“มาเถอะ” เย่หวูเฉินยิ้มขณะส่ายศีรษะ เขาสะบัดมือจากนั้นอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ก็ปรากฎอยู่ต่อหน้า นี่คืออ่างอาบน้ำที่หนิงเสวี่ยใช้อยู่เป็นประจำ เขาอดไม่ได้ที่จะนึกขอบคุณฉู่ชางหมิงที่ได้มอบของขวัญล้ำค่าให้เขาโดยไม่ลังเล เมื่อมีแหวนเทพกระบี่อยู่กับตัว เขาสามารถพกบ้านของตัวเองไปได้ในทุกที่ทุกเวลา
ในอ่างเต็มไปด้วยน้ำสะอาด เย่หวูเฉินตักน้ำจากแม่น้ำเก็บไว้ระหว่างทาง หนิงเสวี่ยไม่อาจทนรอ นางกางแขนกว้างให้เขายกนางจุ่มลงข้างใน เมื่อร่างของนางจุ่มลงในน้ำ นางส่งเสียงพึงใจ ใบหน้าผ่อนคลาย นางรู้สึกสบายขณะเล่นน้ำ
“…สบายขึ้นเยอะเลย เมื่อครู่นี้ร้อนมากๆ” หนิงเสวี่ยยิ้มอย่างมีความสุข เวลานี้เอง ทงซินเปลื้องชุดออกในเพียงพริบตา ความเร็วของนางเหนือกว่าหนิงเสวี่ยก่อนหน้านี้อยู่หลายเท่า ก่อนที่เย่หวูเฉินจะทันได้หยุดนาง นางก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยร่างกายที่เปล่าเปลือย หนิงเสวี่ยขยับอยู่ด้านข้าง ให้ที่ว่างแก่ทงซิน
หลังจากที่เย่หวูเฉินมีสัมพันธ์กับเหยียนจื่อเมิ่ง เขาได้ลิ้มรสชาติของโลหิต ความต้านทานในใจกลายเป็นน้อยลง เขาไม่กล้ามองทงซินอีกและเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว เลือดลมในร่างพลุ่งพล่านในทันที
เสียงตกลงในน้ำดัง “จ๋อม” ทงซินโดดเข้าอ่างน้ำด้วยตัวเอง กวักน้ำรดเล่นกับหนิงเสวี่ย เย่หวูเฉินลอบถอนหายใจโล่งอก เขาหันกายมาอีกครั้ง มองพวกนางหัวเราะเล่นน้ำกัน
มองดูหนิงเสวี่ยมีความสุข กลายหนึ่งในความเพลิดเพลินที่สุดของเขาอย่างไม่รู้ตัว
“ทงซิน จำไว้ว่าคอยปกป้องเสวี่ยเอ๋อร์ไว้และอย่าให้ใครเขาเข้ามาที่นี่ เข้าใจรึเปล่า?” เย่หวูเฉินกล่าว ห้องพักนี้ถูกเช่าไว้เป็นเวลาสิบวัน
ทงซินผู้น่ารักไม่ได้พยักหน้าตอบรับในทันที กลับกันนางมองเขาอย่างสงสัย หนิงเสวี่ยถามคำถามที่อยู่ในใจของพวกนางทันที “ท่านพี่จะไปไหนเหรอ?”
เย่หวูเฉินไม่ได้พยายามปิดบัง เขาตอบด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “ที่นี่อยู่ใกล้ภูเขาไฟเทียนเม่ยมากที่สุด ข้าจะกลับมาหลังจากได้สิ่งที่ต้องการ อาจใช้เวลา 2-3 วัน หรือบางทีข้าอาจกลับมาพรุ่งนี้เลยก็ได้”
ทงซินและหนิงเสวี่ยกังวลพร้อมกัน หนิงเสวี่ยเกาะขอบอ่างด้วยมือสองข้างและถามอย่างกังวล “ท่านพี่ พาข้าไปด้วยสิ ข้าอยากไปกับท่าน”
“แต่ว่าที่นั่นร้อนมากๆ…”
“ข้าไม่กลัวความร้อน ไม่กลัวแม้แต่น้อย ข้าไม่อยากห่างท่านพี่นานๆ ท่านสัญญาแล้วว่า ไม่ว่าท่านจะไปที่ใด ท่านจะไม่ทิ้งข้าไว้” หนิงเสวี่ยส่ายศีรษะด้วยเรี่ยวแรงที่มี ทงซินมองที่เขาด้วยสีหน้าแน่วแน่ นางจะไม่ยอมให้เขาไปในที่อันตรายโดยตัวคนเดียว
แม้จะคาดคิดผลลัพธ์เช่นนี้เอาไว้แล้ว เขาก็ยังไม่อาจอดยิ้ม “ตกลง… ข้าคงไม่อาจห้ามพวกเจ้าทั้งสองคน แต่พวกเจ้าต้องเชื่อฟังถ้อยคำของข้าทุกคำ”
หนิงเสวี่ยพยักหน้าด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด จากนั้นจุ่มร่างลงไปในน้ำอีกครั้ง เพื่อให้อุ่นใจขึ้น นางผ่อนคลายในน้ำสะอาดเย็นและร่างเรียบลื่นของทงซิน
เพื่อไม่ให้หนิงเสวี่ยต้องรู้สึกร้อนมาก เย่หวูเฉินจึงรอให้ตะวันยามบ่ายพ้นไป เขาทานอาหารร่วมกับหนิงเสวี่ยและทงซิน จากนั้นออกจากที่พัก ไม่สนใจเงินที่จ่ายจองไว้อีกเก้าวัน เมื่อเทียบกับเงินที่หวังเวิ่นชูมอบให้มา เงินจำนวนนี้เหมือนกับหยดน้ำในมหาสมุทรที่ไม่นับเป็นสิ่งใด
ตะวันได้คล้อยลง ความร้อนจากภูเขาไฟเทียนเม่ยยังคงทำให้หนิงเสวี่ยยากที่จะทานทน หลังจากเดินมาเพียงระยะทางสั้นๆ เม็ดเหงื่อก็ผุดร่วงบนหน้าผากของนางอีกครั้ง แต่นางไม่ร้องบ่นออกมา เพียงพิงอยู่กับอกเขาอย่างเงียบงัน
เมื่อออกมาจากเมืองเหยียนหลง ท้องฟ้าทิศใต้เรืองแสงสีแดงเป็นผืนกว้างใหญ่ เย่หวูเฉินและทงซินไม่เดินอ้อยอิ่ง พวกเขาเร่งเพิ่มความเร็วมุ่งไปข้างหน้า จากการคำนวณของเย่หวูเฉิน ด้วยความเร็วนี้พวกเขาจะไปถึงจุดหมายภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง
ยิ่งพวกเขาเดินเร็ว อุณภูมิโดยรอบก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น มีคนไม่มากที่เหยียบย่างมาในแดนใต้ของเมืองเหยียนหลง เพียงเวลาไม่นานหนิงเสวี่ยก็ชุ่มไปด้วยเหงื่ออุ่น นางปาดเหงื่อออกหลายครั้ง แต่นางกัดฟันไม่ยอมร้องบ่นเพื่อไม่ให้พี่ชายต้องกังวล
น้ำรดมาจากข้างบนกะทันหัน ร่างนางเปียกโชกด้วยความเย็นสบาย “ดีขึ้นรึเปล่า?” เย่หวูเฉินก้มศีรษะถามอย่างกังวล อุณหภูมิโดยรอบตอนนี้สูงกว่า 40 องศา ราวกับว่ากำลังอยู่กลางทะเลทรายอันร้อนระอุ
“อื้ม ท่านพี่ไม่ต้องห่วงข้า ข้าไม่กลัวร้อนจริงๆ” หนิงเสวี่ยพยักหน้า จากนั้นส่ายศีรษะอีกครั้ง
เย่หวูเฉินวางถุงน้ำลงในมือนาง “ดื่มน้ำเยอะๆ อย่าห่วงเลย เดี๋ยวเราก็ถึงแล้ว”
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง พวกเขามาถึงครึ่งทาง ตอนนี้เบื้องหน้าปรากฎสวนขนาดใหญ่ทำจากกระเบื้องและศิลาแลง เย่หวูเฉินรู้สึกแปลกใจ เหตุใดจึงมีคนสร้างบ้านเรือนอาศัยอยู่ที่นี่? เมื่อเห็นตัวอักษร “หนานกง” บนประตูสีแดงเข้มเขาก็เข้าใจได้ในทันที
ตระกูลหนานกงนับเป็นหนึ่งในตระกูลเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดของอาณาจักรเทียนหลง พวกเขาคือเหล่านักเวทย์ธาตุไฟ เวทย์ในทวีปเทียนเฉินนั้นต่างจากเวทย์ตะวันตกที่เย่หวูเฉินเคยรู้จัก ในทวีปเทียนเฉินการปลดปล่อยพลังเวทย์ไม่จำเป็นต้องร่ายคำ ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อกับธาตุใดๆ ขอเพียงมีพลังและเวลาในการควบคุมธาตุ ด้วยเหตุนี้ การฝึกพลังเวทย์จึงไม่จำเป็นต้องใช้ตำราคาถา เพียงควบคุมธาตุอย่างอิสระและเปลี่ยนธาตุให้เป็นพลัง ซึ่งแล้วแต่ว่าใครจะเหมาะกับทักษะแบบใด หรือแล้วแต่ว่าใครจะชอบทักษะแบบไหน ยิ่งฝึกฝนจนมีพลังเวทย์ขั้นสูง พวกเขาจะสามารถควบคุมธาตุโดยใช้เวลาน้อยลง และสามารถควบรวมพลังธาตุได้มากขึ้น โดยปกติ สามารถจำแนกระดับพลังได้เป็น ชั้นต้น , ชั้นกลาง , และชั้นสูง ยิ่งมีระดับพลังสูงก็ยิ่งมีพลังเวทย์หนาแน่น
โดยทั่วไปยิ่งใช้เวทย์ทรงพลัง ธาตุที่ต้องใช้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ตราบใดที่มีเวลารวบรวมเพียงพอ พวกเขาจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังสูงกว่าได้
ตระกูลหนานกงตั้งอยู่ทางใต้สุดซึ่งสอดคล้องกับคำว่า “หนาน” ตอนนี้เย่หวูเฉินรู้แล้วว่าพวก “หนาน” เหล่านี้อยู่ใต้ถึงเพียงใด สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้ภูเขาไฟเทียนเม่ยมากที่สุด ที่ซึ่งธาตุไฟหนาแน่นและตื่นตัว นับว่าเป็นที่เหมาะสมสำหรับการฝึกพลังเวทย์ธาตุไฟเป็นอย่างยิ่ง
เท่าที่เขารู้มา หลินเหยียนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “นักเวทย์ธาตุไฟอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลง” ก็ยังต้องรับการฝึกฝนจากตระกูลหนานกง เขาอาศัยอยู่กับตระกูลหนานกงจนกระทั่งอายุมากกว่า 40 ปี หลังจากนั้นเขากลับตระกูลที่เมืองเทียนหลง เขาบรรลุขอบเขตสวรรค์ที่ปรารถนามานานหลังจากอายุมากกว่า 50 ปี แม้เขาจะถูกเรียกว่านักเวทย์ธาตุไฟอันดับหนึ่ง แต่เย่หวูเฉินก็เชื่อว่า ต้องมียอดฝีมือของตระกูลหนานกงบางคนที่มีพลังสูงล้ำยิ่งกว่าหลินเหยียน เพียงแต่พวกเขาไม่เป็นที่รู้จักเท่านั้น
เย่หวูเฉินไม่หยุดเท้า พวกเขาอ้อมสวนของตระกูลหนานกงและมุ่งหน้าต่อ เมื่อน้ำบนร่างของหนิงเสวี่ยแห้งลง เขาก็เติมน้ำให้นางอีก ไม่ปล่อยให้นางต้องทรมาน
พวกเขาเดินมาอีกเกือบสิบนาทีก็เห็นไอร้อนที่บิดเบือนอากาศ หนิงเสวี่ยเริ่มหอบหายใจ ลมหายใจนางที่สัมผัสหน้าเขาเต็มไปด้วยความร้อน
“เสวี่ยเอ๋อร์ อดทนอีกนิดเดียว อีกนิดเดียวพวกเราก็จะไปถึงที่หมาย เมื่อถึงตอนนั้น พี่ชายเจ้ามีวิธีทำให้เจ้าไม่ต้องรู้สึกร้อน” ขณะที่เย่หวูเฉินกล่าว เขานำน้ำออกมาจากแหวนเทพกระบี่รดร่างของนางอีก
หนิงเสวี่ยพยักหน้าและพิงร่างกับเขา
ก้อนหินแตกกระจัดกระจายทั่วบริเวณรกร้าง ไม่อาจมองเห็นต้นไม้พืชพันธุ์ใดๆ แต่พวกเขาสามารถมองเห็นร่องรอยเหยียบย่ำของผู้คนที่ผ่านไปมา บางครั้งพวกเขาก็สะดุดเศษหินแตกโดยไม่ทันระวัง คิดไม่ถึงว่าเพียงสะดุดหินก็สามารถทำให้เกิดประกายไฟ
ท้องฟ้าเหนือศีรษะไม่ได้เป็นสีฟ้าอีกต่อไป มันแทนที่ด้วยสีแดงสว่างจ้ากลบสีฟ้าไว้สิ้น เบื้องหน้าทางไกลไม่ใช่ยอดเขาสูงเสียดฟ้า ภูเขาทั้งลูกเป็นสีแดงเพลิง กระทั่งท้องฟ้าและพื้นที่รอบมันก็โชติช่วงด้วยสีแดง บริเวณหลายลี้รอบภูเขาไฟเทียนเม่ยมีอุณภูมิร้อนแรงพอทำให้ผิวหนังพุพอง แม้แต่คนที่อาศัยอยู่ใกล้ภูเขาไฟเทียนเม่ยมากที่สุดในโลกยังไม่อาจทานทนได้
สถานที่ร้อนที่สุดในทวีปเทียนเฉินสมควรเป็นนรกหินหลอมเหลวที่สร้างปัญหาให้แก่ผู้คนที่เข้าใกล้
สถานที่แห่งนี้ยากที่จะย่างเท้าเข้าไป แต่เบื้องหน้าของเย่หวูเฉินปรากฎร่างที่ค่อยๆใกล้เข้ามา เมื่อเห็นคนผู้นั้นชัดเย่หวูเฉินก็รู้สึกตกใจ และคนผู้นั้นก็ตกใจเช่นกัน
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
ชายหนุ่มอายุราว 20 ปี ร่างลักษณะโดดเด่น สายตาเขามองผ่านทงซินและหนิงเสวี่ยก่อน และเผยสีหน้าตกใจในตอนแรก เมื่อเขามองที่เย่หวูเฉิน เขาดูไม่แน่ใจอย่างหนักคล้ายไม่เชื่อตาตัวเอง เขาส่ายศีรษะ “เจ้าคือ… เจ้าแซ่เย่ใช่หรือไม่?”
“พี่หนานกง ข้าคือเย่หวูเฉิน” เย่หวูเฉินหยุดเดินและตอบด้วยรอยยิ้ม คนผู้นี้คือนักเวทย์ไฟหนานกงเจิ้นที่พ่ายแพ้ให้แก่เล่งหยาในวันประลอง เย่หวูเฉินให้ความสนใจคนผู้นี้ก่อนที่จะจดจำเขาไว้ในใจ
เมื่อหนานกงเจิ้นได้ยินคำ เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แต่เขาปิดบังความตื่นเต้นไว้แล้วกล่าว “ที่แท้เจ้าก็คือนายน้อยเย่แห่งเมืองเทียนหลง ดีใจจริงๆที่ได้พบเจ้า ในวันนั้นที่เมืองเทียนหลง ข้าได้เห็นความสามารถของเจ้ากับตา และเกือบคิดว่าเจ้าเป็นเทพจากสวรรค์ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาพบเจ้าที่นี่… โอ้? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าแซ่ของข้าคือหนานกง?”
“วันนั้นข้าเห็นพรสวรรค์ยอดเยี่ยมของพี่หนานกง เลยเป็นการง่ายที่จะจำบุคคลโดดเด่นเช่นท่าน”
หนานกงเจิ้นหัวเราะอย่างเปิดเผย “นายน้อยเย่ เจ้ายกย่องข้าเกินไปแล้ว ทักษะเวทย์อันอ่อนด้อยของข้าคงไม่อยู่ในสายตาเจ้า อันที่จริง… เจ้ามาที่นี่ทำไม? ยิ่งกว่านั้นเจ้ายัง…” เขาส่งสายตามองไปที่หนิงเสวี่ยและทงซิน เขาไม่เข้าใจเลยว่าเย่หวูเฉินมีเหตุผลอะไรที่ต้องพาเด็กสองคนมาด้วย
เย่หวูเฉินตอบตามตรง “พวกข้ากำลังจะไปที่ภูเขาไฟเทียนเม่ย”
“ภูเขาไฟเทียนเม่ย?” หนานกงเจิ้นตกใจและแนะนำให้เลิกล้มความคิด “เจ้าไม่ควรไปที่นั่น ไม่ต้องพูดถึงที่บนปากปล่อง กระทั่งตีนเขาคนธรรมดายังไม่สามารถเข้าใกล้ หากเจ้าก้าวเข้าไปในภูเขาไฟ เจ้าอาจกลายเป็นเถ้าธุลีในชั่วพริบตา นายน้อยเย่ เจ้าต้องไม่ไปที่นั่น!”
กระทั่งในตระกูลหนานกง มีรุ่นปู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปถึงปากปล่องภูเขาไฟได้ การเข้าไปยังใจกลางภูเขาไฟเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ และเท่าที่เขารู้ แม้ระดับพลังของเย่หวูเฉินจะนับว่าดีแต่เขายังไม่ถึงขอบเขตวิญญาณอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาไม่แกร่งพอที่เหยียบเท้าเข้าภูเขาไฟแม้เพียงขณะเดียว
แต่ทันใดนั้น การค้นพบน่าตระหนกทำให้เขาตกใจ
แม้ที่ตรงนี้จะยังไกลจากภูเขาไฟเทียนเม่ย แต่อุณหภูมิก็สูงจนคนทั่วไปไม่อาจทนได้ ด้วยความร้อนระดับนี้ คนธรรมดาย่อมหลั่งเหงื่อท่วมกาย , มึนงง , ไร้เรี่ยวแรง และกระทั่งยากจะหายใจ หนานกงเจิ้นที่คุ้นชินกับธาตุไฟยังรู้สึกทรมานเล็กน้อย ร่างกายเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ แต่นอกจากสาวน้อยผมขาวแล้ว เย่หวูเฉินกับสาวน้อยชุดดำดูคล้ายไม่รู้สึกสิ่งใด สีหน้าของพวกเขาสงบธรรมดาร่างกายไร้เหงื่อแม้แต่เพียงหยดเดียว
แล้วจะให้เขาไม่ตกใจได้อย่างไร?