📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 185

บทที่ 185 - หนิงซือฮวา
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ท่านเจ้าตำหนัก!

ทุกคนตกตะลึงและจำตัวตนผู้เป็นเจ้าของเสียงกังวานนี้ได้

ชิ้ง!

ลี่เฟิงสิงสะบัดข้อมือของตนเอง และทันใดนั้นปราณดาบที่หนาแน่นก็สลายหายไปอย่างฉับพลัน ก่อนร่างเงาของเขาซึ่งดูคล้ายกับก้อนเมฆสลายไปก่อนจะค่อย ๆ ร่อนกลับลงพื้นราวกับนกนางแอ่นที่กลับมายังรัง

ท่วงท่าที่เคลื่อนไหวนั้นสวยงามนัก

ซูอี้อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างลับ ๆ

ความสำเร็จทางวิถีดาบของคนผู้นี้แม้จะนับได้ว่าไม่ต่างจากมือใหม่ในสายตาของซูอี้ แต่กระนั้นหากเทียบกับอำนาจของยันต์ดาบจากปรมาจารย์สำนักวงเดือน คนผู้นี้นับว่าไม่ด้อยกว่า

กระนั้นแน่นอนว่าถ้าลี่เฟิงสิงฟาดฟันดาบของเขาออกมา ซูอี้ย่อมเติมเต็มความปรารถนาที่จะตายของอีกฝ่ายให้

บนถนนที่เชิงเขาซึ่งไม่ไกลนัก มีสามร่างกำลังเดินมา

ผู้นำเป็นสตรีที่สวมชุดลายเมฆสีม่วงเข้มไว้ผมยาวมัดเป็นมวย

นางมีรูปร่างที่เล็กกะทัดรัดและใบหน้าเยาว์วัยไร้เดียงสา ราวกับว่านางอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปีเท่านั้น แต่ทว่าทั้งร่างกายของนางเผยซึ่งกลิ่นอายอันลึกล้ำยิ่งใหญ่ มากกว่าผู้ใดทั้งบริเวณ

หืม?

เมื่อซูอี้เห็นสตรีนางนี้ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าแปลก ๆ พลันบังเกิดซึ่งหายากที่เขาจะทำ

ภายใต้กลิ่นอายอันลึกล้ำของหญิงสาว ซูอี้สัมผัสได้ถึงพลังแขนงหนึ่งซึ่งมันคือ ‘พลังแห่งการฟื้นคืนและอ่อนเยาว์’

สิ่งนี้น่าสนใจ

ไม่ว่าสตรีนางนี้จะเป็นนางเฒ่าหรือมีสายเลือดไม่เหมือนใครตั้งแต่กำเนิด การมีพลังเช่นนี้ได้ยังคงนับว่าวิเศษนัก

เพราะในโลกนี้แม้แต่ผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิด หรือที่รู้จักกันในนามเทพเซียนเดินดิน เท่าที่ซูอี้รู้นั้นยังไม่มีใครครอบครองพลังแห่งความเยาว์วัยเช่นนี้ได้สักคน

สองคนที่เดินเคียงข้างมากับสตรีซึ่งเป็นผู้นำกลุ่ม คนหนึ่งเป็นชายชราซ่อนมืออยู่ในแขนเสื้อ และอีกคนหนึ่งคือชายวัยกลางคนร่างผอมบางที่มีเคราและรอยแผลเป็นบนหน้าผาก

“ท่านอาซูอี้ ผู้ที่มาคือเจ้าตำหนักของเรา ส่วนอีกสองท่านคือผู้อาวุโสลำดับหนึ่งและผู้อาวุโสลำดับสอง!”

ด้วยโอกาสนี้ เจิ้งมู่เหยาจึงกระซิบอธิบายให้ซูอี้ได้ทราบถึงสถานะผู้มาใหม่อย่างรวดเร็ว ใบหน้าเล็ก ๆ อันบอบบางของนางเต็มไปด้วยความหวาดเกรงและความกลัว

เมื่อนั้นซูอี้จึงรู้ว่าใครมา

หนิงซือฮวา นายเหนือหัวแห่งตำหนักเทียนหยวน

ปรมาจารย์วิถียุทธ์ในตำนาน!

นางมีต้นกำเนิดที่ลึกลับ อาศัยอยู่ในตำหนักเทียนหยวนมายี่สิบปี หากไม่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษเพื่อฝึกฝน นางก็จะออกเดินทางท่องไปในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งคนทั่วไปไม่กล้าย่างกราย และดูจะไม่ค่อยสนใจเรื่องทางโลกเท่าใดนัก

แม้แต่กิจการภายในของตำหนักเทียนหยวนนางก็แทบจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว

อันที่จริงแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ศิษย์ส่วนใหญ่ในตำหนักเทียนหยวนต่างก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของนางด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าฉงนใจนัก

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หากจะถามว่าใครคือผู้มีอำนาจมากที่สุดของตำหนักเทียนหยวน ทุกคนย่อมตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าคือนาง!

ซูอี้จำได้ว่าเมื่อวานตอนที่คุยกับโจวจือหลี อีกฝ่ายพูดว่าราชครูแห่งต้าโจวหงเซินชาง เคยกล่าวไว้ว่าในบรรดาสิบตำหนักยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก หนิงซือฮวาเจ้าตำหนักเทียนหยวนนั้นคือผู้ที่ลึกลับและยากที่จะหยั่งถึงมากที่สุด

ส่วนชายชราด้านข้างหนิงซือฮวาคือผู้อาวุโสสูงสุดซ่างเจิน เขาคือปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นที่ห้า อีกเพียงก้าวเดียวจะสำเร็จเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์

อีกด้านหนึ่งชายวัยกลางคนผอมบางที่มีเคราและรอยแผลเป็นบนหน้าผากคือผู้อาวุโสลำดับสองหานจ้ง ระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นที่สี่

การปรากฏกายของหนิงซือฮวาผู้ซึ่งแทบไม่เคยจะปรากฏตัวให้ใครเห็นเช่นนี้ อีกทั้งยังมาพร้อมกับผู้อาวุโสอีกสองคน ทำให้ทุกคนตะลึงงัน การแสดงออกของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“เคารพท่านเจ้าตำหนัก!”

หวังเจี่ยนฉง ลี่เฟิงสิง เซี่ยงหมิง และศิษย์คนอื่น ๆ ต่างรีบเดินมารวมตัวกันเพื่อแสดงความเคารพ

บรรยากาศโดยรอบยิ่งหนักอึ้ง

มีเพียงซูอี้เท่านั้นที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ขยับเขยื้อนซึ่งดูสะดุดตามาก

หลังจากที่หนิงซือฮวามาถึง นางเดินตรงไปที่ร่างของฉู่ข่งเฉาและมองดู

เมื่อเห็นเช่นนี้หวังเจี่ยนฉงจึงรีบเร่งก้าวเข้าหาและอธิบายว่า “ท่านเจ้าตำหนัก บัดนี้…”

“ข้ารู้แล้ว”

หวังเจี่ยนฉงหยุดพูดและนิ่งเงียบ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หนิงซือฮวาหันกลับและกล่าวออก “ผู้อาวุโสลำดับสองท่านจงมาจัดการกับร่างของฉู่ข่งเฉา”

หานจ้งพยักหน้ารับคำในทันที ถัดมาเขายกร่างของฉู่ข่งเฉาขึ้นบ่าและเดินจากไป

หนิงซือฮวาพูดอีกครั้ง “ผู้อาวุโสสูงสุด ท่านพาศิษย์เหล่านี้ออกไป”

“รับทราบ!” ซ่างเจินพยักหน้าพร้อมกับประสานมือ

จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปทางเซี่ยงหมิงและศิษย์คนอื่น ๆ ก่อนจะกล่าวสั่งอย่างเฉียบขาด “ตามข้ามา”

หลังออกคำสั่งเสร็จเขาวางมือไพล่หลังและเดินจากไปพร้อมกับเหล่าศิษย์

แม้ว่าเซี่ยงหมิงและคนอื่น ๆ จะอยากรั้งอยู่ต่อเพื่อดูเรื่องสนุก แต่เมื่อแลเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงระงับอารมณ์ภายในของตัวเองและติดตามผู้อาวุโสสูงสุดอย่างเชื่อฟัง

เจิ้งมู่เหยาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองที่ซูอี้ซึ่งพยักหน้าแสดงสัญญาณอนุญาตให้นางไป

แต่ทว่าเมื่อเขาเห็นเหวินหลิงเจาจะเดินออกไปด้วย ซูอี้ขมวดคิ้วอย่างฉับพลันและกล่าวว่า “เจ้าจะจากไปได้ก็ต่อเมื่อเรื่องระหว่างเจ้าและข้าจบลงโดยสมบูรณ์”

เพียงคำพูดหนึ่งประโยคนี้ บรรยากาศที่หนักอึ้งอยู่แล้วพลันดิ่งฮวบยิ่งกว่าเดิม ผู้คนต่างหันไปมองที่ซูอี้ด้วยแววตาตกตะลึง

ไม่มีใครคาดคิดว่าซูอี้จะอหังการขนาดนี้แม้จะอยู่ต่อหน้าเจ้าตำหนักเทียนหยวน ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เป็นตาย!

หัวใจของเจิ้งมู่เหยาแทบจะกระดอนออกจากอก นางอดไม่ได้ที่จะมองเตือนซูอี้ ตอนนี้หาใช่เวลาที่ท่านจะอหังการไม่!!

เซี่ยงหมิง เถียนตง และคนอื่น ๆ ต่างก็แอบดีใจ ชายคนนี้ต้องตายเป็นแน่แท้! แม้แต่รองเจ้าตำหนักหวังเจี่ยนฉงยังไม่กล้าพูดหากไม่ได้รับอนุญาต แต่กระนั้นเจ้าเป็นคนนอกแต่กลับกล้าพูดจาโอหังเช่นนี้ขึ้นมาเจ้าจะรอดได้อย่างไร?

เหวินหลิงเจาตกตะลึงยิ่งกว่าใคร ใบหน้าที่เย็นชาของนางแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด และความรู้สึกปั่นป่วนอันไม่อาจอธิบายปะทุขึ้นในใจของนางอย่างฉับพลัน

เขา… ยังคิดเรื่องสัญญานั้น… เขาไม่กังวลว่าจะถูกสังหารเลยงั้นหรือ?

หวังเจี่ยนฉงอดไม่ได้ที่จะลอบเยาะเย้ยซูอี้ เขาเคยเห็นคนรนหาที่ตายมากมาย แต่เขาไม่เคยคนใดที่โง่เง่าถึงขนาดนี้ เจ้าหนุ่มผู้นี้คิดจริง ๆ หรือว่าถ้าเขามีพลังพอที่จะฆ่าปรมาจารย์ แล้วจะสามารถแสดงท่าทางโอหังต่อหน้าเจ้าตำหนักของเราได้?

ดวงตาของทุกคนหันไปหาหนิงซือฮวาโดยไม่รู้ตัวnovelgu.com

แต่ทว่าใบหน้าของหนิงซือฮวายังไร้เดียงสาอยู่เช่นเดิม นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำออก “เช่นนั้นเหวินหลิงเจาเจ้าจงรั้งอยู่ก่อน”

คำพูดของซูอี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่คำตอบของหนิงซือฮวาทำให้ทุกคนตกตะลึงยิ่งกว่า

เกิดอะไรขึ้น?

เหตุใดเจ้าตำหนักจึงยอมอ่อนข้อให้คนนอกผู้นี้?

ความปีติยินดีในเซี่ยงหมิงและคนอื่น ๆ หายไปในทันที ความรู้สึกหดหู่และสูญเสียประดังประเดเข้ามาแทนที่ พวกเขาทั้งหมดแทบจะอาเจียนเป็นโลหิต

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก

ในบรรยากาศที่ฉงนนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดซ่างเจินได้นำเซี่ยงหมิง และคนอื่น ๆ ออกไป และในไม่ช้าที่กลางลานก็เหลือแต่เพียงหนิงซือฮวา หวังเจี่ยนฉง ลี่เฟิงสิง เหวินหลิงเจาและซูอี้

เหวินหลิงเจาเม้มปากและไม่พูดสิ่งใด แต่ใจของนางปั่นป่วนอย่างรุนแรง

นางยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ทำลายความรู้ความเข้าใจของนางไปจนหมดสิ้น ดังนั้น ณ เวลานี้ นางจึงรู้สึกคล้ายว่าตัวเองกำลังฝันอยู่

หวังเจี่ยนฉงและลี่เฟิงสิงก็มีความสงสัยอยู่ในใจเช่นกัน การที่ท่านเจ้าตำหนักปรากฏตัวเช่นนี้เพื่อจัดการกับซูอี้คนนี้ไม่ใช่หรือ แต่เหตุใดเจ้าตำหนักถึงขับไล่คนอื่น ๆ ออกไป?

ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ซูอี้เดินตรงไปที่ก้อนหินข้างต้นสนและฝนพู่กันกับหินหมึก

เขาไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว

เมื่อเห็นการกระทำของเขา หวังเจี่ยนฉงและลี่เฟิงสิงก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาของตนเอง

ชายผู้นี้ไม่เห็นเจ้าตำหนักของพวกเขาอยู่ในสายตาจริง ๆ!

ในเวลานี้หนิงซือฮวาก้าวฝีเท้าของตัวเองอย่างแผ่วเบา มาที่ด้านข้างของซูอี้ นางดูอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยและพูดว่า “เหตุใดสหายเต๋าถึงยึดติดกับกระดาษแค่แผ่นเดียวนัก?”

สหายเต๋า?

ซูอี้หยุดมือในทันที

สรรพนามนี้ทำให้เขารู้สึกถึงอารมณ์ที่หายไปนานในหัวใจ ดวงตาของเขาเหม่อลอยเล็กน้อย

ภาพความทรงจำชาติก่อนแวบเข้ามาในหัวราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

สหายเต๋า…

คำนี้ทำให้ข้าคิดถึงจริง ๆ

ซูอี้ลืมตาขึ้นและมองไปที่เจ้าตำหนักเทียนหยวน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความลึกลับและกล่าวว่า

“ในเมื่อเจ้ารู้ทุกอย่างแล้ว เหตุใดเจ้ายังคงถามคำถามนี้ หรือเพราะเจ้ากำลังวางแผนจะหยุดข้า?”

แม้ประโยคคำถามนี้จะเรียบง่าย แต่กลับแฝงถึงความนัยที่ลึกล้ำ อีกทั้งยังท้าทายหาได้กลัวเกรงไม่

ดวงตาของเหวินหลิงเจาเบิกกว้าง อารมณ์ของนางยิ่งไม่อาจสงบลง

หวังเจี่ยนฉงเผยสีหน้าขุ่นเคืองอย่างชัดเจน ปากเปิดอ้าเล็กน้อยราวกับอยากจะเอ่ยบางคำออก

ทว่าหนิงซือฮวาส่ายศีรษะเล็กน้อยและกล่าวออก “ข้าแค่ไม่เข้าใจ มันก็แค่เพียงสถานะทางโลกหาได้สำคัญใด ๆ ไม่ เหตุใดท่านถึงให้ความสำคัญต่อมันนัก”

หวังเจี่ยนฉงกลืนคำพูดของตนเองกลับมา หว่างคิ้วของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เหตุใดมันคล้ายว่าทั้งคู่กำลังพูดคุยกันเรื่องที่เขาไม่อาจรู้แจ้ง?

เขาเหลือบมองลี่เฟิงสิงข้าง ๆ เขาซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน

“ในโลกปุถุชนนี้หากข้าต้องการจะหลุดพ้น ข้าจะต้องหมดสิ้นความกังวลทั้งหลายในจิตใจ ทำลายกำแพงกั้นภายในอก หากข้าละเลยต่อมัน ไหนเลยข้าจะสามารถทำลายบ่วงพันธะที่รั้งอยู่เอาไว้ได้ สิ่งนี้เจ้าควรรู้ดีอยู่แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องถามข้าอีก?”

ซูอี้เอ่ยตอบอย่างใจเย็น

หลังจากเอ่ยจบ เขาก็เริ่มที่จะฝนหินหมึกอีกครั้ง

“ตัดความกลัดกลุ้มในหัวใจ ทลายกำแพงกั้นภายในอก…”

หนิงซือฮวาทวนคำซ้ำก่อนพยักหน้าและพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็นับว่าเข้าใจได้ แต่ก่อนที่จะทำสัญญานี้ สหายเต๋าคิดว่าเราควรยุติเรื่องราววันนี้อย่างไรดี”

หวังเจี่ยนฉงและลี่เฟิงสิงมองหน้ากัน หัวใจทั้งสองต่างเต้นระทึก ในที่สุดเจ้าตำหนักจะลงมือแล้วใช่หรือไม่?

ซูอี้วางหินหมึกออกไป หันกลับมามองหญิงสาวคนนี้ที่อยู่ใกล้มือ และพูดอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อเจ้าเข้าใจบ้างแล้ว เจ้าก็ควรจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ การเป็นศัตรูกับซูผู้นี้ผลที่ตามมาจะร้ายแรงยิ่งยวด”

“โอหัง!”

หวังเจี่ยนฉงอดไม่ได้ที่จะตวาดลั่น “ซูอี้ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงข่มขู่เจ้าตำหนักของพวกข้า เจ้ามันสมควรตาย!”

ซูอี้ย่นคิ้วเล็กน้อย

แต่กระนั้น หนิงซือฮวากลับถอนหายใจเบา และเอ่ยถ้อยคำอย่างราบเรียบ “ข้าปล่อยให้สหายเต๋าเห็นภาพน่าละอายแล้ว”

หลังจากสิ้นประโยค หนิงซือฮวาโบกมือขวาอย่างแผ่วเบาไปทางหวังเจี่ยนฉงซึ่งอยู่ไม่ห่างนัก

ตูม!

ไม่ไกลนัก หวังเจี่ยนฉงเหมือนเรือแจวที่โดนคลื่นทะเลโหมกระหน่ำ ร่างลอยกลับหัวกลับหาง กระแทกอย่างแรงเข้ากับหน้าผา โลหิตทะลักออกจากทั้งจมูกปากก่อนร่างจะร่วงกราวลงมาสู่พื้นอย่างน่าสังเวช

ลี่เฟิงสิงตกตะลึงจนตัวสั่น เขาไม่คิดว่าเจ้าตำหนักจะโจมตีหวังเจี่ยนฉงในทันใดเช่นนี้!

เหวินหลิงเจาก็ตกตะลึงเช่นกัน นางไม่อาจหาเหตุผลได้เลยว่าเหตุใดเจ้าตำหนักถึงลงโทษคนของตัวเอง

“ท่าน…”

หวังเจี่ยนฉงพยายามลุกขึ้นจากพื้น ศีรษะของเขามึนงง สีหน้าของเขาโง่งมไม่เข้าใจ

หนิงซือฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและไพเราะว่า “ไปที่ ‘ผาสำนึกตน’ ด้วยตัวเอง ภายในหนึ่งปีนี้อย่าได้ก้าวออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว”

“นี่…” หวังเจี่ยนฉงตะลึงงัน

ผาสำนึกตน!

มันเป็นสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดในตำหนักเทียนหยวน ผู้คนที่กระทำผิดพลาดร้ายแรงมักถูกส่งไปยังผาสำนึกตน ที่ซึ่งพวกเขาถูกลมและฝนทรมานทั้งกลางวันและกลางคืน

การถูกคุมขังที่ผาสำนักตนเป็นเวลาหนึ่งปีนับเป็นโทษหนัก เพราะแม้แต่ปรมาจารย์อย่างหวังเจี่ยนฉงก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากนั้นร่างกายของตนเองจะเสียหายถึงเพียงใดจากลมและฝนนี้!

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset