อานุภาพของกระบี่ทำให้เหยียนเจิ้งไม่กล้าใช้พลังเพลิงวิญญาณรับมือโดยตรง ความเร็วของกระบี่ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นชัด ในม่านตาปรากฎดาวตกสีครามพาดลงมา เขาชะงักงันไปชั่วขณะ จากนั้นขยับเท้าดีดร่างออก หลบเลี่ยงกระบี่ได้ในที่สุด ทว่าด้วยรีบร้อนเกินไป ยามเหยียบยืนลงพื้นร่างกายจึงโซเซถอยหลังเล็กน้อย
เชร้ง!
เกิดประกายไฟกระจายทั่ว กระบี่ร่วงลงมาดุจดาวตก จมลงบนหินแข็ง ปักนิ่งตรงนั้นไม่ไหวติง
ที่ระยะไกล ฉู่จิงเทียนมือตกเหมือนเริ่มอ่อนแรง
เหยียนเจิ้งสูดหายใจหนัก ทะยานพุ่งเข้าใส่ฉู่จิงเทียนที่ไร้กระบี่ ชั่วไม่กี่อึดใจก็พุ่งไปถึงเบื้องหน้า คลื่นอากาศร้อนโถมท่วมร่างกาย ฉู่จิงเทียนสีหน้าเย็นชาไร้ความกลัว เขาขมวดคิ้วลง กำหมัดเหวี่ยงเข้าประสานกับเหยียนเจิ้ง นี่เป็นการเปรียบพลังโดยตรง ไร้กลเม็ดหรือฉวยโอกาส พวกเขาทั้งสองคน ฝ่ายหนึ่งคืออาวุโสแห่งสำนักจักรพรรดิเหนืออายุราว 70 ปี สั่งสมพลังมานานกว่า 50-60ปี ขณะที่อีกฝ่ายคือชายหนุ่มอายุเพียง 20 ปีต้นๆ ทว่าผลลัพธ์….กลับไม่มีผู้ใดเป็นรอง
พื้นหินแตกลั่น หินแข็งใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองร้าวออก ฉู่จิงเทียนและเหยียนเจิ้งปลิวแยกห่างเป็นระยะเท่ากัน ไม่มีผู้ใดมีเปรียบ…..อย่างน้อยก็เท่าที่เห็น
เหล่ายอดฝีมือต่างตกตะลึง ตอนที่เล่งหยาปรากฎตัวพวกเขาคิดว่าได้พบสุดยอดพรสวรรค์ที่หายากยิ่ง ทว่าฉู่จิงเทียนกลับทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกค้อนฟาดใส่กลางดวงใจ ให้พวกเขาได้เห็นว่าอะไรคือสุดยอดพรสวรรค์ที่แท้จริง
ขณะที่พวกเขาปลิวแยกจากกัน ฉู่จิงเทียนข่มระงับลมปราณที่ปั่นป่วนจากการปะทะ มือขวายื่นออกและพลิกข้อมือ….เมื่อครู่ที่ผ่านมา เขาไม่ได้ใช้ออกเต็มกำลัง แต่เหลือพลังสองส่วนไว้ที่กระบี่
เหยียนเจิ้งถูกปะทะรุนแรงจนไม่อาจหยุดร่างกลางอากาศ เขาทำได้เพียงปล่อยร่างให้ปลิวไปและรอลงจอด หากชั่วขณะนั้นเอง เขาพลันรู้สึกถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ เป็นสายลมเย็นเชียบที่พุ่งมายังเบื้องหลัง และถัดไปอีกชั่วอึดใจมันสามารถปักเข้าที่ร่าง….
เมื่อครู่ กระบี่ฉางหมิงถอนขึ้นจากพื้นฉับพลัน ขณะที่มันพุ่งเข้าหาร่างเหยียนเจิ้ง สายตานับร้อยคู่ล้วนเบิกกว้าง สามอาวุโสแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือผุดลุกขึ้นจากพื้น แม้อยากช่วยเพียงใดก็ไม่อาจทันการ ผู้ใดจะคิดว่าขณะที่ฉู่จิงเทียนแลกหมัดกับเหยียนเจิ้งเขาจะยั้งพลังเหลือไว้คุมกระบี่ นี่ไม่เพียงเป็นความมั่นใจเท่านั้น แต่ยังเป็นความฉลาดหลักแหลม…. แม้เทียบเพียงพลังภายใน เหยียนเจิ้งก็ยังนับว่าพ่ายแพ้
ชายหนุ่มที่ใช้กระบี่ชางหมิงผู้นี้ สมควรเป็นทายาทเทพกระบี่อย่างแท้จริง นำความตะลึงลานมาสู่ผู้คนอย่างต่อเนื่อง บางคนผมหงอกชราพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม เตรียมพร้อมประชันในงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน ทว่าเวลานี้กลับต้องถอดถอนใจด้วยความละอาย
แผ่นหลังใกล้จะถูกกระบี่ชางหมิงปักใส่ เหยียนเจิ้งยามนี้ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ประสบการณ์หลายสิบปีช่วยเขาไว้อีกครั้ง คนตื่นตระหนกยื่นมือซ้ายไปด้านหลังด้วยความเร็วสูงสุด กระบี่ชางหมิงปักทะลุฝ่ามือทันที เหยียนเจิ้งอาศัยแรงปะทะเล็กน้อยนั้นหมุนร่างตลบม้วนไปทางขวา….
กระบี่ชางหมิงพุ่งทะลุมือ ผ่านร่างและทะยานขึ้นฟ้า ทำโลหิตกระจายเม็ดราวกับดาราโลหิต เหยียนเจิ้งถลาโซเซลงพื้น ยกฝ่ามือที่กลวงเป็นรูขึ้นมาดู ร่างกายสั่นด้วยความเจ็บปวด ที่เอวซ้ายเสื้อถูกปาดเป็นทางยาว หากเขาเบี่ยงร่างช้ากว่านี้เล็กน้อย ร่างกายคงได้แผลอีกแห่ง
เขารู้ตัวว่าพ่ายแพ้ลงแล้ว หัวหน้าฝ่ายศิษย์อาวุโสผู้สูงส่งแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ พ่ายแต่ต่อรุ่นเยาว์ที่อายุยังไม่ถึงครึ่งของตน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้นี้ได้ นี่คือความเสียหายต่อภาพพจน์ของสำนักจักรพรรดิเหนือครั้งใหญ่
อีกทั้ง ต่อให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ แต่ทุกอย่างยังย่อมไม่จบลง ชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีจิตใจบริสุทธิ์ถึงขนาดเกิดจิตสังหารรุนแรง ฝ่ายตรงข้ามย่อมถือว่าตนเป็นศัตรูคู่อาฆาต กล่าวคือไม่ตายไม่เลิกรา สำหรับฉู่จิงเทียนแล้ว ตอนนี้เขาไม่สนใจงานชุมนุมยุทธเวทย์ใดๆ
“เคล็ดเทพกระบี่ เจ็ดผนึกเจ็ดสังหาร!”
เสียงคำรามต่ำออกจากปากฉู่จิงเทียน กระบี่ชางหมิงร่วงลงจากฟ้าอีกครั้ง…. ต่างจาก “มังกรบินพิโรธร่วง” ที่พุ่งลิ่วเป็นเส้นตรง ต่างจาก “เบี่ยงวิถีสวรรค์” ที่พลิกผันตามแนวตั้งและแนวนอน นี่คือเพลงกระบี่ที่ “ปั่นป่วน” ส่งคลื่นกระบี่ไร้ระเบียบขวางกั้นทุกเส้นทาง เมื่อใดที่ถูกพันธนาการไว้ด้วย “เจ็ดผนึกเจ็ดสังหาร” เมื่อนั้นย่อมยากยิ่งที่จะหลุดออกมา ทำได้เพียงหลบเลี่ยงและป้องกัน ไม่อาจโจมตีสวนกลับได้อีกครั้ง
หากครั้งนี้ผู้ที่เผชิญหน้าฉู่จิงเทียนเป็นเล่งหยา แม้เขาไม่อาจหลุดพ้นพันธนาการ “เจ็ดผนึกเจ็ดสังหาร” แต่ก่อนหน้านั้นเขาจะรีบหนีให้ห่าง 100 เมตรด้วยความเร็วสูงสุดทันที เพราะนั่นคือระยะที่ฉู่จิงเทียนไม่อาจควบคุมกระบี่ จากนั้นเขาจะปกปิดกลิ่นอายและกลับมาอย่างเงียบงัน รอสบโอกาสเหมาะแล้วจู่โจมฉู่จิงเทียนทันที เห็นได้จากบาดแผลมากมายบนร่างฉู่จิงเทียน ที่แม้เขาจะมีพลังเหนือล้ำกว่าเล่งหยาไปห่างไกล แต่หากต่อสู้เอาเป็นเอาตายโดยไม่สนวิธีการ เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ฉู่จิงเทียนจะตายด้วยน้ำมือเล่งหยา
เมื่อ “เจ็ดผนึกเจ็ดสังหาร” ถูกใช้ออก รอบร่างเหยียนเจิ้งสว่างด้วยแสงคราม ทุกด้านล้อมไว้ด้วยเงากระบี่ ทั้งยังมีปราณกระบี่ที่พุ่งใส่ร่าง จากเจ็บปวดมือซ้ายที่ถูกเจาะทะลวง เหยียนเจิ้งจึงหวาดกลัวต่อเงากระบี่สีครามนี้ เขาได้แต่ถอยร่างไม่กล้าปะทะมัน ทว่าเพียงหนึ่งก้าวที่ถอยไป เงากระบี่เบื้องซ้ายก็สลายวับ เบื้องหลังเกิดรัศมีเย็นเยียบฉับพลัน หัวใจเขากระตุกวูบ กดร่างหมอบลงฉับพลันพร้อมรัศมีสีครามที่พุ่งผ่านหนังศีรษะไป นำพาสายลมเย็นเยียบมาสู่หนังศีรษะ เหงื่อกาฬผุดออกด้วยความตระหนก เขากัดฟันข่มกลั้นความเจ็บปวดที่มือซ้าย รวบรวมจิตใจรับมือเงากระบี่ ในใจได้แต่พ่นลมดังๆว่าข้ายอมแพ้
ฉู่จิงเทียนทำให้เขาฟกช้ำพ่ายแพ้หมดสภาพ ต่อสู้มีแต่ต้องล่าถอยด้วยกระบี่ และตอนนี้เขาถูกเงากระบี่พัวพัน แม้ทั้งชีวิตเขาเคยต่อสู้กับยอดนักกระบี่มากมาย บางคนยังสามารถคุมกระบี่ได้ หากจนกระทั่งถึงวันนี้ เขาจึงพึ่งได้รู้จักการคุมกระบี่ที่แท้จริง มันเป็นความน่ากลัวอย่างยิ่ง ไม่ว่าเขาจะมีพลังและทักษะเพียงใด ยามนี้เขาทำได้เพียงหวาดกลัวและถอยหนีอย่างอ่อนแอ
ฟุ่บ…. เหนือมือขวาของเหยียนเจิ้งถูกเจาะเป็นรูเลือด
ฟั่บ…. ลำคอของเหยียนเจิ้งถูกบาดจนเลือดไหลซิบ
ฟุ่บ…. มีอีกหนึ่งรอยแผลที่ขาขวา
ฟั่บ….
ฟิ้ว….
…………..
…………..
สามอาวุโสที่เหลือของสำนักจักรพรรดิเหนือสีหน้าดำคล้ำ ทว่าพวกเขาไม่ได้พูดหรือขยับ หัวหน้าอาวุโสพ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่ม พวกเขาก็เสียหน้าพอแล้ว หากพวกเขายังสอดมือเข้าไปหยุด คงต้องได้กลายเป็นที่หัวเราะ!
สำนักจักรพรรดิเหนือเป็นผู้ควบคุมงานประลอง การร่วมลงสู้เป็นเพียงการเปิดงานเท่านั้น แม้พวกเขาไม่คิดว่าจะชนะเสมอไป….แต่อย่างไรต้องไม่แพ้ให้กับรุ่นเยาว์ที่ไร้ชื่อ การผลิกผันอันเหนือความคาดหมายนี้ ทำให้พวกเขาไม่อาจยอมรับได้
เหยียนเจิ้งถูกทุบตีอย่างหนัก แต่เขามีชะตาที่ไม่อาจยอมแพ้ เมื่อเขาเป็นผู้ทำลายสหายของคนผู้นี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องต่อสู้กันถึงชีวิต อย่างไรก็ตาม ฉู่จิงเทียนเกลียดชังเขาอย่างเห็นได้ชัด ไม่สนใจว่าเขาคือคนของสำนักจักรพรรดิเหนือแม้แต่น้อย ไม่ว่าผู้ใดล้วนมองเห็นว่าเขาเจตนาฆ่าฟัน เหยียนเจิ้งอาจตายได้ แต่ไม่อาจยอมแพ้ให้เสียชื่อสำนักจักรพรรดิเหนือ
ยอดฝีมือบนสนามตะลึงค้างมองเหยียนเจิ้งถูกพัวพันด้วยกระบี่ มือซ้ายของเขาบาดเจ็บอย่างรุนแรง ทั้งไม่มีเวลาที่จะห้ามเลือด ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลนับสิบรอย การเคลื่อนไหวของเขาช้าลงอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เงากระบี่ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนโทรมพลังลงแม้แต่น้อย รอบร่างเหยียนเจิ้งยังคงถูกล้อมไว้ด้วยเงากระบี่ และบาดแผลโลหิตเพิ่มจำนวนขึ้นรอยแล้วรอยเล่า
ฉัวะ!!
เงากระบี่พวยพุ่งพร้อมกับเสียงถูกตัด คราวนี้รัศมีสีครามไม่ได้เล็งไปที่ลำคอ มันจู่โจมตรงตำแหน่งหัวใจของเหยียนเจิ้งด้วยความเร็วยิ่งยวด เหยียนเจิ้งแม้เบี่ยงร่างหลบออกโดยสัญชาตญาณ แต่คราวนี้เขาตอบสนองช้ากว่าทุกครั้ง แม้จะหลบเลี่ยงไม่โดนจุดสำคัญได้ แต่หัวไหล่ก็ถูกกระบี่ชางหมิงแทงใส่โดยตรง มันพุ่งเสียบทะลุคาไหล่ กระดูกถูกตัดออก เจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ
หากเหยียนเจิ้งยังคงข่มกลั้นความเจ็บปวด ส่งมือขวาคว้าด้ามกระบี่ชางหมิงราวสายฟ้า คำรามต่ำดึงกระบี่ออก เสื้อผ้าตรงไหล่ชุ่มโชกด้วยโลหิต
กระบี่ชางหมิงถูกจับ หากฉู่จิงเทียนไม่มีทีท่าร้อนรนใดๆ เขามุ่นคิ้วลง สองมือค่อยๆวาดขึ้น
พลังหนักหน่วงดุจขุนเขาดึงกระบี่ชางหมิงออกจากมือเหยียนเจิ้ง เหยียนเจิ้งอดกลั้นความเจ็บปวดเกร็งกำลังทั้งหมดไว้ที่แขนขวา ไม่ยอมปล่อยให้กระบี่ชางหมิงหลุดจากมือตน ตอนนี้ทั้งคนทั้งกระบี่พุ่งเข้าหาฉู่จิงเทียนอย่างรวดเร็ว
ฉู่จิงเทียนเหงื่อผุดบนศีรษะ กระบี่สูญเสียการควบคุมไปอย่างมาก แน่นอนมันคือเรื่องธรรมดา เขาผลักมือสองข้างส่งพลังทั้งหมดให้กระบี่ชางหมิงโดยไม่เก็บยั้งไว้อีก “เคล็ดเทพกระบี่ กระบี่คำรามไร้เสียง!”
เชร้ง!!
เหนือกระบี่ชางหมิงมีแสงสีครามปะทุขึ้นฉับพลัน กระบี่โหยหวนเล็กน้อย ด้วยพลังมหาศาลที่ระเบิดออก ร่างของเหยียนเจิ้งถูกอัดกระเด็นในทันที มือขวาข้างเดียวที่ยังสมบูรณ์ยามนี้อาบชะโลมโลหิต กระบี่ชางหมิงดีดหลุดออกจากมือ แม้จับกระบี่ในมือมั่นเพื่อหยุดการควบคุม หากสุดท้ายก็ยังพ่ายแพ้ ไม่ทราบว่ากี่ครั้งที่เขาดิ้นรน และจบลงด้วยการพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงใต้น้ำมือของฉู่จิงเทียน
ฉู่จิงเทียนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กระบี่ชางหมิงพุ่งทะยานขึ้นฟ้าใต้การบังคับ ระหว่างที่มันลอยนิ่งอยู่ในอากาศ ไม่ทราบว่าสายลมรุนแรงกรรโชกมาจากที่ใด ปราณกระบี่เกรี้ยวกราดปกคลุมทั่วผาดาวตก ทำบรรดายอดฝีมือใบหน้าถอดสี
“เคล็ดเทพกระบี่ แสงนฤพานผลาญชีพ!!”
เขาไม่จำเป็นต้องสาธยาย ไม่จำเป็นต้องแสดงโทสะทางใบหน้า เพราะในทุกการกระทำ ผู้คนล้วนเห็นว่าเขาปรารถนาให้เหยียนเจิ้งตกตายเพียงใด
กระบี่ชางหมิงกลายเป็นสิบเล่มในพริบตา จากนั้นแยกอีกครั้งเป็นนับร้อย อย่างไรก็ตาม เงากระบี่พวกนี้ไม่ใช่ภาพเงาธรรมดา หากยังปลดปล่อยปราณกระบี่ที่ผู้คนต้องหวั่นเกรง ทั้งพลังและอานุภาพของมันทำให้เหล่ายอดฝีมือระดับสูงสุดต้องหัวใจสั่นสะท้าน แค่หนึ่งเงาก็น่ากลัวพอแล้ว นี่ทั้งหมดกำลังจะโจมตีใส่คนผู้เดียว….
เงากระบี่แผ่ปราณทรงอานุภาพล็อคตรึงเพียงร่างของคนหนึ่ง…. เหยียนเจิ้งรู้สึกเหมือนถูกกระบี่จำนวนมากจ่อลำคอ เมื่อเงากระบี่นับร้อยปรากฎออกมา เขาก็เริ่มได้กลิ่นความตายที่มาถึง
ในอดีต เทพกระบี่ฉู่ชางหมิงใช้กระบวนท่า “แสงนฤพานผลาญชีพ” เรียกเงากระบี่ออกมานับไม่ถ้วนเกิดเป็น “ข่ายเทพกระบี่” ที่บดบังผืนหล้า ไล่ทัพทหารต้าฟงจำนวนมหาศาลให้ล่าถอยด้วยความกลัว ยามนี้กระบวนท่าน่าสะพรึงนั้นกำลังปรากฎต่อหน้าผู้คน ทำให้พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของทัพต้าฟงในอดีตว่าจะตกอยู่ในความหวาดหวั่นเพียงใด แม้ว่านี่ไม่อาจเทียบกับฉู่ชางหมิงที่แผ่เงากระบี่มหาศาลคลุมฟ้า แต่นี่คือชายหนุ่มที่อายุเพียง 20 กว่าปีเท่านั้น!
ไม่มีผู้ใดสงสัยว่าเหยียนเจิ้งจะย่อยยับหลังรับการโจมตีสะเทือนฟ้านี้หรือไม่…. ทว่าหากเขาสังหารเหยียนเจิ้งจริงๆ ย่อมเท่ากับการกระตุ้นโทสะของสำนักจักรพรรดิเหนือทั้งหมด อัจฉริยะด้านกระบี่ผู้นี้ ย่อมตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายยิ่ง
“เจ้าทึ่มตัวโตนั่นกลับแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้” เหยียนกงรั่วจ้องตาเป็นประกายโต กระพริบตามองฟ้าที่คลุมด้วยเงากระบี่ ริมฝีปากสีชมพูเอ่ยอุทานออกมา
“ทีแรกข้าคิดว่าตนเองมองพลังของเขาออกจนหมดสิ้น ตอนนี้ ข้าพึ่งรู้ตัวว่าประเมินเขาต่ำเกินไป ไม่เพียงทักษะที่ลึกล้ำไม่เป็นรองข้า แต่ความลุ่มหลงในวิถีกระบี่ของเขา ยังทำให้ผู้คนไม่อาจอดห้ามความตกใจ ข้าไม่รู้ว่าเทพกระบี่ยามนี้มีขอบขั้นพลังถึงเพียงใด แต่จากที่เขาได้แสดงออกมาในวันนี้ ไม่นานเขาย่อมกลายเป็นเทพกระบี่คนต่อไป แม้ข้าจะมีสายเลือดจักรพรรดิเหนือ แต่ก็ทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะเขาไร้พลังตัวช่วยใดๆ จึงนับว่าเขาเป็นอัจฉริยะโดยแท้” เหยียนกงลั่วมองฟ้าอยู่เช่นกัน สัมผัสกับพลังอันอัศจรรย์ พร้อมกับกล่าวเสียงเบา
สามอาวุโสที่มากับเหยียนเจิ้งไม่อาจอยู่นิ่ง พวกเขาอดไม่ได้อยากจะพุ่งออกไป หากถูกเหยียนซีหมิงที่หน้าหมองกล่าวหยุดไว้ “อย่าลืมกฎของงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน”
สามอาวุโสเมื่อได้ยินคำก็ข่มอารมณ์และกำหมัดแน่น
หากไม่ใช่ผลจากการที่เหยียนเจิ้งทำลายเล่งหยา งานแสดงนี้คงจบลงเพียงแค่เขาพ่ายแพ้แก่ฉู่จิงเทียน ไหนเลยฉู่จิงเทียนจะคิดสังหารถึงเพียงนี้? อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ต่อให้เหยียนเจิ้งฉีกหน้าสำนักจักรพรรดิเหนือด้วยการยอมแพ้ ฉู่จิงเทียนก็ย่อมไม่ลดละการสังหาร เพราะเหยียนเจิ้งได้ทำลายสหายของเขา!
เหยียนเจิ้งตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่ามนุษย์โลหิต รอยแผลปริออกด้วยพลังที่กดทับ ทั้งร่างยังทรุดลงกับพื้น แทบไร้กำลังที่จะลุกขึ้นยืน เขาทำได้เพียงมองเงากระบี่บนฟ้า นัยน์ตาสั่นไหวราวเผชิญเทพความตาย
ฉู่จิงเทียนลดมือลง เงากระบี่เริ่มขยับ ทุกเล่มเล็งตรงไปที่เหยียนเจิ้ง สายลมและมวลเมฆเริ่มบิดผัน เมื่อใดที่เงากระบี่เหล่านี้ร่วงลงมา เหยียนเจิ้งย่อมไม่เหลือแม้แต่กระดูก….ผู้คนเงียบงันไม่กล้าส่งเสียง ไม่มีใครก้าวออกมาหยุด สีหน้าซับซ้อนมองมาอย่างไม่อาจช่วยได้….
“….ปล่อย….มัน….ให้….ข้า….”
น้ำเสียงเย็นเยียบเกลียดชังถึงขีดสุด ความเจ็บปวดและเจตนาสังหารแฝงมากับน้ำเสียง ราวกับภูติผีที่ตะกายออกจากนรกโลกันตร์ สายลมเย็นเชียบโบกพัดผู้คนให้สั่นเทา ในสายลมนั้นพวกเขาได้กลิ่นคาวเลือด
ที่ตามมาพร้อมกับเสียงนั้น คือคลื่นอากาศที่กดดันพัดผ่าน หากว่า “แสงนฤพานผลาญชีพ” ของฉู่จิงเทียนทำให้ยอดฝีมือเล่านี้ตะลึงแล้ว ตอนนี้จิตสังหารท่วมท้นที่ไม่ทราบแผ่ว่ามาจากไหน กลับยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกราวกับมีกระบี่พันเล่มกรีดแทงอยู่บนใบหน้า เหนือทรวงอกราวกับมีหินมหึมากดทับอยู่จนยากจะหายใจ
สายตาผู้คนค่อยๆเคลื่อนไปที่ขอบผา….มองยังทางต้นเสียง