ่ม ตรงกันข้ามเขามองดูท้องพระโรงมามากกว่าครึ่งรอบเอกแล้ว

สมุหราชเลขาธิการหวางเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นจักรพรรดิหยวนจิ่งมองมาที่ตัวเองอย่างเย็นชา เขาจึงไม่ลังเลอีกต่อไปพลางกล่าวเสียงเบา “ข้าน้อย ยอมถวายชีวิต”

แววตาเคร่งขรึมฉายแวบในดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ขณะที่กำลังจะปริปาก ตอนนั้นเองผู้ตรวจการจางสิงอิงพลันก้าวออกมาพร้อมกับทำความเคารพ

“ฝ่าบาท สมุหราชเลขาธิการหวางทุจริตและติดสินบน นำหายนะมาสู่ประเทศและประชาชน พระองค์จะต้องไม่รักษาเขาไว้”

ผู้ตรวจการจางเป็นคนของเว่ยเยวียน

จักรพรรดิหยวนจิ่งนิ่งเงียบเป็นเวลานาน จากนั้นก็เหลือบมองไปยังเว่ยเยวียนที่นั่งเมินเฉย ก่อนจะพูดเสียงเบา “สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวเกินจริงไปแล้ว ท่านใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการเป็นคนสุขุมรอบคอบอุทิศตนเพื่อจักรวรรดิ ทำงานเหน็ดเหนื่อยสร้างคุณงามความดีใหญ่หลวง ข้าเชื่อใจท่าน”

ดุลยภาพที่สร้างโดยน้ำมือจักรพรรดิหยวนจิ่ง บัดนี้ได้กลายเป็นตรวนที่ใหญ่ที่สุดของเขาไปเสียแล้ว

หากปลี่ยนเป็นใครสักคนคงจะถูกปลดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผิดกับสมุหราชเลขาธิการหวาง เขาเป็นคนเดียวในท้องพระโรงที่สามารถตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเว่ยเยวียนได้

ถึงไม่มีเขาและแม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะสนับสนุนพรรคอื่น ก็ยังไม่เพียงพอที่เว่ยเยวียนจะต่อสู้ด้วยมือเดียว

ในเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ยักษ์ทั้งสามของท้องพระโรงอย่างจักรพรรดิหยวนจิ่ง เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางก็ได้ถึงคราวเผชิญหน้า

ด้านจักรพรรดิหยวนจิ่งถือไพ่เหนือกว่าเล็กน้อย กดขี่อำนาจเย่อหยิ่งของเหล่าขุนนาง สร้างตื่นตระหนกให้กับที่ประชุม ทว่าสมุหราชเลขาธิการหวางกับเว่ยเยวียนกลับไม่ทุกข์ร้อน เพราะหัวข้อสนทนานี้ชักนำพวกเขาให้กลับไปที่คดีสังหารหมู่ของไหวอ๋องอีกครั้ง

“ได้โปรดฝ่าบาททรงลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือ ตัดสินโทษแก่เขาและให้คำอธิบายแก่ไพร่ฟ้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ในที่สุดเว่ยเยวียนก็โพล่งออกมา

ทุกคนต่างเห็นด้วยในทันที แต่คราวนี้จักรพรรดิหยวนจิ่งกลับกวาดตามอง ก่อนพบว่าคนกลุ่มเล็กๆ ได้หยุดการเคลื่อนไหว

มุมปากของเขาเรียบเฉย ท้ายที่สุดในท้องพระโรงผลประโยชน์ถือเป็นสิ่งสำคัญและผลประโยชน์ส่วนตนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เพิ่งจะเชือดไก่ให้ลิงดูไปหมาดๆ สร้างความแตกตื่นไปได้ไม่น้อย นับว่าคุ้มค่าทีเดียวโuเวลกูดoทคoม

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าคดีฉู่โจวควรพิจารณาจากมุมมองในระยะยาว ไม่ควรตัดสินลงโทษไหวอ๋องโดยสุ่มสี่สุ่มห้านะพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงคัดค้านแรกปรากฏขึ้น

ผู้ที่พูดขึ้นคือหยวนสยงเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้าย

จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว เอ่ยถามว่า “เหตุใดขุนนางสยงถึงกล่าวเช่นนี้?”

หยวนสยงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที พร้อมกล่าวเสียงก้อง “ไหวอ๋องเป็นพระอนุชาของฝ่าบาท เป็นชินอ๋องแห่งต้าฟ่ง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระพักตร์ของราชวงศ์และพระพักตร์ของฝ่าบาท จึงไม่ง่ายเลยที่จะด่วนสรุปนัก”

‘ไร้ยางอาย!’

เหล่าขุนนางบุ๋นต่างสาปแช่งในใจ

การใช้ประโยชน์จากคดีฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการแสนอุจาดนี้พาดพิงถึงเว่ยเยวียนและทำร้ายปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อและคนอื่นๆ หลังการสอบสิ้นสุดปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อจึงได้ผนวกกับเว่ยเยวียนเข้าร้องเรียนหยวนสยง

ทว่าท้ายที่สุดฝ่าบาททรงเก็บสัตว์เลี้ยงตัวนี้ไว้ โดยตัดสินโทษเพียงเวลาสามเดือน

บัดนี้เขากลายได้เป็นดาบของฝ่าบาท คอยต่อสู้กับกลุ่มขุนนางน้อยใหญ่แทน

“ฝ่าบาท ที่ฝ่ายตรวจการหยวนพูดก็มีเหตุผลนะพ่ะย่ะค่ะ…”

ในเวลานี้ ชายชราที่พิงไม้ค้ำตัวสั่นโผล่พ้นออกมาจากเสา

อีกฝ่ายมีผมสีเทาไร้ซึ่งความดำสอดแทรก สวมชุดสีแดงสดเป็นชุดมาลาปักด้ายทองสลักลวดลายมังกรทองแย้มกรงเล็บทั้งห้า

ลี่หวาง!

พระอนุชาของจักรพรรดิองค์ก่อน หรือพระปิตุลาของจักรพรรดิหยวนจิ่งและไหวอ๋อง

“เสด็จอาทรงมาได้อย่างไร ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าท่านไม่ต้องทรงราชกิจ” จักรพรรดิหยวนจิ่งดูตกใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยสั่ง “ใครก็ได้รีบหาเก้าอี้ให้เสด็จอานั่งที”

“ถ้าข้าไม่มา เกรงว่าชื่อเสียงของราชวงศ์ต้าฟ่งที่สั่งสมมานานกว่าหกร้อยปีจะถูกทำลายด้วยน้ำมือลูกหลานที่ไม่คู่ควรเช่นเจ้าน่ะสิ” ชายชราพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา

จักรพรรดิหยวนจิ่งก้มศีรษะลง ไม่พูดอะไรอย่างยอมรับความผิดพลาดของตน

หลังเก้าอี้ถูกนำเข้ามา ชายชราพลันหันเก้าอี้ไปทิศทางหนึ่ง ก่อนนั่งผินหน้าเข้าหาเหล่าขุนนางแล้วพ่นลมหายใจอีกครั้ง “ต้าฟ่งคือเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ของใต้หล้า ยิ่งไปกว่านั้นรวมถึงราชวงศ์ต้าฟ่งของข้าด้วย

“จักรพรรดิเกาจู่ประสบความยากลำบากมากมาย คอยกวาดล้างการทุจริตของราชวงศ์ก่อนหน้าและก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ จักรพรรดิอู่จงสังหารขุนนาง กำจัดคนชั่วข้างกายองค์จักรพรรดิ เสียเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อเป็นจำนวนมาก ไหวอ๋องทำผิดครั้งใหญ่หลวง ถึงตายไปก็ไม่สาสมกับความผิดที่ได้กระทำ แต่ตราบใดที่ข้าผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนป้ายความเสื่อมเสียให้แก่เกียรติยศราชวงศ์ของข้าอย่างแน่นอน”

เจิ้งซิ่งไหวเลือดขึ้นหน้า พูดเสียงเข้ม “ท่านเหล่าหวาง ต้าฟ่งสถาปนาประเทศมานานนับหกร้อยปีแล้ว การตรวจสอบเรื่องทุจริตของกษัตริย์ก็มีให้เห็นไม่น้อยเลย…”

ทันทีที่เขาพูดจบก็ถูกลี่หวางขัดจังหวะขึ้นอย่างฉุนเฉียว ชายชราตวาดกร้าว “กษัตริย์ก็คือกษัตริย์ ขุนนางก็เป็นขุนนาง ท่านอ่านหนังสือเรียนทั้งหมดจากราชวิทยาลัยหลวงมาตั้งมากมาย ลืมคำสอนของเฉิงย่าเซิ่งไปแล้วหรือ?”

จู่ๆ ทุกคนก็รู้สึกหวาดกลัว

หากจักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสสิ่งนี้แล้ว พวกเขาทุกคนยินดีสละชีพ ยอมตายต่อหน้าพระองค์ การก้าวสู่ความรุ่งโรจน์ของจักรพรรดิเป็นเรื่องชื่นบานที่สุดในจิตใจของปัญญาชนใต้หล้า

แต่เมื่อผู้ที่ตรัสคือลี่หวาง ลี่หวางผู้มีพรสวรรค์มากมายครั้นยังเด็ก เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่เลื่องชื่อในเมืองหลวง หากอยู่ต่อหน้าเขาลี่หวางกลับถูกมองว่าเป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืนเท่านั้น

ในฐานะชินอ๋องและปราชญ์อาวุโสที่ค้ำจุนอยู่เบื้องหน้า เขาจึงอาศัยว่าตนอายุมากทำตัวเป็นผู้อาวุโสไปว่าคนอื่น ใครล้วนแตะต้องไม่ได้

ความเย่อหยิ่งของกลุ่มต่อต้านถูกกดขี่อีกครั้ง

“เฮ้อ ลี่หวางไตร่ตรองด้วย”

เว่ยเยวียนถอนหายใจ

ลี่หวางเหยียดกายตรง ใบหน้าชรายุ่งเหยิงมองดูเว่ยเยวียนด้วยหางตา

“ฮึ่ม ขันทีผู้นี้เดิมทีควรเป็นทาสหรือคนใช้ในวัง หากไม่ใช่เพราะสายตาเฉียบแหลมของฝ่าบาทให้โอกาสเจ้า เจ้าจะมีทัศนะอย่างวันนี้หรือไม่?”

เว่ยเยวียนก้มศีรษะลงแสดงท่าทีโอนอ่อนแล้วกล่าวว่า

“หากลี่หวางคิดถึงชื่อเสียงของราชวงศ์ ก็ไม่ควรปกปิดเรื่องนี้กับไหวอ๋อง เมื่อวานนี้สามปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่ต้องการเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อประณามฝ่าบาท แต่ข้าหยุดพวกเขาเสียก่อน

“สามปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่าราชสำนักสามารถเปลี่ยนแปลงหนังสือประวัติศาสตร์ได้ แต่หนังสือประวัติศาสตร์ของสำนักอวิ๋นลู่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนัก วันนี้อ๋องสยบแดนเหนือสังหารประชาชนสามแสนแปดหมื่นคนในเมืองฉู่โจว ภายภาคหน้าปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดี เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลัง ทั้งนี้ฝ่าบาทผู้ซึ่งปกปิดความผิดพระอนุชาของเขา ความผิดเดียวกันนี้ก็จะถูกจารึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์อย่างถี่ถ้วนเช่นกัน”

สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

กลุ่มคนต่อต้านทั้งหมดต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง

นี่คือสิ่งที่ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่จะลงมือทำจริงๆ ปัญญาชนเหล่านั้นดำเนินตามนโยบายของลัทธิขงจื๊อ หยิ่งทะนงในการกระทำโดยสายตาไม่สนใจผู้ใด แต่…ขจัดความโกรธได้ดี!

ลี่หวางกล่าวเสียงเบา “ลูกหลานคนรุ่นหลังรับรู้เพียงประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึก ใครจะสนว่าประวัติศาสตร์ที่ไร้การอ้างอิงของสถาบันการศึกษาจะกล่าวว่าอย่างไรเล่า?”

เขาพูดสิ่งนี้กับจักรพรรดิหยวนจิ่ง บอกกล่าวกับหลานชายผู้นี้ให้บำเพ็ญธรรมและรักชื่อเสียงของตน เพื่อเลี่ยงการถูกคุกคามโดยเว่ยเยวียน

เว่ยเยวียนพูดเนิบนาบ “ชั่วชีวิตท่านลี่หวางไม่เคยกระทำชั่วเลยแม้แต่น้อย หยั่งรู้และเป็นแบบอย่างแก่สมาชิกราชวงศ์ ต้นแบบแก่ปัญญาชน อย่าบันทึกสิ่งนี้ลงในสำนักอวิ๋นลู่เลย คนอายุมากแต่ยังไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเองแบบนี้น่ะ”

ลี่หวางเปลี่ยนสีหน้าในทันที พลางยกนิ้วชี้ไปที่เว่ยเยวียนอย่างสั่นเทา กล่าวเสียงเคร่งขรึม “เว่ยเยวียน เจ้ากล้าดูหมิ่นข้างั้นหรือ เจ้าคิดการกบฏใช่หรือไม่!”

สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวเบาๆ “คำแนะนำกลายเป็นภัยคุกคามตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

“เจ้า พวกเจ้า…”

ลี่หวางเนื้อตัวสั่น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงรัวแรง

ลี่หวางเรียนหนังสือตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ว่าเขาจะได้สถานะเป็นชินอ๋อง แต่ก็ถือว่าตนเองเป็นปัญญาชนมาโดยตลอด เขาสนใจคำสี่คำ ‘ชื่อเสียงอันดี’ ในประวัติศาสตร์มากกว่าวีรบุรุษผู้มั่งคั่งทั่วไปเสียอีก

ปัญญาชนผู้ทำผิดจนเคยชิน

คำพูดของเว่ยเยวียนทำให้ลี่หวางระวังตัวสุดฤทธิ์ ประวัติศาสตร์จารึกและไร้การอ้างอิงในตอนนี้เป็นเพียงคำปลอบโยนจักรพรรดิหยวนจิ่งเท่านั้น บัดนี้ปัญญาชนได้ตระหนักถึงอำนาจของสำนักอวิ๋นลู่มากขึ้นแล้ว

สงครามท้องพระโรง โต้กันไปมา พลิกแพลงตามสถานการณ์

เมื่อเห็นว่าลี่หวางหยุดพูด จักรพรรดิหยวนจิ่งพลันทราบได้ทันทีว่ากลยุทธ์นี้ได้ถูก ‘ศัตรู’ คลี่คลายแล้ว ทว่าไม่เห็นเป็นไร ก้าวต่อไปต่างหากที่เป็นกุญแจสู่ชัยชนะของเขา

เมื่อคิดได้อย่างนี้ เขาก็ชายตามองเฉากั๋วกงที่อยู่ในกลุ่มขุนนางผู้ทรงอำนาจ

เฉากั๋วกงเข้าใจในทันที ก่อนก้าวออกจากแถวและเปล่งเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำพูดที่อยากจะกล่าวพ่ะย่ะค่ะ”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset