“แล้วพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจพ่ายแพ้ให้กับใคร?” เย่หวูเฉินถาม แม้ว่าเขาจะรู้คำตอบอยู่แล้วตั้งแต่สามปีก่อน ทว่าเขายังคงอยากได้ยินอีกครั้ง ยิ่งมีรายละเอียดมากยิ่งดี
“หลังจากนั้น…. เล่าลือกันว่าในยุคโกลาหล จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือสร้างกฎที่โหดร้ายต่อทวีปเทวะ ชาวทวีปเทวะไม่อาจลงมายังทวีปเทียนเฉินได้ตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้นจะถูกคำสาปอันน่าสะพรึง เมื่อใดมีปีศาจรุกรานทวีปเทียนเฉิน ชาวทวีปเทวะจะต้องมาช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นทั่วทวีปเทวะจะต้องคำสาป ดังนั้น หลังจากที่ปีศาจรุกรานทวีปเทียนเฉินได้เพียงไม่นาน ทวีปเทวะก็ส่งคนมาช่วยทวีปเทียนเฉิน แม้ว่าเวลานั้นทวีปเทวะจะส่งมาช่วยเพียงแค่สองคน แต่สองคนนั้นมีสถานะสูงยิ่งในทวีปเทวะ พวกนางคือสองธิดาแห่งองค์เทพจักรพรรดิ! คนหนึ่งมีปีกขาวดุจเทพธิดา เรือนผมเป็นสีขาวทั้งศีรษะ สวมใส่ชุดนางฟ้าสีขาว มีรัศมีสีขาวล้อมรอบกาย อีกคนมีปีกสีดำดุจปีศาจ เรือนผมเป็นสีดำขลับ สวมอาภรณ์สีดำ ทั่วร่างล้อมรอบด้วยรัศมีแสงดำ พวกนางทั้งสองหนึ่งดำหนึ่งขาว ได้ช่วยชีวิตปู่ของปู่ข้าจากน้ำมือปีศาจ พวกนางถูกเรียกว่าเทพธิดาปีกขาวและเทพธิดาปีกดำ ด้วยปู่ของปู่ข้าถูกพวกนางช่วยไว้ในครานั้น ทั้งทวีปเทียนเฉินเขาจึงเป็นผู้เดียวที่ทราบชื่อของพวกนางรวมทั้งสถานะ”
“หลังจากนั้น พวกนางติดตามกลิ่นอายของพวกปีศาจ ไล่กำจัดพวกมันจากทวีปเทียนเฉิน แม้พวกนางจะมีกันเพียงสองคน แต่ก็คู่ควรกับเป็นธิดาขององค์เทพจักรพรรดิ ด้วยพลังแกร่งกล้าไร้ที่เปรียบ ในไม่ถึงหนึ่งเดือน นอกจากหัวหน้าเผ่าปีศาจ พวกมันก็หมดสิ้นไปจากทวีปเทียนเฉิน ในที่สุดเทพธิดาปีกขาวและเทพธิดาปีกดำก็ค้นพบหัวหน้าเผ่าปีศาจที่ทางตอนใต้ของอาณาจักรเทียนหลง พวกนางต่อสู้ดุเดือดจนไปถึงเหนือสุดของอาณาจักรเทียนหลง…. ปู่ของปู่ข้าห่วงใยในเทพธิดาทั้งสอง จึงเฝ้ารอการต่อสู้ของพวกนางอยู่ไม่ห่าง ทว่าหลังจากนั้นการต่อสู้จู่ๆก็เงียบสงบลง ทุกสิ่งหายไปอย่างเงียบงัน นับแต่นั้นทวีปเทียนเฉินก็ไม่มีปีศาจปรากฎอีก ทว่าเทพธิดาทั้งสองก็หายไปไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน บางทีพวกนางอาจเอาชนะหัวหน้าเผ่าปีศาจแล้วกลับไปยังทวีปเทวะ บางทีพวกนางอาจตายไปพร้อมกับหัวหน้าเผ่าปีศาจ หรือบางที….”
ฉู่ชางหมิงหยุดเสียงลง สายตาเคลื่อนมองหนิงเสวี่ยและทงซินอีกครั้ง เขาไม่กล่าวคำอีก แม้ว่าเขาคือเทพกระบี่ หากคำว่า ‘เทพ’ เป็นเพียงสมญาของเขาเท่านั้น สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่ง เรื่องราวของเทพแท้จริงนั้น เขาไม่อาจเข้าใจได้
“การรุกรานของปีศาจกินเวลาที่สั้นมาก แม้ว่าทวีปเทียนเฉินตกอยู่ในหายนะทั่วทิศในเวลานั้น แต่ไม่ได้สูญเสียหนักหนาถึงรากฐานแต่อย่างใด เรื่องราวนี้เมื่อถูกเล่าต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยเวลายาวนานผู้คนจำนวนมากจึงไม่สนใจอีก เรื่องราวเมื่อร้อยปีก่อน ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่คนที่รู้” ฉู่ชางหมิงกล่าวพลางถอนหายใจ
เย่หวูเฉินพยักหน้า สีหน้าฉายแววคล้ายรู้สึกหนักใจ เขามองหนิงเสวี่ยที่กำลังพิงร่างเขาอยู่ ไม่ทราบว่านางหลับไปตอนไหน เรื่องราวของฉู่ชางหมิงดูลึกล้ำอย่างที่สุด ทว่าสำหรับหนิงเสวี่ยเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก ทั้งยังไม่ถูกใจนาง ก็แค่คนดีทุบตีเอาชนะคนชั่ว หลังจากฟังได้เพียงไม่นาน ความรู้สึกง่วงเหงาก็เข้าจู่โจม จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
เย่หวูเฉินยิ้มและส่ายศีรษะ กุมมือเบื้องหนึ่งของหนิงเสวี่ยไว้อย่างอ่อนโยน สองร่างบอบบางของสาวน้อยพิงพักอยู่ในอกเขา ทว่ากลับดูไม่แออัดแต่อย่างใด เขาลุกขึ้นและกล่าวกับฉู่ชางหมิง “ท่านปู่ฉู่ ขอบคุณที่เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ข้าฟัง”
“เจ้ากับพวกนางอยู่ด้วยกันมานานแล้ว หลายสิ่งเจ้าสมควรเข้าใจมากกว่าข้า” ฉู่ชางหมิงกล่าวช้าๆ
เย่หวูเฉินนิ่งเงียบเป็นเวลานาน จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย และหันกายเดินกลับไปยังกระท่อมมุงหลังเล็ก
เขาเรียกผ้าห่มอ่อนนุ่มออกจากแหวนเทพกระบี่ ปูลงบนเตียงเปล่า วางหนิงเสวี่ยลงอย่างอ่อนโยน จากนั้นห่มผ้าให้นางอีกครั้ง เมื่อเสร็จแล้วก็จูงมือทงซินเดินออกไปอย่างเบาเท้า
มุกเขียวมรกตสดใสปรากฎขึ้นในมือของเย่หวูเฉิน ดวงตาเขาจับจ้องอยู่ที่มัน มุกเขียวนี้เขาได้มาจากอาณาวายุต้องห้ามใต้หุบเหวปลิดวิญญาณ แม้จะรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับพลังแกร่งกล้าของอาณาวายุต้องห้าม ทว่าเขาไม่อาจรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร ถึงแม้เขาดูดกลืนพลังวายุที่อยู่ในอาณาแห่งนั้นได้จนหมดสิ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดูดกลืนพลังวายุจากมุกเม็ดนี้ได้ อาณาวายุเกิดขึ้นจากธาตุวายุที่รั่วไหลออกมาจากเพียงเล็กน้อยจากมุกเม็ดนี้ ธาตุวายุที่บรรจุอยู่ข้างในหนาแน่นเป็นอย่างยิ่ง…. เย่หวูเฉินสัมผัสได้ถึงมัน ทว่าไม่อาจอธิบายเป็นคำพูด ความหนาแน่นที่น่าหวั่นกลัว หากมันแตกออกไม่ว่าจะด้วยเหตุใด เขานึกไม่ออกเลยว่าฉากที่เกิดขึ้นจะน่าสยดสยองแค่ไหน อย่างน้อย พลังของมันย่อมเหนือล้ำกว่าอาณาวายุต้องห้ามไม่รู้กี่เท่า
“มุกสลายวายุ” เย่หวูเฉินจ้องตรึงที่มุกเขียว กล่าวชื่อของมันออกมาช้าๆ ขณะจับมันไว้ในมืออย่างเงียบงัน
……………
……………
“มาเร็วพี่ทงซิน ข้ารู้ว่าตรงนั้นมีผลไม้ที่อร่อยมาก เมื่อก่อนท่านพี่พาข้าไปเก็บผลไม้ตรงนั้นกินทุกวัน”
สาวน้อยสองคนวิ่งตามกันและกระโดดอย่างร่าเริง ราวผีเสื้อสีดำขาวที่โบยบินอย่างอิสระ เย่หวูเฉินเดินตามและยิ้มมองพวกนางที่วิ่งล่วงหน้าไป
พวกเขาอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว กล่าวได้ว่าตลอดสามวันเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุด อย่างไรก็ตาม วันหยุดของเขาไม่ได้เรียบง่ายเพียงนั้น ทุกวันเขาจะรับข้อมูลจากทุกทิศผ่านทางเซียงเซียง คอยจดจ้องทุกความเป็นไปในทวีปเทียนเฉิน
“ดูสิ นั่นดูน่าอร่อยมากเลยนะ” หนิงเสวี่ยหยุดลงใต้ต้นผลไม้ เงยหน้าและชี้นิ้วไปยังผลไม้ลูกหนึ่งเหนือศีรษะที่มีขนาดเท่ากำปั้น มันมีสีม่วงประหลาด ทงซินเงยศีรษะขึ้นมองตาม ปากน้อยๆขยับ และยื่นมือออกคว้ากลางอากาศว่าง
ซู่ว….ต้นผลไม้เขย่าอย่างรุนแรง ผลไม้สีม่วงร่วงลงมาดุจห่าฝน หนิงเสวี่ยร้องกรี๊ดอย่างไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม แม้ผลไม้จะร่วงลงมามาก แต่ไม่มีลูกใดหล่นใส่ศีรษะของพวกนาง มันไปกองอยู่ในจุดที่ทงซินกำหนดไว้ ไม่ช้าภูเขาผลไม้สีม่วงขนาดย่อมก็ปรากฎขึ้น ส่งกลิ่นหอมโชยแตะจมูก หลายวันที่ผ่านมา พลังของทงซินฟื้นฟูขึ้นช้าๆ แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่สภาพสมบูรณ์ที่สุดของนาง ทว่า….อย่างน้อยนางก็รับมือกับฉู่ชางหมิงได้แล้ว
“ฮี่ๆ พี่ทงซินเก่งมากเลย….มาลองชิมกันเถอะ” หนิงเสวี่ยหยิบผลไม้สองลูกที่ใหญ่สุดบนกองให้ทงซินลูกหนึ่ง จากนั้นวิ่งไปที่เย่หวูเฉินและวางลงในมือ “ท่านพี่ นี่ให้ท่าน”
เย่หวูเฉินรับมาพลางกล่าว “ข้าเองก็คิดถึงรสชาติของมันมากเช่นเดียวกับเสวี่ยเอ๋อร์ หากว่าเจ้าชอบมัน งั้นเราเอามันใส่ไว้ในแหวนเทพกระบี่จะได้ไม่เน่าเสีย”
“อื้ม ตกลง” หนิงเสวี่ยกล่าวอย่างร่าเริง
เวลาคล้อยผ่านจนถึงยามบ่าย จากนั้นดวงอาทิตย์เคลื่อนผ่านไปยังตะวันตก จนอีกไม่นานมันก็จะตกลง พวกเขาเดินมาเรื่อยเปื่อยจนถึงทะเลสาบน้ำใส ผิวทะเลสาบราบเรียบราวกระจก ที่นี่หนิงเสวี่ยเคยใช้เป็นที่อาบน้ำ ทว่าตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง น้ำในทะเลสาบเย็นจัดและไม่ใช่สิ่งที่หนิงเสวี่ยสามารถทนได้
“อยากลงไปเล่นหรือเปล่า?” เมื่อเห็นแววตาของหนิงเสวี่ย เย่หวูเฉินก็เข้าใจความหวังเล็กๆของนางได้และเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“อื้ม….” หนิงเสวี่ยพยักหน้าตอบ
เย่หวูเฉินทะยานเท้าและลอยขึ้นเหนือทะเลสาบเล็กๆ เขาค่อยๆลอยกายลงและยื่นแขนจุ่มลงไปในน้ำ ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยธาตุอัคคีจากร่างกาย มันพุ่งลงไปใต้น้ำทะเลสาบอย่างบ้าคลั่ง…. วงน้ำรอบกายเริ่มเกิดเสียง ‘ปุดๆ’ มันขยายวงออกอย่างรวดเร็ว เกิดไอน้ำท่วมกายของเย่หวูเฉิน
“ว้าว….” หนิงเสวี่ยเปิดริมฝีปากชมพู อดไม่ได้ที่จะร้องอุทาน
ด้วยธาตุอัคคีที่แผ่ทั่วบริเวณก้นทะเลสาบ อุณหภูมิของน้ำในทะเลสาบจึงเพิ่มขึ้นช้าๆ จากนั้นมันเพิ่มเร็วขึ้น จนกระทั่งทั่วผิวน้ำเหนือทะลสาบมีไอน้ำลอยออกมา เมื่อได้อุณหภูมิที่พอเหมาะแล้ว เย่หวูเฉินจึงเก็บมือกลับ จากนั้นลอยร่างกลับมาที่ริมฝั่งและยิ้มกล่าว “เอาละ ตอนนี้ได้ที่แล้ว”
“อื้ม ฮี่ ฮี่….” ใบหน้าหนิงเสวี่ยฉายความยินดีและหลงใหลอันไม่อาจปิดบัง นางถอดชุดออกอย่างกังวล ก้มลงแตะทดสอบอุณหภูมิน้ำอย่างระวัง จากนั้นตะโกนอย่างตื่นเต้น นางกระโดดลงน้ำทันที ผิวน้ำแตกกระจายพร้อมร่างที่จมลง ขณะต่อมานางก็โผล่ศีรษะสีขาวขึ้นจากน้ำ มองเย่หวูเฉินด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
มีเสียง ‘ตูม’ ดังขึ้นอีกระลอก ทงซินกระโดดตามลงไปแล้วว่ายไปหาหนิงเสวี่ย โผล่ศีรษะพ้นน้ำด้วยรอยยิ้ม ใต้แสงอาทิตย์เรืองรอง ใบหน้างามสะท้อนเสน่ห์อันน่าหลงใหล บอบบางและขาวบริสุทธิ์ดุจหยกหิมะ ริมฝีปากอิ่มโค้งเป็นเส้นบาง ดวงตาดำขลับดั่งรัตติกาลทมิฬ สะท้อนประกายดุจแสงดารา จมูกน้อยๆรับกับริมฝีปากสีเชอร์รี่ น่ารักเหนือคำบรรยาย
เย่หวูเฉินหยุดนิ่งชั่วขณะ ยากจะไถ่ถอนสายตาออกจากทงซิน แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นทงซินเผยร่างโดยไม่มีสิ่งปิดบัง แต่ทุกครั้งเขาต้องห้ามความปรารถนาจากสายตาน่าหลงใหลนั้นอย่างยากลำบาก…. นางอาจอายุมากกว่าเขาหลายเท่า ทว่ารูปลักษณ์ของนางยังเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง หากเขาพลั้งพลาดลงไป สิ่งแรกที่จะต้องเผชิญคือความรู้สึกผิดบาปลึกล้ำ
“ท่านพี่ น้ำอุ่นสบายมากเลย รีบลงมาเร็วเข้า” หนิงเสวี่ยกางแขนและโบกมาทางเขา อยากให้เขาลงเล่นน้ำด้วยกัน สองแขนงดงามราวหยกเคลือบขาวกระจ่าง ภายใต้แสงอาทิตย์สะท้อนแสงบาง ทำผู้คนไม่อาจอดห้าม ต้องอุทานในความสมบูรณ์แบบ
เย่หวูเฉินมองตรึงที่หนิงเสวี่ย แย้มยิ้มขณะส่ายศีรษะ หนิงเสวี่ยรู้ว่าเขาค่อนข้าง ‘กลัวน้ำ’ ดังนั้นจึงไม่รบเร้าต่อ ทงซินดีดเท้าในน้ำอย่างสบายอารมณ์ ที่แห่งนี้นางไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะมีสัตว์ประหลาดปรากฎตัว ไม่จำเป็นต้องห่วงว่าจะใครผ่านมาเห็น
เย่หวูเฉินนั่งอยู่ริมฝั่ง มองพวกนางเล่นน้ำหัวเราะอย่างสุขสันต์ สายตาค่อยๆพร่าเลือน เขาแหงนมองตะวันที่ลับฟ้าไปครึ่งดวง หัวใจของเขายามนี้พลันมัวหมองดังดวงตะวันที่ใกล้จะลับขอบฟ้า….
หากนางทั้งสองเป็นเพียงเด็กหญิงธรรมดา เช่นนั้นคงจะดีไม่น้อย