📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 186

บทที่ 186 - พลังแห่งการแปรเปลี่ยน
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

หวังเจี่ยนฉงดิ้นรนออกจากเศษซากหินที่หล่นทับกาย เขาหายใจเข้าลึก ๆ และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

หนิงซือฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “เจ้ามีอะไรจะพูดอีกงั้นหรือ?”

แม้น้ำเสียงจะไพเราะ แต่มันกลับแฝงซึ่งไอเย็นเยือกชวนให้ขนลุก

หวังเจี่ยนฉงรู้สึกว่าหัวใจตนเองราวกับถูกน้ำแข็งเกาะ เขาประสานมือพร้อมกับก้มศีรษะและกล่าวว่า “ผู้น้อยจะทำตามคำสั่งของเจ้าตำหนักอย่างเคร่งครัด”

หลังจากนั้นเขาหันหลังกลับ เดินโซเซไปด้วยความขมขื่นและความสับสนที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ท้ายที่สุดเขาคือรองเจ้าตำหนักผู้ซึ่งจำเป็นต้องทำตามคำสั่งของผู้มีตำแหน่งเหนือกว่า แต่เขายังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านตำหนักจึงต้องลงมือหนักกับเขาเช่นนี้ด้วย?

หวังเจี่ยนฉงไม่เข้าใจ

เมื่อเห็นร่างของอีกฝ่ายเดินลับไป ลี่เฟิงสิงก็ยิ่งไม่สามารถสงบอารมณ์ของตนเองได้ เนื่องจากสถานการณ์ตรงหน้าแปลกประหลาดเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ

สำหรับเหวินหลิงเจานางเลือกที่จะนิ่งเงียบ

แต่ภายในใจของนางกลับพลุ่งพล่านไม่สามารถสงบลงได้เลย ดังนั้นสีหน้าของนางจึงมีทั้งสับสนและมึนงง

ทันใดนั้นจู่ ๆ ซูอี้ก็เอ่ยขึ้น “ตอนนี้ เจ้าช่วยชีวิตไปแล้วถึงสองจากใต้จมูกของข้า”

คำพูดนี้แม้จะคลุมเครือ

แต่ทว่าหนิงซือฮวาเข้าใจมันในทันที นางตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่นี้ท่านพูดถูก ในโลกทางย่อมมีโซ่ตรวนคอยพันธนาการเรา ดังนั้นแล้วด้วยฐานะที่ข้าเป็นเจ้าตำหนักเทียนหยวน หากข้าต้องการมีสมาธิในการฝึกฝน ข้าจำเป็นต้องมีเหล่าผู้คนรายล้อมเพื่อช่วยข้าให้หมดภาระในการทำสิ่งเล็กน้อยที่จำเป็น”

“เช่นนั้นเจ้าวางแผนจะแก้ปัญหาของเราวันนี้อย่างไร”

ซูอี้รู้สึกสนใจนางยิ่งขึ้น

หนิงซือฮวาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เอาเป็นว่าท่านชวนข้าร่ำสุราสักจอกจะว่าอย่างไร”

“สุราหนึ่งจอกสามารถขจัดความคับข้องใจได้งั้นหรือ?” ซูอี้เลิกคิ้วขึ้น

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของหนิงซือฮวา จากนั้นเอ่ยถ้อยคำอย่างเคร่งขรึม “แล้วท่านกับข้าเรามีความคับข้องใจกันหรือไร?”

“ไม่ใช่วันนี้”

ซูอี้ส่ายหัวพลางหยิบพู่กันขึ้นจุ่มลงในหินหมึก แล้วพูดอย่างเฉยเมย “หากมีโอกาสอีกในอนาคต เราค่อยดื่มกันสักจอกก็แล้วกัน”

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า ‘ดื่ม’ ของหนิงซือฮวาคือต้องการสนทนาอย่างเป็นส่วนตัวกับตัวเขา?

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้หญิงลึกลับคนนี้ได้สังเกตเห็นบางอย่างจากความเข้าใจของนางเอง

สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ในสายตาของนาง มันไม่มีค่าพอจะให้นางถอนหายใจด้วยซ้ำไป

แน่นอนซูอี้ก็คิดเช่นกัน

ด้วยความเข้าใจนี้ที่ทัดเทียม พวกเขาทั้งสองคนจึงเหมาะสมแล้วที่เรียกกันและกันว่า ‘สหายเต๋า’

หนิงซือฮวาประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ได้”

นางขยับไปด้านข้างและไม่พูดอะไรอีก

ในทางกลับกัน ซูอี้กลั้นหายใจมองไปที่กระดาษสีขาวที่กางออกบนก้อนหิน

เหวินหลิงเจารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มือเรียบเนียนของนางกำแน่น ความรู้สึกอับอายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในหัวใจบังเกิดขึ้น และอดไม่ได้ที่จะตวาดลั่น “ซูอี้! ข้าพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว ข้ายอมตายดีกว่าทำสัญญานี้ของเจ้า!”

ใบหน้าเย็นชาราวกับหิมะเผยซึ่งความโกรธและไม่ยินยอมอย่างที่สุด ไม่ต้องบอกกล่าวก็รู้ได้ว่านางมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมทำตามความต้องการของซูอี้ต่อให้ชีวิตจะต้องดับสิ้นลงตรงนี้ก็ตาม

หนิงซือฮวาเหลือบมองไปที่เหวินหลิงเจา แต่ยังคงไม่พูดอะไร

ทว่าใบหน้าเรียบเฉยของซูอี้นแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง มีดวงตาของเขาเท่านั้นที่ยังแวววาวประหนึ่งดาบ

จากนั้นเขาเริ่มสะบัดข้อมือ จากนั้นแค่เพียงชั่วอึดใจ บนกระดาษขาว ปรากฏซึ่งลายมืออักษรอันทรงพลังแปดตัวที่เขียนในครั้งเดียว

ฟุ่บ!!

ซูอี้ถอนหายใจยาวพลางปาพู่กันทิ้ง ก่อนจะชี้ไปที่อักษรดำในกระดาษขาวบนก้อนหิน เขาจ้องมองเหวินหลิงเจาที่อยู่ไม่ไกล และกล่าวว่า

“นี่ไม่ใช่จดหมายหย่าและไม่ใช่สัญญา ข้าหาได้สนใจที่จะทำให้เจ้าขายหน้าด้วยเรื่องราวนี้ แต่เจ้ากับข้าเป็นคนแปลกหน้ากันตั้งแต่แรกเริ่ม ระหว่างเราไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสามีภรรยาแต่ในนาม ดังนั้นแล้วนับจากนี้ไป เจ้าและข้าไม่มีความเกี่ยวข้องใดซึ่งกันและกันอีก”

หลังจากนั้น เขาวางมือไพล่หลังก่อนจะหันหลังกลับ

เขาไม่สนใจแม้แต่จะดูปฏิกิริยาของเหวินหลิงเจา หลังจากวันนี้ เหวินหลิงเจาจะอยู่กับเซี่ยงหมิงหรือไม่เขาจะไม่สนใจอีกต่อไป

สำหรับเขาแล้ว เจตจำนงในถ้อยคำบนกระดาษสีขาวนั้นเปรียบเสมือนดาบซึ่งตัดพันธะระหว่างตัวตนของเขาและโลกนี้

“สหายเต๋า…”

หนิงซือฮวาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

ซูอี้หยุดนิ่งถ้อยคำถามกลับโดยไม่หันศีรษะ “มีอะไรอีกงั้นหรือ?”

หนิงซือฮวาเอ่ยขึ้น “ในเมื่อชะตานำพาให้เราได้มาพบกันแล้ว เหตุใดเราไม่แลกเปลี่ยนความรู้กันสักครั้งหนึ่ง?”

ซูอี้หันกลับมาและจ้องมองหญิงสาวซึ่งอยู่ไม่ไกล “หนึ่งกระบวนท่าตัดสินผลลัพธ์เช่นนั้นหรือที่เจ้าต้องการ?”

หนิงซือฮวายิ้มและกล่าวว่า “ท่านและข้าต่างก็รู้แจ้งสิ่งต่าง ๆ คล้ายคลึงกัน หากไม่ลองดูสักครั้งหนึ่งจะรู้ได้อย่างไรว่าเราแตกต่างกันเพียงใด”

ซูอี้สูดหายใจและพูดว่า “เช่นนั้นเรามาลองดูก็แล้วกัน”

หนิงซือฮวายื่นมือออก นิ้วเรียวขาวของนางจีบเสมือนดอกบัวบาน จากนั้นทำเป็นรูปมุทรา แล้วสะบัดอย่างแผ่วเบา

ทันใดนั้น ฝูงนกซึ่งหากินอยู่โดยรอบบินหนีอย่างตื่นตระหนก ยอดต้นสนบนภูเขาต่างเซไหว เมฆและหมอกถูกพัดพาด้วยพลังอันลึกลับจนกระจัดกระจาย

ในสายตาของลี่เฟิงสิงที่อยู่ห่างออกไป เขาแลเห็นหมัดรูปดอกบัวที่ใสกระจ่างปรากฏขึ้นที่ระหว่างฝ่ามือของหนิงซือฮวา

ในขณะนั้น มันเปรียบเสมือนดอกบัวที่พร่างพรายบานสะพรั่งบนฟ้าและดิน ส่องแสงเจิดจ้า ช่างน่าพิศวงและคาดเดาไม่ได้

เคล็ดวิชาเช่นนี้ไม่อาจมีอยู่ในโลกปุถุชนอย่างแน่นอน มันเหมือนกับปรากฏการณ์ในตำนานเสียมากกว่า!

“นี่มันพลังอะไรกัน!?”

เหวินหลิงเจาตกใจจนดวงตาเบิกโพลงโนเวลกูดoทคอม

นางเคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเจ้าตำหนักผู้ลึกลับนี้ แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าเมื่ออีกฝ่ายลงมือจริง มันจะกลายเป็นเสมือนภัยพิบัติอันน่าเหลือเชื่อ

แลเห็นเช่นนี้ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาพับแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะวาดมือทั้งสองเข้าบรรจบกัน ซึ่งก่อให้เกิดพลังอันไร้ลักษณ์สีดำขาวแผ่กระจายปกคลุมพื้นที่ด้านหน้าและค่อย ๆ ประสานเข้าหากันอย่างลึกล้ำ

ราวกับจับหยินและหยางประสานด้วยมือทั้งสอง

ฝั่งหนึ่งเสมือนหยาง ผู้ที่ยอมสยบย่อมอยู่รอด

อีกฝั่งเสมือนหยิน ผู้ที่ต่อต้านทั้งหมดย่อมสิ้นชีพ

หนึ่งหยินและหนึ่งหยาง ชีวิตและความตาย ถูกตัดสินระหว่างสองมือ

ตูม!

หมัดรูปดอกบัวทะยานผ่านอากาศ แต่แล้วกลับชะงักงันอยู่ตรงระหว่างสองมือของซูอี้ซึ่งเหยียดออก ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง

ทันใดนั้น เสียงนกร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างฉับพลัน และฉากที่น่าเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้น

หมัดรูปดอกบัวจู่ ๆ บานสะพรั่งขึ้นทีละชั้น จากนั้นจึงควบแน่นเป็นนกกระจอกสีแดงชาดที่มีชีวิตชีวา

อาบไล้ด้วยเปลวเพลิงพลิ้วไหว

กระแสแห่งการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกไป

“นี่คือพลังของเหล่าเซียนอย่างนั้นหรือ!”

ลี่เฟิงสิงสูดหายใจลึก ร่างกายและจิตใจของเขาสั่นเทา

สำหรับเหวินหลิงเจา วันนี้นางถูกกระทบจิตใจมากจนเกินไป จิตใจของนางจึงว่างเปล่าไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองตอบภาพที่บังเกิดขึ้นตรงหน้า

ดวงตาดำของซูอี้สว่างขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก

ควบคุมปราณวิญญาณในร่างกาย บังคับเปลี่ยนธาตุที่สำแดง?!

วิธีการน่าสนใจนัก!

ทันใดนั้น ซูอี้ประสานมือทั้งสองเข้าหากันอย่างสมบูรณ์ประหนึ่งพนมมือ ดึงพลังสองรูปแบบ หนึ่งแข็งกร้าว หนึ่งอ่อนนุ่มซึ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเข้ากระแทกกันอย่างรุนแรง

เช่นเดียวกับจุดตัดของหยินและหยาง วัฏจักรของชีวิตและความตาย

ตูม!

นกสีแดงชาดที่กระพือปีกและกำลังจะโบยบิน ในทันใดนั้นมันถูกบดขยี้ตรงกลางระหว่างพลังสีขาวและดำจนไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย

เมื่อมือของซูอี้พนมเข้าหากัน หมัดดอกบัวที่กลายเป็นนกสีแดงเพลิงก็ถูกสลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความเงียบราวป่าช้าปกคลุมทั่วทั้งลาน

ลี่เฟิงสิงตัวสั่นไปทั้งตัว การเผชิญหน้าเช่นนี้ทำให้จิตใจของเขาตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ เหมือนกับการรับชมการแสดงของเหล่าเทพเซียน เป็นการยากที่จะควบคุมตัวเองให้สงบได้

ตอนนี้เองที่เขารู้ตัวว่าก่อนหน้านี้ที่เคยท้าทายซูอี้ตัวเขานั้นโง่เง่ามากเพียงใด หากเจ้าตำหนักไม่เอ่ยคำ ‘หยุด’ ได้ทันเวลา ป่านนี้เขาคงตายไปแล้ว!

ตอนนี้เองที่ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่ซูอี้พูด

การปรากฏตัวของเจ้าตำหนักได้ช่วยชีวิตคนสองคนจากมือของซูอี้ คนหนึ่งคือตัวเขา ลี่เฟิงสิง และอีกคนคือหวังเจี่ยนฉง!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ลี่เฟิงสิงอดไม่ได้ที่จะเหงื่อไหลเมื่อรู้ว่าเขาตัวเองเกือบจะก้าวขาเข้าไปในประตูนรกอยู่รอมร่อ ที่ตลกก็คือ เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ในเวลานี้

ในหัวของเหวินหลิงเจาว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ นางรู้สึกเสียสูญอย่างไม่อาจจะควบคุม

การโจมตีของเจ้าตำหนักถูกสลายได้โดยชายผู้นี้?!

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด สหายเต๋าได้เปิดหนึ่งร้อยแปดจุดเบิกวิญญาณทั้งหมดและอยู่ในสภาวะ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ แล้วเรียบร้อยใช่หรือไม่?”

แววตาของหนิงซือฮวาดูคล้ายจะเหลือเชื่ออยู่เล็กน้อย

ซูอี้เอ่ยตอบอย่างเฉยเมย “สามารถแปรเปลี่ยนกระแสปราณวิญญาณและเปลี่ยนแปลงธาตุของเคล็ดวิชาที่สำแดง ข้าคิดว่าเจ้าควรอยู่เหนือกว่าสี่ขอบเขตแห่งวิถียุทธ์เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าแค่กำลังผนึกรากฐานขอบเขตหลอมกำเนิดให้สมบูรณ์ก็เท่านั้น”

การจะใช้พลังเช่นนี้ได้มีแต่เฉพาะผู้ที่อยู่ในขอบเขตหลอมกำเนิดเท่านั้น อีกทั้งคนผู้นั้นยังต้องสำเร็จสภาวะ ‘จิตวิญญาณห้าสีสันธรรมชาติ’

ขั้นต้นผู้บ่มเพาะจะต้องปรับแต่งอวัยวะภายในทั้งห้าให้สมบูรณ์ได้แก่ หัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไต ให้เปรียบเสมือนเตาหลอมห้าเตา ซึ่งถูกเรียกว่า ‘หลอมกำเนิด’

ส่วนสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘จิตวิญญาณห้าสีสันธรรมชาติ’ นั่นคือวิญญาณห้าประเภทซึ่งก็คือ ไม้ ทอง ไฟ น้ำ และดิน สถิตอยู่ภายในอวัยวะภายในทั้งห้า

เฉกเช่น ไม้ เป็นสีเขียวอ่อน หล่อเลี้ยงเตาหลอมในตำหนักตับ

ทอง สีของมันคือทอง หล่อเลี้ยงเตาหลอมตรงตำหนักปอด

และอื่น ๆ

อวัยวะภายในทั้งห้าเปรียบเสมือนเตาหลอมวิญญาณห้าสีซึ่งก่อให้เกิดพลังแห่งความสมบูรณ์แบบที่ยิ่งใหญ่ นี่คือความลึกลับขั้นสูงสุดของขอบเขตปรมาจารย์วิธียุทธ์ทั้งห้าขั้น

มันง่ายที่จะหลอมกำเนิดซึ่งเตาหลอม แต่ยากที่จะขัดเกลาจิตวิญญาณ ระดับของความยากลำบากในการสำเร็จไม่น้อยไปกว่าการสำเร็จสภาวะ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ

ในเก้ามหาแดนดิน มีเพียงหนึ่งในล้านที่ทำได้

แต่ทว่า หนิงซือฮวาผู้นี้คือตัวตนซึ่งสำเร็จสภาวะดังกล่าว

ขณะนี้หนิงซือฮวารู้สึกประหลาดใจอย่างรุนแรง ซูอี้เป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณ แต่เขากลับสามารถมองออกถึงความลึกลับของนางได้อย่างง่ายดายและกระจ่างชัด

“ในโลกนี้คงไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้กับสหายเต๋าอีกแล้ว”

เสียงของหนิงซือฮวานั้นอ่อนหวาน “หากมีโอกาสในอนาคต ยามเมื่อข้าขอคำชี้แนะจากสหาย ข้าหวังว่าสหายเต๋าจะยินดีชี้แนะให้ข้าบ้างสักเล็กน้อย”

ซูอี้ยิ้มและพูดว่า “เอาเถิด หากภายภาคหน้ามีโอกาสได้พบเจอกันและเจ้าสามารถทำให้ข้าตื่นตาได้ ข้าจะเอาสุราชั้นดีออกมาเลี้ยงเจ้า”

หนิงซือฮวาอดยิ้มไม่ได้ ถ้อยคำกล่าวออกอย่างเบิกบาน “เห็นได้ว่าสหายเต๋าจริงจังที่จะเอาคืนข้าผู้นี้”

“หากเมื่อครู่นี้ข้าไม่สามารถรับการโจมตีของเจ้าได้ เจ้าก็คงไม่มีทางปล่อยข้าไปไม่ใช่หรือ?”

ซูอี้ส่ายศีรษะและโบกมือ “ลาก่อน”

จากนั้นเขาหันหลังและจากไป

หลังจากตัดขาดความสัมพันธ์ ซูอี้หาได้เหลือบมองเหวินหลิงเจาสักครั้งหนึ่ง

จนกระทั่งนางเห็นร่างของซูอี้หายลับไป หนิงซือฮวาเบนสายตาของนางมองไปที่ก้อนหินใต้ต้นสน

มีกระดาษซึ่งมีลายมือที่ซูอี้เขียนทิ้งไว้

‘หนึ่งแตกต่าง สองไม่อาจบรรจบ แต่ละชีวิตแยกย้ายตามเส้นทางของตนเอง’

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset