วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน
เผยเชียนตื่นเองตอนเก้าโมงเช้า
ประสบการณ์การเล่นเกมกับหร่วนกวางเจี่ยนตอนวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้เขาหมดกำลังใจไปสองวันเต็ม เขาอยากหมกตัวอยู่แต่กับบ้านไม่อยากไปทำงานเลย
หลังจากลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าแล้ว เผยเชียนก็หยิบเค้กชิ้นเล็กๆ สองชิ้นและนมกล่องหนึ่งออกมาจากตู้เย็น เขาตั้งใจจะกินมันแล้วไปจัดการเกมที่เล่นค้างไว้เมื่อวานต่อ
เพราะห้องนี้เป็นสไตล์มินิมอลที่มีชื่อว่า ‘ผนังว่างสี่ด้าน’ เผยเชียนเลยได้แต่ไปนั่งกินตรงโต๊ะกาแฟเล็กๆ ข้างระเบียง
โต๊ะกาแฟเล็กๆ นี้เป็นเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้นที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ข้างๆ กันยังมีเก้าอี้ตัวเล็กๆ อีกสองตัว ที่จุดประสงค์หลักมีไว้ใช้นั่งชมวิวภายนอกระหว่างจิบชา
เค้กเล็กๆ สองชิ้นถูกจัดการเกลี้ยงในเวลาไม่นาน เผยเชียนโยนขยะลงในถังแล้วปล่อยมันไว้อย่างนั้น เพราะยังไงซะก็ต้องมีคนเข้ามาทำความสะอาดอยู่แล้ว
เสียงออดดังขึ้นทันทีที่เผยเชียนทิ้งร่างลงบนโซฟาและหยิบจอยเกมขึ้นมา
“หืม” เผยเชียนผงะไปก่อนลุกไปเปิดประตู
นิติบุคคลยืนอยู่หน้าประตู ในมือถือกล่องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสไว้ด้วย “บอสเผยครับ นี่เป็นพัสดุที่ส่งมาจากบริษัทลงทุนหยวนเมิ่ง ให้ผมยกเข้าไปให้มั้ยครับ”
นิติบุคคลคนนี้มีชื่อว่าซ่งไข่ เขาอายุ 26 ปี เคยทำงานเป็นนิติบุคคลที่บริษัทจัดหาบุคลากรมาก่อน เป็นคนที่เลขาซินเลือกมาและจนถึงตอนนี้ก็ทำงานได้ไม่ขาดตกบกพร่อง
แน่นอนว่าที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำมากนัก
พอย้ายมาทำงานที่บ้านจอมเฉื่อย ซ่งไข่ก็เกิดความสงสัยในชีวิตขึ้นมาทันที
เผยเชียนมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าเขาจ้างซ่งไข่มาดูแลบ้านจอมเฉื่อยแค่คนเดียว งานของอีกฝ่ายต้องยุ่งมากแน่ๆ แม้โปรเจ็กต์นี้จะไม่ได้รับความสนใจ แต่ยังไงก็ต้องมีคนจัดการเรื่องต่างๆ รวมถึงทำความสะอาดอยู่ดี
ต่อให้มีผู้พักอาศัยอยู่แค่คนเดียวทั้งตึก ก็ต้องจ้างคนทำความสะอาดอย่างน้อยหนึ่งคน
ถ้ามีโปรเจ็กต์ที่อยู่อาศัยเพิ่มอีก จะให้เหลียงชิงฟานจัดการอะไรต่างๆ คนเดียวก็คงไม่ได้
ยังไงซะเขาก็เป็นสถาปนิก มีหน้าที่รับผิดชอบดีไซน์แบบแปลนต่างๆ รวมถึงตรวจดูการก่อสร้าง
ดังนั้นเผยเชียนจึงคิดว่าจะจับตาดูซ่งไข่ไปซักสองสามวัน ถ้าเขารู้สึกว่าคนคนนี้ใช้ได้ ก็จะตั้งให้เป็นผู้ดูแลบ้านจอมเฉื่อย เพื่อเป็นแขนขาให้เหลียงชิงฟาน
“ช่วยแกะเหลือแต่ของข้างในด้วยครับ” เผยเชียนเอ่ย
ซ่งไข่แกะพัสดุแล้วหยิบกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำออกมา จากนั้นก็ส่งให้เผยเชียนถึงมือ
เผยเชียนยื่นมือไปรับแล้วพบว่าสิ่งนี้หนักกว่าที่คิด แต่ก็ไม่ได้ถึงกับย้ายลำบากอะไร
เจ้านี่คือเครื่องทะเลาะอัตโนมัติเวอร์ชันปรับปรุงแล้วซึ่งจางวั่งจัดส่งมาถึงที่พักของเผยเชียนโดยตรง
ซ่งไข่หิ้วกล่องเปล่าออกไปพร้อมกับปิดประตูอย่างรู้งาน
เผยเชียนอุ้มเครื่องทะเลาะอัตโนมัติก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นอย่างจนปัญญา
ไม่มีที่วางเลยโว้ย!
เจ้าสิ่งนี้ไม่ใหญ่ไม่เล็ก มันใหญ่เกินกว่าจะวางไว้บนชั้นในฐานะของตกแต่ง… แต่ก็เล็กเกินไปที่จะวางไว้ตรงมุมห้องหรือข้างชั้นวางทีวี
พูดอีกอย่างก็คือขนาดที่อิหลักอิเหลื่อของมันทำให้เผยเชียนพอใจมาก
ในที่สุดเผยเชียนก็ตัดสินใจวางมันบนโต๊ะกาแฟหลังจากมองสำรวจไปรอบๆ แล้ว
วางตรงนี้ก็ดูเหมาะแบบแปลกๆ ตอนนั่งบนเก้าอี้ก็สามารถเอื้อมมือไปเล่นได้ และกลไกในการ ‘ทะเลาะ’ ก็ใช้งานได้ราบรื่นทีเดียว
“เยี่ยมมากจางวั่ง ฉันจะเชื่อใจนายอีกครั้งแล้วกัน ถ้านายทำโปรเจ็กต์นี้ขาดทุนได้ ฉันจะลงทุนกับโปรเจ็กต์อื่นๆ ของนาย”
แน่นอนว่าระบบมีข้อจำกัดเรื่องโปรเจ็กต์ที่ยังไม่วางจำหน่าย ระบบไม่ยอมให้ทำโปรเจ็กต์ใหม่ๆ เรื่อยเปื่อยถ้ายังมีโปรเจ็กต์ค้างอยู่
แต่การผลิตสต๊อกไว้สองถึงสามหมื่นเครื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา
หมายความว่าถ้าโปรเจ็กต์เป็นไปตามที่เผยเชียนคาดไว้ เครื่องทะเลาะอัตโนมัติขายไม่ออก สต๊อกที่ค้างไว้สองถึงสามหมื่นเครื่องก็จะทำให้เผยเชียนผลาญเงินไปได้หลายล้านหยวน
เผยเชียนเริ่มเช็กเครื่องทะเลาะอัตโนมัติที่เขาตั้งความหวังไว้สูง
เครื่องทะเลาะอัตโนมัติตัวจริงมีขนาดใหญ่กว่าเครื่องตัวอย่างที่จางวั่งทำหลายเท่า ตัวเครื่องเป็นสีดำด้านแต่ขอบเป็นสีทอง ดูเรียบง่ายแต่ก็ให้ความรู้สึกหรูหรา
เผยเชียนเริ่ม ‘ทะเลาะ’ ระลอกแรก
เครื่องทะเลาะอัตโนมัติจะดันสวิตช์กลับไปอยู่ในตำแหน่งแรกเริ่มทุกครั้งที่ถูกดันไปอีกทาง
ถ้าสวิตช์ถูกดันหลายๆ อัน เครื่องทะเลาะอัตโนมัติจะดันสวิตช์กลับตามลำดับเพื่อให้อยู่ในตำแหน่งเดิม
ตัวนับจำนวนอัตโนมัติจากโครงสร้างกลไกจะปรากฏขึ้น ทันทีที่สวิตช์ถูกดันกลับไปยังตำแหน่งเดิม ‘ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนผู้เล่นดันสวิตช์’ ก็จะหยุดลงและหายไป กลายเป็นแค่กล่องสีดำล้วนๆ เหมือนเดิม
นอกจากนี้เผยเชียนยังสังเกตด้วยว่าวัสดุภายในกล่องถูกปรับปรุงใหม่ แท่งเหล็กทรงตัว Y กลายเป็นสีทอง และรูปทรงของมันก็ดูเหมือนจะถูกออกแบบใหม่ให้ประณีตยิ่งกว่าเดิม
นั่นเพราะทุนของเจ้าเครื่องนี้เพิ่มขึ้นจากสองร้อยเป็นสี่ร้อย ดังนั้นเงินทั้งหมดจึงไปลงกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้
เผยเชียนเล่นอยู่ประมาณสองนาทีก็หมดความสนใจ
ใครจะอยากซื้อเครื่องเห่ยๆ พรรค์นี้ในราคา 488 หยวนกัน ต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ!
ประเด็นแรกคือ เจ้านี่ใช้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้เลย
ประเด็นที่สองมันมีสีดำสนิทล้อมขอบทอง ต่อให้ผิวเป็นแบบด้านแต่หลายคนคงไม่ซื้อมาใช้เป็นของตกแต่ง ในเมื่อมีอย่างอื่นที่ดูดีกว่าในราคาเท่ากัน
เผยเชียนพอใจมากและรีบโทรไปหาเฮ่อเต๋อเซิ่งทันที
“ผมได้เครื่องทะเลาะอัตโนมัติมาแล้ว ดูเจ๋งดี รีบจ่ายเงินเพื่อผลิตทันทีเลย! หืม… ถ้าสั่งเยอะจะถูกกว่าเหรอ ถ้างั้นล็อตแรกก็สต๊อกของไว้ซักสองหมื่นชิ้นละกัน!”
ผลิตล็อตแรกสองหมื่นชิ้นแล้วทิ้งให้นอนเล่นอยู่ในคลัง เงินแปดล้านหยวนหายวับไปในพริบตา
แน่นอนว่าเผยเชียนวางแผนจะสต๊อกของเพิ่มถ้าล็อตแรกขายไม่ดี แต่จำนวนที่จะผลิตเพิ่มก็ต้องขึ้นอยู่กับระบบ
แต่ไม่ว่ายังไงเผยเชียนก็ตั้งความหวังกับเครื่องทะเลาะอัตโนมัติของจางวั่งไว้สูงสุดๆ!
…
วันที่ 7 มิถุนายน เวลาอาหารเย็น
ครัวส่วนตัวหมิงหยุน пᴏveʟɢᴜ.cᴏᴍ
‘ครัวส่วนตัวหมิงหยุน’ คือชื่อที่พนักงานเถิงต๋าใช้เรียกกันภายใน แต่คนส่วนใหญ่เรียกที่นี่ว่าภัตตาคารไร้ชื่อซึ่งโด่งดังขึ้นมาเพราะคนหาชื่อของภัตตาคารนี้บนอินเทอร์เน็ตไม่เจอ
หญิงสาวร่างสูงผมบลอนด์สองคนมาถึงทางเข้าวิลล่า
“เอเลน่า ฉันไม่คิดเลยว่าที่นี่มันจะไกลขนาดนี้ ถ้ารู้ก่อนละก็ฉันต้องไม่มาเป็นเพื่อนเธอแน่ๆ”
“ฟังนะเจสซิก้า เพื่อนสนิทชาวจีนของฉันจองร้านนี้ให้เมื่อสองเดือนก่อน ฉันเองก็เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ไว้ลองแล้วไม่ถูกใจเธอค่อยบ่นได้มั้ยอะ”
“โอเค้ แต่ถ้าห่วยแตกฉันวีนแน่”
“แน่สิ ฉันก็ไม่ปล่อยหรอก”
ทั้งสองคนสนทนากันด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ได้ดังและไม่ได้เบาขณะเดินเข้ามาข้างใน
บริกรที่อยู่ตรงโถงทางเข้าสังเกตเห็นคนทั้งคู่ จึงเดินมารับและกล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว “สวัสดีครับ คุณเอเลน่าและคุณเจสซิก้าใช่มั้ยครับ”
ระบบการจองมีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับครัวส่วนตัวหมิงหยุน
ข้อเสียคือคนที่อยากมาลองกินต้องจองล่วงหน้าสองเดือน พวกเขาต้องรอนานมากๆ เพื่ออาหารหนึ่งมื้อ
แต่จุดนี้ก็มีข้อดีเช่นกัน ตัวอย่างเช่น จำนวนแขกที่มากินที่ร้านนั้นตายตัว ดังนั้นครัวส่วนตัวหมิงหยุนจึงไม่หนาแน่นเกินไป ลูกค้าทุกโต๊ะมีความเป็นส่วนตัว ในขณะเดียวกันบริกรก็สามารถเตรียมตัวดูแลแขกแต่ละโต๊ะล่วงหน้าได้
ครั้งนี้หลินชั่นหรงเตรียมบริกรซึ่งอดีตเคยเป็นล่ามแปลพร้อมชื่อดังของเมืองจิงโจวมารับรองทั้งสองคนโดยเฉพาะ
ชายหนุ่มคนนี้มีชื่อว่าเจี่ยนั่ว ชื่ออังกฤษคือลูคัสและเคยทำงานเป็นล่ามแปลพร้อมมาหลายปี เขามีชื่อเสียงในเมืองจิงโจวแต่ค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับอนาคตตัวเอง ล่ามแปลพร้อมได้เงินเดือนสูงก็จริงแต่งานก็หนักหนาไม่ใช่น้อย เขาเลยคิดว่าจะเปลี่ยนอาชีพ
หลินชั่นหรงเสนอเงินให้ชายหนุ่มคนนี้สี่หมื่นหยวนต่อเดือน เขามีหน้าที่รับรองเฉพาะแขกต่างชาติซึ่งมากินอาหารที่ร้าน เดือนหนึ่งรับรองแขกมากที่สุดแปดโต๊ะ และถ้าต้องทำงานล่วงเวลาก็มีจ่ายเพิ่มให้
เงินที่เสนอให้อาจฟังดูสูง แต่เมื่อเทียบกับงานล่ามแปลพร้อมของเจี่ยนั่วแล้วก็ไม่ได้จัดว่าสูงอะไร
แต่ก่อนงานหลักๆ ของเจี่ยนั่วคือการเป็นล่ามให้บริษัทต่างชาติ ค่าจ้างมาตรฐานของเขาแต่ละวันตกประมาณแปดพันหยวน แต่ก็คำนวณตามเวลาทำงานแปดชั่วโมงต่อวัน ซึ่งแปลว่าเขาจะได้เงินประมาณสี่ถึงห้าพันหยวนถ้าเป็นการประชุมสี่ชั่วโมง
ยังไงซะตอนนี้ก็เป็นค.ศ.2011 ค่าจ้างจะเพิ่มมากกว่านี้สองสามปีให้หลัง
คนที่ไม่เข้าใจจะคำนวณเงินเดือนของเจี่ยนั่วตามวันทำงาน 22 วัน ซึ่งเท่ากับว่ารายได้ของเขาจะตกที่หนึ่งแสนหยวนต่อเดือน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น
ล่ามแปลพร้อมเป็นงานที่หนักมาก แถมยังต้องเตรียมตัวไม่น้อยสำหรับการประชุมทางธุรกิจขนาดใหญ่ พวกเขาอาจต้องเตรียมตัวล่วงหน้าหนึ่งหรือสองสัปดาห์ซึ่งผลาญทั้งพลังกายและเวลา งานนี้จึงไม่ดีต่อสุขภาพสุดๆ
เงินเดือนต่อชั่วโมงของเจี่ยนั่วอาจดูสูง แต่รายได้รวมต่อปีของเขาอยู่ที่ประมาณสี่ถึงห้าแสนหยวนเท่านั้น
ดังนั้นเจี่ยนั่วจึงรับข้อเสนอของหลินชั่นหรง ด้านหนึ่งเขาจะมีเงินเดือนประจำที่สม่ำเสมอ เขาสามารถได้เงินสี่หมื่นหยวนขณะนอนเล่นอยู่กับบ้านตอนไม่ต้องออกมารับรองแขก และถ้าแขกมีเกินแปดโต๊ะต่อเดือนเขาก็จะได้เงินพิเศษตามราคามาตรฐานซึ่งไม่ถือว่าเสียเปรียบแต่อย่างใด
อีกอย่างหลินชั่นหรงมองว่าการมีมืออาชีพอยู่ในร้านนั้นเป็นสิ่งจำเป็น
มันอาจเป็นการเสียเปล่าถ้าไม่มีแขกต่างชาติจองมากินที่ครัวส่วนตัวหมิงหยุน แต่ในฐานะบริกรของที่นี่ เจี่ยนั่วก็ต้องเรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการเสิร์ฟอาหาร วัตถุดิบ รายละเอียดของอาหารแต่ละจานรวมถึงต้องเข้าคอร์สฝึกอบรบพิเศษอย่างการฝึกบุคลิกภาพ การฝึกวิธีพูด การแสดงออกและอื่นๆ
สำหรับหลินชั่นหรงการจ่ายเงินเดือนสี่หมื่นหยวนทุกเดือนถือเป็นเรื่องคุ้มค่า
อีกอย่างคุณภาพของการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษย่อมต่างแตกกันมาก
การลิ้มลองอาหารจุดสำคัญอยู่ที่สีสัน กลิ่น และรสชาติ ชื่ออาหารก็ควรฟังดูรุ่มรวยที่สุดเท่าที่ทำได้ ดังนั้นการแปลความหมายออกมาทื่อๆ กับการพยายามสรรหาคำที่สละสลวยจึงให้ความรู้สึกแตกต่างกัน
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเจสซิก้าทันทีที่ได้ยินถ้อยคำภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่วและใบหน้าอันหล่อเหลาของบริกร
พูดได้คำเดียวว่าคนหน้าตาดีชนะทุกแคมเปญ…
เจี่ยนั่วพาคนทั้งสองไปยังห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุด โต๊ะเก้าอี้และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารถูกจัดเตรียมไว้สำหรับแขกสองคนเรียบร้อยแล้ว การประดับตกแต่งในห้องส่วนตัวก็ได้รับการปรับเปลี่ยนเช่นกัน
อาหารถูกระบุมาล่วงหน้าแล้ว บนโต๊ะจึงไม่มีเมนู
วัตถุดิบส่วนใหญ่มีความพิเศษ และอาหารบางจานก็ต้องผ่านกรรมวิธีมากกว่าสิบขั้นตอน ดังนั้นจึงไม่สามารถสั่งหลังมานั่งที่โต๊ะได้
เอเลน่ายิ้มและเอ่ยขึ้น “ลูคัสคะ เพื่อนที่จองโต๊ะให้ฉันบอกว่าเขาสั่งอาหารที่ซับซ้อนและมีเอกลักษณ์ที่สุดให้สองจาน และยังมีอาหารจานใหม่ประจำเดือนนี้ด้วย หวังว่าเขาคงไม่ได้แค่พูดโม้ไปอย่างนั้นนะคะ
“ความจริงเจสซิก้าเพื่อนฉันตั้งแง่กับอาหารจีนมาตลอด ฉันหวังว่าพวกคุณจะล้างอคติของเธอได้ในวันนี้นะคะ”