หลี่สือเดินเข้าห้องประชุมด้วยความผิดหวัง
แต่พอเข้าไปในห้องประชุมแล้วเห็นนักลงทุนคนอื่นๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนทันที
นักลงทุนคนอื่นๆ ทยอยเข้ามาทีละคน เฉินคังทั่วกับห่าวฉยงก็มาร่วมประชุมด้วย
ดูจากความคืบหน้าปัจจุบัน โฮสเทลเขย่าขวัญน่าจะพร้อมเปิดให้บริการเดือนหน้า หมายความว่าพวกเขาต้องสรุปแผนการโปรโมตสวนสนุกให้ได้เร็วที่สุด
เพราะยังไงก็มีหลายเรื่องให้ต้องเตรียมการก่อนจะเริ่มโปรโมตโฮสเทลเขย่าขวัญอย่างเป็นทางการ พวกเขาเองก็ต้องการเวลาในการจัดหาทรัพยากรต่างๆ
ที่นั่งตรงหัวโต๊ะประชุมว่างอยู่ แต่หลี่สือก็ไม่ได้นั่งลงตรงนั้น เขาไปนั่งที่นั่งเยื้องมาทางฝั่งซ้ายที่ว่างอยู่แทน
ชัดเจนว่าที่นั่งตรงหัวโต๊ะนั้นเว้นว่างไว้ให้บอสเผย
หลี่สือหันมองทุกคนแล้วพูดขึ้น “ทุกคน ผมมีข่าวดีกับข่าวร้ายจะมาบอก”
คนอื่นๆ “?”
หลี่สือพูดต่อ “ข่าวดีคือ บอสเผยเพิ่งจะแวะมาดูรอบๆ โฮสเทลเขย่าขวัญ บอสจงใจแอบมาดูลับๆ ซึ่งก็หมายความว่าบอสเผยให้ความสำคัญกับโปรเจ็กต์นี้ค่อนข้างสูง
“ข่าวร้ายคือ… บอสเผยบอกว่ามีงานต้องจัดการ เลยไม่ได้มาร่วมประชุมหาแนวทางการโปรโมตโฮสเทลเขย่าขวัญด้วย”
คนอื่นๆ “???”
ชัดเจนว่านักลงทุนส่วนใหญ่งุนงงกับการกระทำของบอสเผย
บอสเผย ถ้าไม่มาก็ไม่เป็น เราก็ไม่ได้หวังว่าคุณจะมา แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว แค่เดินไม่กี่ก้าวมาร่วมประชุม มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ
พอเห็นสีหน้างุนงงของทุกคน หลี่สือก็เคาะโต๊ะ
“ไม่มีใครรู้เลยเหรอว่าบอสเผยมีความคิดยังไง
“มันชัดเจนมากเลยนะ!
“บอสเผยแวะมาเช็กความคืบหน้าของโฮสเทลเขย่าขวัญ หมายความว่าโปรเจ็กต์นี้สำคัญสำหรับบอสมาก บอสแค่ไม่อยากออกนอกหน้ามากเกินไป
“ที่ไม่มาประชุมก็ชัดเจนว่าเพราะบอสอยากเห็นว่าเราจะจริงใจขนาดไหนในการโปรโมต!
“ถ้าพวกเราจริงใจมากพอ บอสเผยก็จะเห็นและตอบสนองกลับมาเอง!”
นักลงทุนคนอื่นๆ คิดตาม ก่อนจะเริ่มทยอยทำหน้าเข้าใจ
ฟังดูมีเหตุผล!
ก่อนหน้านี้บอสเผยก็มีทีท่าไม่สนใจโปรเจ็กต์เหมือนกัน แต่พอทุกคนเสนอร่วมลงทุนทำห้างและแบ่งกำไรครึ่งหนึ่งให้ บอสเผยก็จริงจังกับพวกเขามากขึ้นและช่วยออกแบบวงกตทองคำขึ้นมา
ดูเหมือนว่าเรื่องการโปรโมตก็น่าจะไม่ต่างกัน บอสเผยกำลังรอดูว่าพวกเขาจะจัดการยังไง!
พอมองแบบนี้ การกระทำของบอสเผยก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมา
เมื่อมั่นใจว่าทุกคนมีความคิดไปในทางเดียวกัน หลี่สือก็พูดขึ้น “โอเค ทุกคนมีไอเดียเรื่องการโปรโมตยังไงบ้าง ลองบอกมาให้หมดเลย ไม่ต้องปิดบัง”
เหล่านักลงทุนผลัดกันเสนอไอเดีย
“ผมว่าจะขึ้นโฆษณาตามป้ายรถบัสกับสถานีรถไฟในจิงโจว เราจัดให้มีบริการรถตู้รับส่งจากสถานีรถโดยสารสาธารณะที่ใกล้โฮสเทลเขย่าขวัญที่สุดได้”
“ฉันจ้างคนไปแจกใบปลิวตามห้างกับมหา’ลัยในจิงโจวได้ เด็กวัยรุ่นน่าจะสนใจสวนสนุกกันมากกว่า”
“ผมดูในส่วน…โฆษณาออนไลน์ไว้ แต่ก็ต้องมาคิดให้ละเอียดอีกทีว่าจะโฆษณายังไง ไม่งั้นก็การันตีผลลัพธ์ไม่ได้”
“บอสหลี่รู้จักบอสหวังที่ทำฉวนหมินรีวิวนี่ เราขอให้เขาจัดโปรโมชันตั๋วเข้าเล่นโฮสเทลเขย่าขวัญบนฉวนหมินรีวิวได้มั้ย”
ทุกคนรีบพูดทีละคนจนแผนโปรโมตครอบคลุมทุกด้านในจิงโจว
พวกเขาเคยชินกับการทำงานแบบนี้
เพราะยังไงพวกเขาต่างก็เคยขับเคี่ยวแย่งชิงกันว่าใครจะเป็นคนดูแลโปรเจ็กต์ไหนในช่วงแรก ตอนนั้นบอสหลี่เป็นคนเรียกสติพวกเขากลับมา
ตอนนี้ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเขาลงทุนกับโปรเจ็กต์นี้ไปมากทีเดียว ถ้าล่มขึ้นมาก็เจ๊งกันหมด แม้จะไม่ได้แย่ถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย แต่ก็ถือว่าเจ็บหนักทีเดียว
หลี่สือพยักหน้า “เดี๋ยวผมคุยกับบอสหวังเรื่องฉวนหมินรีวิวให้ ตอนนี้ปัญหาอยู่ตรงที่…การโปรโมตของพวกเราเหมือนจะเน้นแค่จิงโจว ไกลสุดก็ภายในมณฑลฮั่นตง
“แต่เราก็ทำอะไรมากไม่ได้อยู่ดี ถ้าจะพยายามครอบคลุมให้ได้ทั้งประเทศในคราวเดียวก็ดูจะเป็นก้าวที่ใหญ่ไปหน่อย”
ทุกคนรู้ดีว่าลูกค้าหลักๆ ของโฮสเทลเขย่าขวัญในช่วงแรกย่อมมาจากจิงโจว อย่างมากสุดก็น่าจะมาจากที่ต่างๆ ในมณฑลฮั่นตง
พวกเขาไม่สามารถคาดหวังให้นักเดินทางจากทั่วประเทศถ่อมาถึงจิงโจวเพียงเพื่อสัมผัสประสบการณ์สยองที่โฮสเทลเขย่าขวัญ
แถมการโฆษณาครอบคลุมทั้งประเทศก็ไม่รู้ต้องใช้เงินขนาดไหน
พวกเขาจะให้รายการวาไรตี้ดังๆ โปรโมตให้ก็ได้ หรือจะซื้อโฆษณาช่องดังที่ฉายทั่วประเทศก็ดี ไม่ก็ทุ่มเงินก้อนโตโปรโมตสวนสนุกตามเมืองอื่นๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน ความคุ้มค่าต่อราคาก็ดูต่ำมากทั้งนั้น
เพราะงั้นที่พวกเขาเสนอกันมาคือดีที่สุดที่สามารถทำได้ตอนนี้แล้ว
ต้องรอให้โฮสเทลเขย่าขวัญดังขึ้นมาและเป็นกระแสในจิงโจวก่อน พอชื่อเสียงเริ่มแพร่กระจายไป ตอนนั้นค่อยเริ่มโปรโมตทั่วประเทศ
หลี่สือหันไปหาเฉินคังทั่ว “น้องเฉิน บอสเผย…”
เฉินคังทั่วดูจะช่วยอะไรไม่ได้ “บอสหลี่ก็รู้ว่าบอสเผยเป็นคนยังไง ผมพูดอะไรไปก็ไม่มีทางส่งผลกระทบต่อแผนของบอส”
หลี่สือพยักหน้า “โอเคๆ พี่เข้าใจ พี่แค่จะพูดว่าเราต้องพยายามให้เต็มที่”
เฉินคังทั่ว “ได้เลยครับ”
หลี่สือมองแผนโปรโมตที่พวกเขาช่วยกันระดมความคิดแล้วก็รู้สึกไม่มั่นใจ
แต่พวกเขาก็ทำเต็มที่ได้เท่านี้จากศักยภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน
…
สตูดิโอโมชันแคปเจอร์แห่งหนึ่งในจิงโจว
จางจู่ถิงอธิบายบทให้กลุ่มนักแสดงโมชันแคปเจอร์ฟังเป็นภาษาอังกฤษ
นักแสดงเหล่านี้เคยรับบทตัวประกอบในวันพรุ่งนี้ที่สดใส จึงรู้จักจางจู่ถิงกันหมด ทุกคนฟังกันอย่างตั้งใจ
จางจู่ถิงไม่ได้ลงรายละเอียดทีละฉาก แต่เน้นอธิบายคอนเซ็ปต์ในภาพรวมของการแสดง
“ตามความเข้าใจของผม บอสเผยอยากให้เน้นรายละเอียดบนใบหน้าของนักแสดง แปลว่าบอสอยากให้ทุกคนเล่นใหญ่ ซึ่งก็คือทุกๆ อารมณ์จะต้องสื่อออกมาให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณต้องรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังแสดงละครเวทีอยู่
“เวลาเราแสดงสดบนเวที ผู้ชมจะนั่งห่างออกไปไกล ทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยๆ ทางสีหน้าได้ นักแสดงจึงต้องเล่นให้ใหญ่ทุกการเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มการสื่ออารมณ์
“คุณจะมองว่าเกมนี้เป็นหนังแบบที่ผู้ชมมีปฏิสัมพันธ์ได้ก็ได้ เพราะก็คล้ายกันในบางมุม การที่ตัวละครเน้นรายละเอียดบนใบหน้าและเล่นใหญ่มากๆ จะทำให้เกมเมอร์ไม่รู้สึกอิน ถึงจะลดทอนความสมจริงลง แต่สัญญะที่จะสื่อในเนื้อเรื่องและบทบาทจะเด่นชัดขึ้น ทำให้เกมเมอร์ขบคิด…
“ผมส่งเอกสารที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับตัวละครของพวกคุณและรายละเอียดบนสีหน้าที่ควรจะเน้นให้แล้ว พวกคุณต้องศึกษาลักษณะเฉพาะของตัวละครให้ละเอียดแล้วพยายามเล่นออกมาให้เว่อร์กว่าปกติให้ได้มากที่สุด เพื่อทำให้ตัวละครมีชีวิตขึ้นมา…”
นักแสดงพยักหน้าเป็นพักๆ ระหว่างที่ฟังโนเวลกูดอทคoม
ก่อนจางจู่ถิงมา ไม่มีใครมั่นใจเลยว่าควรจะแสดงบทบาทของตัวเองออกมายังไง ทุกคนใช้เทคนิคของตัวเอง ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็เละเทะมาก ไม่ตรงกับที่หูเสี่ยนปินคิดเอาไว้
แต่พอได้ฟังคำอธิบายและการวิเคราะห์จากจางจู่ถิง ทุกคนก็เข้าใจบทบาทของตัวเองมากขึ้น ตอนนี้พวกเขายึดถือแนวทางการแสดงแบบเดียวกันแล้ว
เห็นแบบนั้น หูเสี่ยนปินก็รู้สึกปลาบปลื้มจึงรีบพูดขึ้น “โอเค พยายามเต็มที่นะทุกคน เราจะถ่ายซีนที่ยังไม่พอใจกันอีกรอบ!
“เราต้องทำให้ได้ตามที่บอสเผยวางเอาไว้!”
…
“ฮัดชิ้ว!”
เผยเชียนที่นอนอาบแดดอยู่บนโซฟาจู่ๆ ก็จาม
“ไอ้บอสหลี่ต้องนินทาฉันอยู่แน่เลย…”
…
…
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน
ในคาเฟ่แห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัยฮั่นตง บทเรียนที่สามของเหออันกับ ‘หม่าหยาง’ เริ่มต้นขึ้น
การโปรโมตโฮสเทลเขย่าขวัญเหมือนจะเริ่มขึ้นแล้ว ระหว่างทางมาคาเฟ่ เผยเชียนเห็นโฆษณาโฮสเทลเขย่าขวัญที่ป้ายรถเมล์
แต่ตอนนี้เผยเชียนยังไม่มีแนวทางดีๆ ในการจัดการกับปัญหานี้ จึงได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นและหวังว่าแคมเปญโปรโมตจะไม่ได้ผลดีเกินไป
เหออันยื่นเอกสารการเรียนวันนี้ให้ ‘หม่าหยาง’ เขาจิบกาแฟ เตรียมตัวเริ่มบทเรียน
เผยเชียนยิ้มแฉ่ง พยายามทำตัวให้ดูเหมือนนักเรียนผู้กระหายความรู้ แต่มือที่สั่นไม่หยุดก็ทรยศตัวเอง
ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ได้พูดเรื่องแผนของเถิงต๋า!
อย่างน้อยก็บอกได้จากเอกสารการเรียน
หัวข้อของเอกสารการเรียนคือ ‘บทเรียนที่สามของการออกแบบที่สมบูรณ์แบบ: ควบคุมอคติและการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว’
เผยเชียนพลิกเนื้อหาเอกสารการสอนดูเพื่อกันไว้ก่อน แล้วพบว่าเนื้อหาอ้างอิงจากหนึ่งในเกมเก่าซึ่งประสบความสำเร็จของเหออันที่ชื่อ ‘เจ้าของที่ดิน’
ถ้าเป็นแต่ก่อน เห็นชื่อนี้เผยเชียนคงไม่รู้ว่าเป็นเกมอะไร แต่เขาเคยทำการบ้านไว้และรู้จักเกมต่างๆ ที่เคยประสบความสำเร็จของเหออัน
‘เกมเจ้าของที่ดิน’ ถ้าอิงจากความทรงจำชาติที่แล้วของเผยเชียนก็คือ ‘เกมเศรษฐี’
ถึงชื่อและรูปลักษณ์จะเปลี่ยนไป แต่รูปแบบการเล่นยังเหมือนเดิม
เผยเชียนอดตั้งความหวังกับบทเรียนนี้ขึ้นมาไม่ได้
เหออันเริ่มพูด “คลาสวันนี้ เราจะไม่พูดเรื่องแผนงานของเถิงต๋าอีก เพราะในหัวข้อนี้ ไม่มีอะไรที่เราเรียนรู้จากเถิงต๋าได้”
เผยเชียนแปลกใจ “เอ๊ะ หมายความว่ายังไงเหรอครับอาจารย์เหอ”
เหออันยิ้ม “วันนี้ผมอยากพูดเรื่องการควบคุมอคติและการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นนิยาย หนัง หรือเกม การจะเป็นผู้ส่งสารที่สื่อเนื้อหาต่างๆ ออกไปได้นั้น จะเกิดขึ้นเมื่อผู้นั้นมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสื่อสารออกไป
“อธิบายให้เข้าใจคือ อะไรก็ตามที่คนคนหนึ่งต้องการจะสื่อสารถือเป็น ‘ความคิดเห็นส่วนตัว’ เพราะเนื้อหาต่างๆ มาจากคลังข้อมูลในหัวของคนผู้นั้น และไม่จำเป็นว่าจะต้องตรงใจคนอื่นๆ
“ถ้าเนื้อหานั้นตรงใจคนส่วนใหญ่ ก็สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่สื่อสารออกไปนั้นกระตุ้นให้เกิดความเห็นใจ เปิดเผยความจริง แฝงไปด้วยปรัชญา และกระตุกต่อมให้ชวนคิด
“กลับกันถ้าเนื้อหานั้นมีการชักจูงไปในทางที่ผิดและเป็นโทษ ก็อาจจะบอกได้ว่าสิ่งที่สื่อสารออกไปมีอคติส่วนตัว
“แต่ถ้าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไม่ใส่ความคิดส่วนตัวเข้าไปก็จะไม่สามารถเป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหาได้ เพราะเนื้อหาที่สื่อสารออกไปไม่มีความคิดของตัวเองใส่เข้าไปเลย กลายเป็นเนื้อหากลวงๆ
“เพราะฉะนั้นถ้าอยากเป็นนักสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จก็ต้องหัดควบคุมเรื่องนี้ ใส่ความเห็นส่วนตัวเข้ามาเยอะเกินไปก็ไม่ได้ แต่จะใส่น้อยก็ไม่ได้อีก เราไม่สามารถสุดโต่งเกินไปหรือคลุมเครือไม่ชัดเจนเกินไปได้
“ส่วนทำไมเราถึงเรียนจากแผนงานของเถิงต๋าไม่ได้…
“นั่นก็เพราะเกมและหนังของเถิงต๋านั้นก้าวข้ามขั้นนี้ไปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะยัดความคิดอะไรเข้ามา ทุกคนก็พร้อมจะเปิดใจยอมรับ เราจึงเรียนจากพวกเขาไม่ได้”
เผยเชียน “…”
เขาไม่รู้เลยว่าควรจะดีใจหรือเศร้าใจดี