ขณะเดียวกันที่คอร์สสร้างแรงบันดาลใจของเว็บจงเตี่ยนจงเหวิน
ชุยเกิ่งมองเวลา เหลืออีกสองชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาเลิกงาน
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปในชั่วพริบตา วันพรุ่งนี้คือวันหยุดสุดสัปดาห์อีกแล้ว
เขาออกจากโซนดูหนังของคอร์สสร้างแรงบันดาลใจแล้วไปหาโต๊ะว่างในโซนทำงานเพื่อเขียนพล็อตเรื่องผู้สืบทอดต่อ
ในเวลางานแปดชั่วโมงพวกเขาต้องใช้เวลาหกชั่วโมงไปกับการดูหนังและอ่านการ์ตูนกับนิยายเพื่อรวบรวมข้อมูล เวลาเขียนงานมีแค่สองชั่วโมงเท่านั้น นี่คือกฎอันเข้มงวดของคอร์สสร้างแรงบันดาลใจ
ตอนแรกชุยเกิ่งรู้สึกว่าสองชั่วโมงนั้นสั้นเกินไป เขาไม่ชินเลย
เวลาที่มีนั้นตรงกันข้ามกับตอนเขียนเว็บโนเวลของตัวเองลิบลับ อย่างมากสุดเขาใช้เวลาแค่สองชั่วโมงในการรวบรวมข้อมูลและใช้เวลาที่เหลือในการเขียนงาน
กลับกันชุยเกิ่งไม่ชินเลยที่มีเวลาเขียนงานแค่สองชั่วโมง เขารู้สึกเหมือนเวลาหมดไปก่อนที่เขาจะทันได้เริ่มซะอีก
ชุยเกิ่งรู้สึกว่าจังหวะการเขียนงานไม่ค่อยลงล็อกเท่าไหร่ในช่วงครึ่งสัปดาห์แรก เขาต้องใช้เวลาทั้งหมดสองชั่วโมงกว่าจะปรับอารมณ์ให้อยู่ในโหมดเขียนงานได้
คอมพิวเตอร์ในออฟฟิศจะบันทึกเวลาเขียนงานของนักเขียนทุกคน พวกเขาไม่สามารถเขียนงานเกินสองชั่วโมงได้
แน่นอนว่านักเขียนจะไปเขียนงานต่อด้วยโน้ตบุ๊กหรือเข้าร้านอินเทอร์เน็ตหลังเลิกงานหรือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ได้ การเขียนนิยายตามสัญญานี้ไม่มีข้อกำหนดเรื่องจำนวนการลงงานและจำนวนคำทั้งหมด เพราะงั้นจะมีใครในคอร์สสร้างแรงบันดาลใจไปเขียนงานในเวลาว่างกัน
ชุยเกิ่งจึงปรับตัวได้ยากมากในตอนแรก เขาเขียนงานเหมือนเต่าคลาน ปล่อยให้นักอ่านค้างคาจนโดนด่าเปิง
แต่เขาก็ค่อยปรับโหมดเขียนงานของตัวเอง
เขาใช้เวลาหกชั่วโมงต่อวันในการรวบรวมข้อมูลและสรุปรายละเอียดเรื่องราวที่จะเขียนในวันนี้ เวลาที่เหลืออีกสองชั่วโมงเพียงพอสำหรับเขาในการตั้งสมาธิเขียนงาน เนื้อหาทั้งหมดไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาจึงไม่เจอกับอาการสมองตันเลย
อีกอย่างพอต้องบีบอัดเนื้อหาทั้งหมดที่จะเขียนในแต่ละวันให้พอดีกับเวลาสองชั่วโมง เรื่องราวก็มีความกระชับขึ้น
หลังจากปรับจังหวะการเขียนงานของตัวเองได้ ชุยเกิ่งก็ไม่รู้สึกอึดอัดอีก
ชุยเกิ่งเดินไปโซนทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเข้าสู่โหมดเขียนงานอย่างรวดเร็ว มือของเขารัวลงบนแป้นพิมพ์ขณะที่เนื้อเรื่องแต่ละส่วนจากความคิดในหัวปรากฏเรียงร้อยทีละคำ
ชุยเกิ่งไม่กล้าล่าช้าไปมากกว่านี้เพราะเขารู้ว่าทันทีที่ได้เวลาเลิกงาน เมาส์ทุกตัวในออฟฟิศจะมีชีวิตขึ้นมาและวิ่งไปมาไม่ยอมให้จับเหมือนหนูจริงๆ
เขาต้องรีบเขียนงานวันนี้ให้เสร็จก่อนเมาส์จะวิ่งหนี
คอร์สสร้างแรงบันดาลใจสัปดาห์นี้มีคนเพิ่มขึ้น
มีนักเขียนเว็บจงเตี่ยนจงเหวินที่เขียนงานตัวเองเสร็จ ยอมรับสัญญาซื้อลิขสิทธิ์แบบใหม่ และเข้าร่วมคอร์สสร้างแรงบันดาลใจเพื่อรวบรวมข้อมูลขณะเขียนงานมากขึ้น
แต่ส่วนใหญ่ก็ยังโดนด่ากันอยู่ดี
นักอ่านเว็บจงเตี่ยนจงเหวินตระหนักถึงการมีอยู่ของคอร์สสร้างแรงบันดาลใจและความคิดเห็นของพวกเขาก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากมีนักเขียนแค่ไม่กี่คนในเว็บจงเตี่ยนจงเหวินที่เขียนงานเรื่องเก่าเสร็จและเริ่มเขียนนิยายตามกำหนดโดยใช้ IP ของเถิงต๋า กลุ่มผู้อ่านที่ได้รับผลกระทบจึงไม่กว้างมาก
แต่มีนักเขียนที่ได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ตลอดสัปดาห์กว่าๆ ที่ผ่านมา นักอ่านเห็นนักเขียนที่เขียนนิยายเรื่องเก่าจบหลายคนกลายเป็น ‘เทพตกสวรรค์’ จำนวนนิยายใหม่ที่พวกเขาอยากอ่านลดลง จึงไม่แปลกที่เหล่านักอ่านจะไม่พอใจกันมากๆ และคิดว่าเว็บจงเตี่ยนจงเหวินตัดสินใจไร้เหตุผลและกำลังทำอะไรเกินตัว พวกเขาคิดว่าถ้าทางเว็บตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไป สุดท้ายอาจให้ผลในทางตรงกันข้ามได้
แต่เว็บจงเตี่ยนจงเหวินก็ไม่ได้ออกมาตอบโต้กระแสนี้
ด้านนักเขียนมีท่าทีตอบสนองแตกต่างกันไป
บางคนรู้สึกว่าแนวทางการเขียนในปัจจุบันค่อนข้างดีทีเดียว ถ้าเมินกระแสทักท้วงจากนักอ่านก็สามารถเขียนเนื้อหาที่ชอบได้สบายๆ และอิสระมาก นักเขียนอีกกลุ่มรู้สึกคิดผิด พวกเขารู้สึกไม่พอใจเนื้อหาที่ตัวเองเขียนและนักอ่านเองก็ไม่พอใจเหมือนกัน ทำให้อยากรีบเขียนงานตามสัญญาลิขสิทธิ์ให้จบแล้วกลับไปเขียนงานแบบเดิม
เห็นได้ชัดว่าคอร์สสร้างแรงบันดาลใจจะตัดนักเขียนไปได้กลุ่มหนึ่งหลังผ่านไปหนึ่งถึงสองเดือนแล้วเหลือไว้เพียงแค่ส่วนหนึ่ง
แต่ยังไงทุกคนก็ต้องทำตามสัญญาการเขียนงานปัจจุบันให้เสร็จก่อน โชคดีที่กำหนดจำนวนคำสูงสุดแค่ห้าแสนคำ ถ้าไม่มัวชักช้าอย่างมากสุดก็เขียนเสร็จได้ภายในสามเดือน
หม่าอี้ฉวิน จูซิงอัน และบรรณาธิการคนอื่นๆ ของเว็บจงเตี่ยนจงเหวินปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบตามที่บอสเผยสั่ง
ชุยเกิ่งไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ นักเขียนคนอื่นจะอยากกลับไปใช้สัญญาส่วนแบ่งรายได้หรืออยากเขียนแบบสัญญาซื้อลิขสิทธิ์ต่อก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขา
ตอนนี้เขาอยากเขียนเรื่องผู้สืบทอดอย่างสงบสุข
ถึงจะไม่มีใครชอบยังไงก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเขา
ชุยเกิ่งเขียนบทเปิดเรื่องผู้สืบทอดไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน
เขาวางโครงเรื่องของผู้สืบทอดเกือบเสร็จแล้วภายในหนึ่งสัปดาห์ ที่เหลือแค่ปรับรายละเอียดในแต่ละจุดให้สมบูรณ์ novelgu.com
…
ฟีล ซิมมอนส์ เสือผู้หญิงทายาทตระกูลร่ำรวยผู้ไร้ซึ่งพลังพิเศษตัดสินใจเป็นซูเปอร์ฮีโร่ เขาได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากพ่อผู้ร่ำรวยและสามารถใช้เงินสองพันล้านดอลลาร์ในการทำฝันอยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่ให้เป็นจริงได้
ฟีลตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่ายุคนี้คนธรรมดาสามารถเป็นฮีโร่ได้ในสี่ขั้นตอนนี้
หาทางเป็นเด็กฝึกซูเปอร์ฮีโร่แล้วเดบิวต์ให้ได้
ระมัดระวังคำพูดและการกระทำระหว่างขั้นตอนสังเกตการณ์และรวบรวมผู้สนับสนุน
เข้าร่วมการคัดเลือกฮีโร่และเป็นกระบอกเสียงให้กับชุมชนหรือกลุ่มสังคม
ขึ้นเป็นซูเปอร์ฮีโร่ระดับแนวหน้า กลายเป็นบุคคลทรงอำนาจและทรงอิทธิพลที่สุดในโฮปซิตี้หรือแม้แต่ทั้งประเทศ
ฟีลรู้ดีว่าคนทั่วไปเดินเส้นทางนี้ได้ยากมาก
หลายสิบล้านคนในสหรัฐอเมริกาฝันอยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่ แต่มีแค่ไม่กี่ร้อยคนที่ผ่านขั้นตอนแรกไปได้ มีไม่กี่สิบคนที่ผ่านขั้นที่สองมาได้ มีสิบกว่าคนที่ผ่านขั้นที่สามได้ และมีแค่สามถึงห้าคนที่ขึ้นไปยืนบนจุดยอดสุดของพีระมิดได้
ยิ่งไปกว่านั้นแล้วฟีลไม่ใช้คนรวยคนแรกที่อยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่ด้วยการโปรยเงิน
มีมหาเศรษฐีอีกอย่างน้อยหลายสิบคนที่รวยกว่าไรอัน ซิมมอนส์ผู้เป็นพ่อของเขาในโฮปซิตี้ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้อยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่
ส่วนใหญ่เลือกทางอื่นซึ่งก็คือ การใช้อิทธิพลทางอ้อมโดยการจัดงานแสดงความสามารถของซูเปอร์ฮีโร่ การจัดหาเงินทุนสำหรับแคมเปญซูเปอร์ฮีโร่ หรือการลงทุนในฮีโร่ก่อนที่จะเดบิวต์
พอกลุ่มสมาคมใหญ่เข้ามาอุดหนุนเงินทุนให้เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ ถึงซูเปอร์ฮีโร่พวกนี้จะไม่ถือว่าเป็นลูกน้องพวกเขา แต่ยังไงในกรณีส่วนใหญ่ก็ต้องไว้หน้าบ้าง
แต่ปัญหาอยู่ที่การมีอิทธิพลแบบนั้นไม่สามารถได้มาด้วยการให้เงินเพียงอย่างเดียว
ไรอัน ซิมมอนส์นับว่าเป็นเศรษฐีชื่อดังในโฮปซิตี้ แต่ฟีลยังไม่อยู่ในระดับที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบเพราะเขาไม่ได้มีอำนาจควบคุมฮีโร่มากขนาดนั้น
ตระกูลซิมมอนส์สามารถบงการได้แค่ซูเปอร์ฮีโร่กระจอกๆ
ประชาชนชาวอเมริกันไม่ยอมให้ซูเปอร์ฮีโร่เป็นลูกไล่ของกลุ่มสมาคมใหญ่ ดังนั้นจึงมีข้อจำกัดมากมายในระบบ
ตัวอย่างเช่น กลุ่มสมาคมใหญ่อุดหนุนเงินทุนแคมเปญให้ซูเปอร์ฮีโร่ได้ แต่จะต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจและเป็นการให้ในทางอ้อม สามารถมีอิทธิพลได้แต่ห้ามควบคุมเด็ดขาด
ซูเปอร์ฮีโร่ผู้ทรงพลังไม่ได้มีกลุ่มสมาคมคอยหนุนหลังแค่กลุ่มเดียวแน่นอน แต่เป็นกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกันของหลายๆ กลุ่มสมาคม สมาคมเหล่านี้สร้างสมดุลระหว่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นซูเปอร์ฮีโร่ยังสามารถใช้ ‘เจตจำนงของประชาชน’ เป็นเหตุผลในการปฏิเสธข้อเรียกร้องจากกลุ่มสมาคมบางแห่งได้ด้วย
ถ้ามีปัญหากับกลุ่มสมาคมไหนซูเปอร์ฮีโร่จะตัดขาดทันที อาจถึงขั้นใช้หลักการ ‘จัดการญาติมิตรเพื่อปกป้องความเป็นธรรมของสังคม’ และจัดการกับกลุ่มสมาคมนั้นเป็นการส่วนตัว
สรุปแล้วชนชั้นกลุ่มสมาคมนั้นควบคุมซูเปอร์ฮีโร่อยู่ แต่ถ้าพิจารณาเหล่าเศรษฐีเป็นรายบุคคลก็ไม่ต่างอะไรกับปลาบนเขียง
ซูเปอร์ฮีโร่ระดับแนวหน้ามีพลังต่อสู้สุดแข็งแกร่งและอิทธิพลยิ่งใหญ่ แถมยังมีเงินทุนก้อนโตในมือ พวกเขากลายเป็นมหาเศรษฐีและกลุ่มสมาคมสุดไร้เทียมทานไปแล้ว ถึงจุดที่พลิกกลับสลับบทบาทมาเป็นผู้ควบคุมเหล่าเศรษฐีเสียด้วยซ้ำ
เหล่าคนรวยอย่างตระกูลซิมมอนส์เป็นแค่ฝุ่นผงในสายตาซูเปอร์ฮีโร่ระดับแนวหน้า
กลุ่มสมาคมรายใหญ่ต่างก็มีส่วนร่วมในการต่อสู้อย่างเปิดเผยและซ่อนเร้นเพื่อแย่งชิงอำนาจเหนือฮีโร่ ถึงอย่างนั้นตระกูลซิมมอนส์ก็ขาดข้อได้เปรียบในด้านนี้อย่างชัดเจน
ไรอัน ซิมมอนส์จึงเต็มใจสละทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตัวเองเพื่อเดิมพันกับอนาคตของตระกูลซิมมอนส์และสนับสนุนให้ฟีล ซิมมอนส์ขึ้นเป็นซูเปอร์ฮีโร่