ฉุ่ยเสวียนฟงราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าศีรษะ หัวใจคล้ายจะแตกออก พ่นเสียงร้องราวกับสัตว์ป่า ผลักฝ่ามือสองข้างส่งมังกรหยกวารีคำรามพุ่งไปยังทงซินที่ล้มลงพื้น ทงซินถูกพลังฟาดใส่ ร่างปลิวไปไกลลิ่ว เมื่อตกถึงพื้นก็ไม่ปรากฎลมหายใจ
อุบัติเหตุร้ายแรงทำให้พวกเขาไม่สนใจความเป็นตายของสตรีเทพพิโรธอีก สามเทวะพุ่งไปอยู่ข้างกายฉุ่ยหยุนหลันด้วยความแตกตื่น ส่งเสียงตะโกนกระวนกระวาย อาวุโสเทียมฟ้ากดระงับอารมณ์ ปล่อยพลังหยกวารีเข้าระงับบาดแผลที่แขนซ้าย สร้างผลึกน้ำแข็งสีฟ้าเข้าครอบคลุม ไร้โลหิตหลั่งไหลออกมาอีก
ฉุ่ยหยุนหลันยกมือขวากุมแขนซ้ายที่เหลือเพียงครึ่งเดียว ใต้ความเจ็บปวดเสียดจิต ความกลัวทะลักจนหน้าซีดราวกระดาษ เขากัดฟันแน่น ไม่ยอมปล่อยส่งเสียงครางเจ็บปวด แม้หน้าผากจะผุดเหงื่อเย็น แม้เจ็บปวดแสนสาหัส ก็ไม่ยอมหลุดเสียงแม้เพียงคำเดียว
“เร็ว….ไปเอาแขนท่านประมุขมาต่อเร็วเข้า ตอนนี้ยังมีเวลาทัน เร็ว! เร็วว!!” ฉุ่ยเสวียนฟงแหกปากบ้าคลั่ง วิชาหยกวารีไม่เพียงเหนือล้ำด้านการป้องกัน แต่ยังโดดเด่นด้านพลังรักษา วิชาหยกวารีของฉุ่ยหยุนหลันอยู่ในขั้นเทวะ หากนำแขนที่ขาดออกมาต่อกัน ย่อมจะเป็นไปได้สำหรับเขา
เสียงตะโกนลั่นปลุกผู้คนที่หวาดกลัวให้ตื่นขึ้นทันที ทุกสายตามองไปที่แขนซ้ายที่ขาดของฉุ่ยหยุนหลัน ทว่าทันใดนั้น พวกเขาต้องเบิกตาโพลง
ซู่ว ~~~~~~
เสียงละลายดังขึ้นต่อเนื่อง พร้อมเสียงความหวังของผู้คนที่แตกสลาย แขนที่ขาดออกของฉุ่ยหยุนหลันกลับมีกลุ่มหมอกเทาพ่นออกมา มันยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางหมอกเทานั้น มือซ้ายอาบโลหิตที่โผล่พ้นแขนเสื้อค่อยๆกลายเป็นสีเทา จากนั้นเป็นสีเทาเข้ม จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีดำ จากนั้นผุพังอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจแขนซ้ายที่ถูกสตรีเทพพิโรธตัดออกก็หายไป เหลือเพียงกลุ่มหมอกที่ลอยกระจัดกระจายเท่านั้น….
ตกใจถึงขีดสุด คือสิ่งที่หัวใจของพวกเขารู้สึกในเวลานี้
ทงซินใช้กริชเทพพิโรธดันกายขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก ดวงตาดาราพร่ามัว ใบหน้าซีดขาวราวหิมะ มุมปากมีรอยโลหิตแดงเล็กๆสายหนึ่ง แม้ว่าร่างกายจะหยัดยืนขึ้นได้ ทว่านางอ่อนล้าถึงขีดสุด ราวใบไม้ที่เพียงลมโชย ก็พร้อมร่วงปลิวลง
มือขวาจับกริชเทพพิโรธ มือซ้ายกุมที่ติดผมสีดำไว้อย่างเงียบงัน เมื่อพบว่าที่ติดผมยังคงสมบูรณ์ ใบหน้าไร้อารมณ์พลันเผยยิ้มบางแห่งความปิติที่ไม่อาจสังเกต ถูกมังกรยักษ์หยกวารีที่ประสานขึ้นจากพลังของสี่สุดยอดแห่งจักรพรรดิใต้ อัดกระแทกส่งนางทะยานขึ้นทะลุเมฆ สติใต้สำนึกกลับสั่งนางให้ปกป้องที่ติดผมบนศีรษะอย่างงมงาย เพราะนี่คือสิ่งที่เขามอบไว้ให้กับนาง นางจึงแทบไม่สนใจชีวิตตน ยืนกรานไม่ยอมปล่อยมันให้ถูกทำลาย
พลังปะทะของหยกวารีไม่ได้พรากชีวิตนาง ทว่ามันพรากพลังของนางไปเกือบหมด และด้วยพลังที่ฟาดใส่อย่างยาวนาน ทั่วร่างยามนี้กลับเพียงรู้สึกอ่อนแรงอย่างมากเท่านั้น
ฉุ่ยเสวียนฟงตกใจเป็นคนแรก ทว่าเมื่อเห็นก็ตะโกนคำราม สองมือเกร็งพลังโจมตีทงซินอย่างเกรี้ยวกราด ทั่วร่างระเบิดแสงฟ้า พลังเทวะพวยพุ่งผลักคนโดยรอบให้ปลิวออก ยามทะยานร่างไป ใต้เท้าก็มีฝุ่นตลบพลิกอย่างรุนแรง
อาวุโสปฐพีลงมือในเวลาเดียวกัน กู่ร้องออกมาเสียงดัง “ตาเฒ่าเทียมฟ้า มาช่วยกันจัดการสตรีเทพพิโรธก่อน!!”
พลังหยกวารีที่ส่งเข้าแขนซ้ายของฉุ่ยหยุนหลันค่อยๆหยุดลง อาวุโสเทียมฟ้าถอนมือออกแล้วเคลื่อนสายตามองไปที่ทงซิน
ตูม! ตูม!
เสียงสนั่นดุจสองสายฟ้าฟาด ใต้เท้าของทงซินถูกทำลายเป็นหลุมลึกนับสิบเมตร ผู้คนของสำนักจักรพรรดิใต้ล้มกลิ้งกับพื้นด้วยแรงสั่นสะเทือน ทงซินลอยร่างขึ้นกลางอากาศ มือขวายกกริชเทพพิโรธขึ้นช้าๆ…. ในเวลานี้เอง นางพลันสังเกตเห็นบางสิ่งและมองไป สายตาหมอกมัวพลันเป็นประกายเจิดจ้าดุจดารา นางมองตรงที่ห่างไกล ตรงนั้นที่ผนังพังลงครึ่งหนึ่ง เย่หวูเฉินกำลังส่งยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน
“ทงซิน มาหาข้า พวกเราจะกลับบ้านกัน” สัมผัสกลิ่นอายของทงซินที่อ่อนแอยิ่ง หัวใจของเย่หวูเฉินพลันเจ็บปวด เขากล่าวคำอย่างอ่อนโยน เขากับนางอยู่ห่างกันมาก หากพวกเขาเป็นคนธรรมดาย่อมเห็นเป็นจุดเลือนราง เย่หวูเฉินกล่าวเสียงแผ่วเบา ทว่าด้วยสัมพันธ์วิญญาณทำให้นางได้ยินเสียงเขาชัดเจนในใจ
ทงซินหันกาย แล้วบินพุ่งไปยังทางที่เย่หวูเฉินอยู่
“ฮ่าห์!”
พลังน่าหวาดหวั่นแทบจะฉีกมิติพุ่งมาจากเบื้องหลัง ทงซินที่กำลังออกบินไปเบื้องหน้าจำต้องพุ่งขึ้นด้านบนหลายสิบเมตร หลบหลีกการจู่โจมเกรี้ยวกราดของฉุ่ยเสวียนฟงและอาวุโสปฐพี ทงซินหยุดบินไปทางเย่หวูเฉิน สายตามองลงไปยังเทวะทั้งสี่ที่อยู่เบื้องล่างอีกครั้ง โดยรอบยังมียอดฝีมือแห่งสำนักจักรพรรดิใต้อีกมากมาย ในดวงตาคู่ทมิฬของนาง ทอประกายดุจเทพแห่งความตาย
ทงซินค่อยๆลอยสูงขึ้นช้าๆ สองแขนบอบบางชูขึ้น ฝ่ามือหงายสู่ผืนนภา ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดลง เงาทะมึนที่หายไปได้ไม่นานกำลังกลับมาบดบังทั้งสำนักจักรพรรดิใต้อีกครั้ง
“นาง….นางยังเหลือพลังอยู่ หยุดนางเร็วเข้า!”
ครั้งนี้พวกเขาตอบสนองช้าเกินไป ไม่คิดฝันว่าทงซินจะเหลือพลังทมิฬมากมายถึงเพียงนี้ เหนือฝ่ามือทั้งสองข้าง เป็นพลังทมิฬทรงกลมที่เข้มข้นเกินจินตนา นางลอยนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ภายนอกคล้ายลูกทมิฬขนาดเพียงหนึ่งเมตร ทว่าพลังที่อัดแน่นอยู่ในนั้นทำให้ยอดฝีมือเทวะทั้งสี่ที่อยู่ด้านล่างต้องหน้าถอดสี
ฉุ่ยหยุนหลันทราบมากว่า 20 ปีว่าสิ่งใดคืออาวุธที่น่ากลัวสุดของสตรีเทพพิโรธ ความเร็วในการโคจรพลังทมิฬของนางเหนือล้ำเกินไป เกินความเข้าใจของนักเวทย์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง เสวี่ยหนี่แห่งชางหลานใช้เวลาสร้างหิมะและน้ำแข็งขนาดเดียวกัน ต้องใช้เวลากว่าสิบอึดใจ ทว่าทงซินใช้เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น
ทงซินโน้มกายไปด้านหลัง และเหวี่ยงมือสองข้างโยนลงมาทันที….
“ระวัง!”
“ปกป้องท่านประมุข!”
ธาตุทมิฬน่าหวาดหวั่นกดทับจากบนฟ้า แสงสว่างโดยรอบถูกยับยั้ง อากาศกลายเป็นมืดดำจนไม่อาจเห็นสิ่งใด ในความมืดนั้น อาวุโสปฐพีโคจรพลังหยกวารีด้วยความเร็วสูงสุด เตรียมรับพลังทมิฬที่ท่วมทับลงบนศีรษะ ขณะที่อาวุโสเทียมฟ้าและฉุ่ยเสวียนฟงช่วยกันคุ้มกันฉุ่ยหยุนหลันที่ไม่อาจเคลื่อนพลัง พลังหยกวารีที่พวกเขาโคจรออกมานั้นไร้พลังโจมตีใดๆ มันเป็นพลังป้องกันล้วนๆ….
“ครืน….” ความมืดกลืนกินผืนปฐพี หากมองลงมาจากบนฟ้า จะเห็นพื้นที่วงกลมเป็นผืนดำสนิท พลังทมิฬกระแทกลงอย่างบ้าคลั่ง แผ่นดินไหวสะเทือน มวลเมฆม้วนตลบ ในพื้นที่สีดำได้ยินเสียงร้องโหยหวนทรมาน ราวกับเทพความตายตวัดคมมีด ตัดชีวิตผู้คนในความมืด
“ทงซิน….” แสงดำสะท้อนฉาบทาบนใบหน้าของเย่หวูเฉิน เขามองความมืดที่ท่วมทับเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน ไร้ความยินดีหรือเสียใจ สามปีก่อนทงซินเริ่มติดตามข้างกายเขา น้อยนักที่นางจะสังหารใครอีก ทว่านั่นไม่ได้หมายถึงทงซินลืมวิธีสังหารน่าสะพรึงของสตรีเทพพิโรธเมื่อ 20 ปีก่อน สำนักจักรพรรดิใต้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่แข็งแกร่งสุดในทวีปเทียนเฉิน ในสถานที่แห่งนี้ ทงซินเผยคมเขี้ยวออกมาอีกครั้ง ประกาศศักดาต่อมวลมนุษย์ ว่าผู้ใดในโลกหล้าที่ไม่อาจกระตุ้นโทสะได้
ฉุ่ยเสวียนฟงและอาวุโสเทียมฟ้าช่วยกันป้องกันฉุ่ยหยุนหลัน คนหนึ่งเพื่อสายเลือด คนหนึ่งเพื่อปกป้องผู้สำคัญสุด พวกเขาจึงทุ่มพลังทั้งหมดในการป้องกัน ทว่าอาวุโสปฐพีกลับเลือกปรับพลังหยกวารีตามความเข้มข้นของพลังทมิฬ ฉุ่ยหยุนหลันใต้การปกป้องของสองบุคคลจึงไร้อันตรายใด อาวุโสเทียมฟ้าแข็งแกร่งสุดจึงไม่บาดเจ็บ ส่วนฉุ่ยเสวียนฟงมีเลือดไหลออกตรงมุมปาก ทว่ายังคงกัดฟันปกป้องฉุ่ยหยุนหลันโดยไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ทว่าอาวุโสปฐพี…. พลังป้องกันของหยกวารีที่เขารีบร้อนสร้างขึ้นได้ถูกความมืดกลืนกินในไม่กี่อึดใจ ทรวงอกราวถูกฟาดค้อนหนัก อวัยวะภายในคล้ายกระจัดกระจาย โลหิตกระอักออกจากปาก ร่างกายร่วงหล่นในความมืด ราวกับจะตกสู่หุบเหวไร้ก้น
ไม่ทราบว่านานเท่าใด เสียงครืนจึงลดระดับลงจนกระทั่งหายไป แสงสว่างเริ่มปรากฎช้าๆขับไล่ความมืด ราวกับเมฆหมอกถูกปัดเป่า เผยท้องนภาอีกครั้ง
เมื่อทุกอย่างกลับสู่ปกติ เมื่อแสงตะวันฉายเหนือแผ่นดินอีกครั้ง พื้นดินที่แหลกเละอยู่แล้วยามนี้กลับทำให้ผู้คนแทบเผลอกัดลิ้นตัวเอง…. ในพื้นที่บริเวณหลายสิบเมตร หากมองลงมาจากเบื้องบน จะเห็นแผ่นดินหายไปเป็นหลุมมืดดำ ราวกับหุบเหวที่ไม่อาจมองเห็นก้น
เหนือหุบเหวเป็นเศษซากของแผ่นดินและผู้รอดชีวิต อาวุโสเทียมฟ้าและฉุ่ยเสวียนฟงยังคงอยู่ที่ตรงจุดเดิมกับฉุ่ยหยุนหลัน พู่ไหมในมืออาวุโสเทียมฟ้าหายไปไร้ร่องรอย สายตาตวัดมองด้วยโทสะ หากไม่อาจปิดบังสีหน้าที่ตกตะลึง หลังจากฉุ่ยเสวียนฟงเงียบงันเป็นเวลาสั้นๆ ร่างกายก็ทรุดลง เขาฝืนหยัดกายขึ้น มือขวากุมตรงอกแน่น มุมปากมีโลหิตไหลออกมาไม่ขาด ทว่าอาวุโสปฐพี ตอนนี้หายไปจากสายตาพวกเขาแล้ว
บนพื้นที่ห่างออกไป ซากศพเกลื่อนกล่นบนพื้นอย่างน่าตระหนก เป็นยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์อยู่หลายคน และห่างออกไปอีก คือยอดฝีมือที่รักษาชีวิตตนเองเอาไว้ได้ ทั้งหมดมีสีหน้าซีดขาว ใต้หลุมลึกไร้ก้นนั้น ไม่ทราบมีคนสำนักจักรพรรดิใต้เท่าใดที่ถูกฝังร่างไว้
“ท่านประมุข เป็นอะไรรึเปล่า?” ฉุ่ยเสวียนฟงหันกายมาและถามอย่างกังวล
“ข้าไม่เป็นไร…. แล้วอาวุโสปฐพีล่ะ?” ฉุ่ยหยุนหลันกัดฟัน ข่มกลั้นความเจ็บปวดที่แพร่ผ่านหยกวารีที่ปิดแผลแขนซ้ายไว้ เวลานี้ เขารู้สึกสำนึกเสียใจที่สุดในชีวิต…. ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าหากจับตัวเย่หวูเฉินมา ย่อมมีโอกาสสูงมากที่จะนำสตรีเทพพิโรธมาที่นี่ ทว่าด้วยไม่อาจอดห้ามความโลภในกระบี่หนานฮวง เย่หวูเฉินจึงถูกลักพามายังสำนักจักรพรรดิใต้ คิดไม่ถึงว่าสตรีเทพพิโรธจะติดตามมาเร็วถึงเพียงนี้ เพียงไม่ถึงหนึ่งวัน อาคารน้อยใหญ่ในสำนักจักรพรรดิใต้ก็ถล่มลงไม่มีชิ้นดี ขุมกำลังหลักตกตายและบาดเจ็บ และเขากลายเป็นคนพิการที่เหลือเพียงแขนขวา
หากเขารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาจะรีบสั่งหยุดฉุ่ยเมิ่งฉานทันทีที่ได้ข่าว และสั่งนางให้พาเย่หวูเฉินกลับไป