ฉางโหย่วอยากส่งต่อรางวัลนี้ให้คนอื่นมาก เขาอยากดูแล OTTO พัฒนามือถือรุ่นใหม่ และเป็นคนพูดนำเสนอในงานโชว์เคสต่อไป
แต่สายตาแน่วแน่ของบอสเผยบอกเป็นนัยว่ากฎก็คือกฎ ไม่มีใครฝ่าฝืนได้!
ตอนนั้นจางหยวนก็ไม่อยากรับรางวัลแต่ก็ไม่สามารถเจรจาได้
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ฉางโหย่วก็พูดขึ้น “ผมต้องออกจาก OTTO ใช่ไหมครับบอสเผย”
เผยเชียนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ใช่”
อันที่จริงเผยเชียนไม่คิดเลยว่าต้องกำจัดฉางโหย่วออก เมื่อเทียบกับกิจการอื่นแล้วถึง OTTO จะทำเงินได้แต่ก็กำลังผลาญเงินเป็นจำนวนมาก อัตรากำไรก็ไม่ได้สูง ยังห่างไกลจากการทำกำไรถล่มทลาย
แต่เผยเชียนก็เชื่อว่าสายตาของมวลชนนั้นชัดเจน
จุดประสงค์ดั้งเดิมของระบบคัดเลือกพนักงานดีเด่นคือตัดความคิดเห็นส่วนตัวของเผยเชียนออกให้ได้มากที่สุด เพื่อที่พนักงานทุกคนจะได้โหวตและเลือกพนักงานที่เป็นภัยเสี่ยงต่อแผนขาดทุนมากที่สุด
ดังนั้นเผยเชียนจึงต้องยึดมั่นในหลักการนี้ ไม่ว่าพนักงานดีเด่นจะเป็นใครก็ต้องออกจากกิจการปัจจุบัน กฎไม่สามารถเปลี่ยนได้
ฉางโหย่วพูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง “ผมคิดดูแล้วครับ ผมอยากเปิดบริษัทใหม่มาดูแลสินค้าในห่วงโซ่ระบบนิเวศของผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีอย่างอุปกรณ์สวมใส่ เฟอร์นิเจอร์อัจฉริยะ และอื่นๆ ครับ”
เผยเชียน “?”
ฉางโหย่วพูดต่อ “บอสเผยครับ ตามกฎของทุนตามฝันผู้ชนะต้องออกจากกิจการเดิม แต่ก็สามารถลงทุนกับอุตสาหกรรมไหนก็ได้ที่ชอบ ซึ่งไม่มีข้อจำกัดชัดเจนในเรื่องนี้ กิจการหลักของ OTTO คือมือถือ ผมเลยจะเปิดบริษัทใหม่ แทนที่จะผลิตมือถือผมจะผลิตสินค้าในระบบนิเวศแทน ทำแบบนี้ก็น่าจะเป็นไปตามกฎใช่ไหมครับ”
เผยเชียนอึ้งไป
จางหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ
พอมาคิดดูอีกทีก็เหมือนจะใช่ พนักงานดีเด่นต้องออกจากกิจการเดิมก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีการห้ามชัดเจนว่าไม่ให้ใช้ทุนตามฝันในการทำกิจการที่เกี่ยวข้องกับกิจการเดิม!
เห็นได้ชัดว่าหวงซื่อปั๋ว จางหยวน และพนักงานคนอื่นๆ มองข้ามจุดนี้ไป
ดูจากจางหยวนเป็นตัวอย่าง หลังออกจากร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูเขาย่อมเอาเงินทุนไปเปิดร้านอินเทอร์เน็ตแบรนด์ใหม่ไม่ได้ โดยจิตใต้สำนึกแล้วเขารู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ได้ จึงหันไปเปิดสโมสรอีสปอร์ตแทน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีประสบการณ์ไม่สูงพอและไม่ยอมศึกษาช่องโหว่ในกฎนี้ให้ดี
แต่ฉางโหย่วนั้นไม่เหมือนกัน เขามีประสบการณ์สูงกว่าทั้งคู่จึงมีความเจ้าเล่ห์และหาช่องโหว่ในระบบคัดเลือกพนักงานดีเด่นได้อย่างง่ายดาย
ธุรกิจหลักของ OTTO คือมือถือ แต่ว่ากันตามตรงแล้วระบบนิเวศอัจฉริยะก็อยู่ในขอบเขตธุรกิจนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีการพัฒนาขึ้นแน่นอน
เพราะนอกจากเครื่องทะเลาะอัจฉริยะกับ ‘เมาส์กันการทำงานล่วงเวลา’ แล้ว OTTO ก็ยังไม่มีแผนก้าวเข้าสู่วงการระบบนิเวศอัจฉริยะที่ชัดเจน
ฉางโหย่วบอกว่าเขาไม่ได้จะเอาทุนตามฝันไปผลิตมือถือ แต่จะเอาไปทำ ‘ร้านขายของชำ’ ขอบเขตธุรกิจจึงต่างกัน
ก็เหมือนกับคนที่ผลิตตู้เย็นขายแล้วบอกว่าจะเอาทุนตามฝันไปทำเครื่องปรับอากาศ ถึงจะดูเหมือนเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเหมือนกันแต่จริงๆ แล้วแตกต่างกันมาก
ดังนั้นจึงตรงตามกฎทุกอย่าง!
การกระทำของฉางโหย่วเป็นเหมือนจักจั่นลอกคราบ หลังจากเปิดบริษัทใหม่เพื่อสร้างระบบนิเวศอัจฉริยะแล้ว เขาก็ยังรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ OTTO ไว้ได้และยังมีอิทธิพลต่อ OTTO อยู่ โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์จากเดิมเลย
จางหยวนตะลึงงัน
ทำไมตอนนั้นฉันคิดไม่ได้แบบนี้
ถ้ารู้แบบนี้ฉันก็คงเปิดกิจการที่เกี่ยวกับร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูและแบรนด์ ROF ไปแล้ว ทำแบบนั้นเซี่ยวเผิงก็จะเป็นผู้จัดการร้านอินเทอร์เน็ตแค่ในนาม แต่ฉันยังบริหารร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูกับเซี่ยวเผิงต่อไปได้ในคราบ ‘การร่วมมือ’!
แต่มานึกเสียใจตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะยังไงสโมสร DGE กับแผนกอีสปอร์ตของเขาก็มาถูกทางแล้ว
เผยเชียนงง
เห็นได้ชัดว่าการกระทำของฉางโหย่วนั้นสวนทางกับความตั้งใจดั้งเดิมในการก่อตั้งระบบคัดเลือกพนักงานดีเด่นแต่ก็ถือว่าอยู่ในกฎ บอกได้แค่ว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่
เขาต้องอุดช่องโหว่นี้แต่ก็ต้องทำหลังจากนี้ ทำตอนนี้เลยไม่ได้
อีกอย่างพอเผยเชียนมาคิดดู พอฉางโหย่วลงจากตำแหน่งหัวหน้า ยังไงก็ส่งผลกระทบในทางลบกับการค้นคว้าและพัฒนามือถือของ OTTO อยู่ดี
เผยเชียนได้แต่พยักหน้าและตอบออกไป “โอเค ถือว่ามีช่องโหว่ในกฎ ในเมื่อพบแล้วรอบหน้าจะไม่มีอีก
“คนที่ได้รับตำแหน่งพนักงานดีเด่นครั้งต่อๆ ไปเลิกคิดจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ไปได้เลย!”
เขาหันไปหาเหลียงชิงฟาน “ตัดสินใจได้รึยังว่าอยากไปไหน คุณพาเพื่อนร่วมงานไปร่วมทิปและเป็นไกด์นำทางได้หนึ่งคน”
เหลียงชิงฟานยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย “คือ… ผมไม่เคยคิดไว้เลยว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน
“ส่วนเรื่องเลือกเพื่อนร่วมงานไปเป็นไกด์นำทาง… ผมคิดคนที่เหมาะสมไม่ออกเลย มีใครแนะนำไหมครับ”
ทุกคนหันมองหน้ากันแล้วเห็นคำตอบเดียวกันในสายตาของแต่ละคน
“ก็ต้องเป็นพี่เปาอยู่แล้ว!”
“ใช่ๆ พี่เปาประสบการณ์สูงมาก เหมาะที่สุดแล้วที่จะให้เป็นไปไกด์นำทาง”
“งานพี่เปาก็ไม่ได้รับหน้าที่สำคัญมาก ถึงจะไปเที่ยวก็ไม่กระทบกับความคืบหน้างาน”
“อย่างที่คิดไว้เลย มีคำตอบมาตรฐานได้แค่คำตอบเดียว”
“นักเดินทาง Bao Xu ออกเดินทางได้!”
ทุกคนต่างเฮฮากันเต็มที่
เปาซวี่ที่ซ่อนตัวจากทุกคนอยู่ที่มุมหนึ่งตัวแข็งทื่อราวกับโดนฟ้าผ่าเข้าที่กลางหัว
ถึงจะเตรียมใจเอาไว้แล้วแต่เขาก็ยังคิดว่าการยอมรับชะตากรรมอันโหดร้ายนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก
เปาซวี่หันไปมองเหลียงชิงฟานด้วยสายตาสิ้นหวัง
เหลียงชิงฟานรู้สึกกระดากใจเล็กน้อยจึงหันไปพูดกับบอสเผย “อ้อ ผมเคยได้ยินเรื่องนักเดินทาง Bao Xu มานานแล้ว แต่… เราก็ไม่ได้สนิทกันเลย ไม่เคยคุยกันมาก่อน เห็นว่าพี่เขาไปต่างประเทศมาเกือบสองเดือนแล้ว น่าจะเหนื่อยจากการเดินทาง ผมว่าถ้าขอให้พี่เขาไปเป็นไกด์ให้อีกคงจะไม่ดีเท่าไหร่…”
ใบหน้าสิ้นหวังของเปาซวี่มีประกายแห่งความหวังขึ้นมาเมื่อได้ยินแบบนั้น
พระเจ้าช่วย นี่ฉันหูฝาดไปรึเปล่า
ยังมีคนบนโลกนี้ที่ยังเห็นใจฉันอยู่จริงๆ เขาคิดว่าฉันไปเที่ยวมาสองเดือนแล้วน่าจะเหนื่อย ก็เลยอยากให้พักอยู่ที่นี่!
เยี่ยมเลย!
ในที่สุดก็เจอเพื่อนร่วมงานที่มีสตินึกคิดสักที!
เปาซวี่ซึ้งใจจนน้ำตาแทบไหล เขาอยากปิดกระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่ขึ้นมาทันทีโuเวลกูดอฺทคอม
ตอนนั้นเองเหลียงชิงฟานก็มองตามสายตาทุกคนไปยังเปาซวี่
“อ้าวพี่เปาจัดกระเป๋าแล้วเหรอครับ
“พี่อยากไปขนาดนั้นเลยเหรอ
“ถ้าพี่เปาอยากไปก็โอเคเลยครับ ผมเลือกพี่เปา!”
ตอนแรกเหลียงชิงฟานรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าเปาซวี่เก็บกระเป๋าเตรียมไปเที่ยวด้วยแล้วจะให้ไม่พาไปด้วยก็คงถือว่าขาด EQ ไม่น้อย ทำแบบนั้นจะไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าอีกฝ่ายเหรอ
อีกอย่างเขาก็เคยได้ยินมานานแล้วว่านักเดินทาง Bao Xu เชี่ยวชาญเรื่องการท่องเที่ยวมาก เข้าเกณฑ์ทุกอย่าง เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับการพาไปเที่ยวด้วยสุดๆ
ตอนแรกเหลียงชิงฟานก็เกรงใจ แต่พอเห็นเปาซวี่ตรงไปตรงมาแบบนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเกรงใจจนเกินไป
แถมเมื่อกี้เหมือนจะเห็นพี่เปาแอบยิ้มอยู่หน่อยๆ ซึ่งก็ช่วยยืนยันสิ่งที่เหลียงชิงฟานคิด
รอยยิ้มของเปาซวี่แข็งทื่อ เขารีบโบกมือ “ไม่ๆๆ เข้าใจผิดแล้ว! ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น เลือกคนอื่นเถอะ!”
เหลียงชิงฟานคิดว่าเปาซวี่น่าจะเกรงใจ “พี่เปา ผมไม่มีตัวเลือกเหมาะๆ อยู่แล้วตั้งแต่แรก ในเมื่อทุกคนแนะนำพี่ พี่ก็ไปด้วยกันกับผมนี่แหละ!
“ไม่ต้องมัวเกรงใจแล้วครับ ดูสิว่าพี่ทำหน้าคาดหวังขนาดไหน!”
เปาซวี่โกรธจนแทบลมจับ
ทำหน้าคาดหวังงั้นเหรอ แกเอาตาไหนมอง!
ฉันกำลังโกรธจัดโว้ย!
เปาซวี่อยากจะแก้ต่างให้ตัวเองต่อ แต่เสียงคนรอบข้างก็กลบเสียงเขาไปอย่างรวดเร็ว
“บอสเหลียงเลือกถูกแล้ว!”
“อย่าปฏิเสธเลยพี่เปา จะมีใครรับหน้าที่นี้ได้อีก!”
“ใช่ๆ บอสเหลียงคือพนักงานที่บอสเผยไว้ใจ ถ้าให้คนอื่นดูแลบอสจะวางใจได้ยังไง พี่เปาต้องรับหน้าที่นี้เองเพื่อที่ทุกคนจะได้สบายใจ!”
ทุกคนโห่เชียร์กันอย่างครึกครื้น รู้สึกว่างานคัดเลือกพนักงานดีเด่นจบลงได้อย่างสมบูรณ์
งานคัดเลือกพนักงานดีเด่นก็ต้องจบที่พี่เปาไปทริปพักร้อนนี่แหละ!
เปาซวี่รู้สึกอึดอัดใจ เขามองเหลียงชิงฟานที่แสนกระตือรือร้นแล้วกัดฟันแน่น “ผมอยากไปอียิปต์! ผมอยากไปดูพีระมิดกลางทะเลทรายและมัมมี่ของฟาโรห์ ถ้าไม่กล้าไปก็หาคนอื่นไปด้วย! ถ้าไม่ใช่อียิปต์ผมไม่ไป!”
เขาเคยไปแอฟริกามาแล้ว พอนึกย้อนถึงประสบการณ์ที่เกรตริฟต์แวลลีย์กับทะเลทรายสะฮาราในแอฟริกาตะวันออก เปาซวี่ก็ไม่อยากสัมผัสประสบการณ์นั้นเป็นครั้งที่สอง
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเลือกที่ใกล้ๆ แต่มีความโหดร้ายทางธรรมชาติใกล้เคียงกัน
เลือกแบบนี้จะขู่ให้เหลียงชิงฟานกลัวได้รึเปล่านะ
เปาซวี่มองว่าเหลียงชิงฟานเป็นสถาปนิกที่ดูติ๋มๆ ไม่น่าจะทนเที่ยวในสภาพแวดล้อมโหดร้ายแบบนั้นได้
ทำให้ชัดเจนขนาดนี้แล้วอีกฝ่ายน่าจะยอมถอยใช่มั้ย
แต่เหลียงชิงฟานกลับดูแปลกใจและยิ่งคาดหวังมากขึ้น
“อียิปต์?
“เยี่ยมเลยครับ! ผมฝันอยากไปที่นั่นมาตลอด!
“ในฐานะสถาปนิกผมอยากไปดูพีระมิดใกล้ๆ มานานแล้ว น่าเสียดายที่ผมไม่มีเวลาและไม่มีคนไปเป็นเพื่อน
“ดีเลยที่พี่เปาเสนอขึ้นมาก่อน งั้นก็ไปอียิปต์กันครับ เดี๋ยวรีบไปเตรียมตัวแล้วออกเดินทางกันเลย!”
เปาซวี่มองเหลียงชิงฟานที่กำลังดีอกดีใจด้วยสายตางุนงง
เขาหันไปมองบอสเผย “ผม…”
เผยเชียนพยายามกลั้นหัวเราะ “โอเค ในเมื่อคุณเป็นคนเสนอและเหลียงชิงฟานก็อยากไป งั้นก็เอาเป็นที่อียิปต์นี่แหละ ไปดูพีระมิดกับมัมมี่ให้เต็มตาและสัมผัสบรรยากาศทั้งสองข้างแม่น้ำไนล์ให้เต็มที่ ถ่ายรูปถ่ายคลิปกลับมาด้วยล่ะ เผื่อในอนาคตจะได้ใช้เป็นข้อมูลพัฒนาเกม
“สรุปตามนี้! รีบไปขอวีซ่าเร่งด่วนแล้วเจอกันใหม่เดือนหน้า!
“โอเค การคัดเลือกพนักงานดีเด่นจบเท่านี้ ทุกคนกลับไปทำงานได้”
ทุกคนพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกระหว่างกลับออกไปด้วยความพึงพอใจ
เหลียงชิงฟานเดินไปหาเปาซวี่แล้วพูดขึ้นด้วยความคาดหวัง “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับพี่เปา!”
ไม่นานทุกคนก็กลับออกไปกันหมด คนที่ทำงานอยู่ชั้นนี้กลับไปที่โต๊ะตัวเองแล้วทำงานกันต่ออย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง
เปาซวี่มองกระเป๋าเดินทางตรงเท้าแล้วยืนเงียบๆ อยู่อย่างนั้นเหมือนเป็นรูปปั้นในออฟฟิศ
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดและไม่เข้าทีเลยจริงๆ