📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 177

บทที่ 177 - ทำลายล้าง
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจิ้งมู่เหยาเม้มริมฝีปากและพูดอย่างไม่มั่นใจ “ท่านอาซูอี้ สาเหตุที่ท่านพูดครู่นี้มากมายเป็นเพราะท่านคิดว่าข้ารุกท่านเกินไปงั้นหรือ?”

ซูอี้กวักมือเรียก “มานี่สิ”

เจิ้งมู่เหยาสะดุ้งครู่หนึ่ง แม้ว่าในใจจะสับสน แต่นางก็ยังคงขยับร่างกายที่บอบบางของนางเข้าหาซูอี้และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลไพเราะว่า “ท่านอาซูอี้ ท่านจะทำอะไรข้าหรือ~”

ซูอี้เหยียดมือออกราวกับจะลูบไล้ใบหน้าของหญิงสาว แต่ทว่าถัดมาเขากลับหยิกแก้มของนางแทน!

ร่างกายเพรียวบางของหญิงสาวกลายเป็นแข็งค้างในทันที ใบหน้าซึ่งทรงเสน่ห์แปรเปลี่ยนเผยให้เห็นซึ่งความอัปยศภายในใจ นางขยับร่างกายออกไปราวกับถูกกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน

ดวงตาที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ยังคงลังเลที่จะพูด กำปั้นสีชมพูคู่หนึ่งกำแน่นอย่างเงียบงัน

“หวงเนื้อหวงตัวขนาดนี้งั้นหรือ คิดอ่านจะเป็นฝ่ายรุก?”

ซูอี้กลับไปนอนอย่างเกียจคร้านและพูดอย่างเฉยเมย “นับแต่นี้จงหยุดเสแสร้ง จงทำแต่สิ่งที่พ่อของเจ้าสั่งมาคือนำทางและแก้ปัญหาเล็กน้อยให้ข้า และอย่าได้ทดสอบข้าอีก พูดแค่นี้หวังว่าเจ้าคงเข้าใจ”

สีหน้าของเจิ้งมู่เหยาแปรเปลี่ยน ถ้อยคำเอ่ยออกอย่างเจ็บปวด “ท่านอาซูอี้ สิ่งใดคือการทดสอบ ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูดแม้แต่น้อย”

ดวงตาของซูอี้เผยแววชัดเจนและลึกล้ำ “เมื่อครู่นี้ที่เจ้ายั่วยวน หากข้ากระทำสิ่งใดที่ไร้ยางอายต่อเจ้าไป เจ้าคงคิดดูหมิ่นข้าและคิดว่าข้านั้นหาใช่คนดีเลิศเฉกเช่นที่บิดาของเจ้าเอ่ยชมให้เจ้าฟังก่อนมาพบข้า อีกทั้งเจ้าจะยิ่งพอใจกับความฉลาดของตัวเองเพราะอุบายของเจ้านั้นได้ผล”

“เอ่อ…”

เจิ้งมู่เหยากำลังจะโต้เถียง แต่เมื่อนางได้สบสายตาของซูอี้ที่ลึกล้ำราวกับสามารถมองทะลุทุกสิ่งของนางได้ นางรู้สึกผิดในทันทีก่อนจะก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัวและไม่กล้ามองซูอี้อีก

“เมื่อคืนพ่อของเจ้าคงคุยกับเจ้าไว้มากมาย และขอให้เจ้าสัญญาว่าจะรับใช้ข้าอย่างระมัดระวังไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถูกต้องหรือไม่?”

ซูอี้หยิบเหยือกบนตู้ไม้และรินสุราให้ตัวเอง

เจิ้งมู่เหยาก้มศีรษะลง ใบหน้าสวยของนางลังเล

“ด้วยนิสัยของเจ้า เจ้าน่าจะต่อต้านอยู่ในใจ ดังนั้นเจ้าจึงวางแผนทดสอบว่าข้าซูอี้ผู้นี้ไม่ได้ดีเด่ดังเช่นที่บิดาของเจ้าว่าเอาไว้”

ซูอี้ดื่มสุรารวดเดียวหมดจอกแล้วพูดต่อ “ด้วยวิธีนี้ เมื่อเจ้ากลับบ้านไปบอกบิดาของเจ้าว่าข้าซูอี้เป็นเช่นนี้เอง แม้บิดาของเจ้าจะไม่กล้าขัดแย้งกับข้า แต่เขาย่อมหาทางเลิกให้เจ้าทำเรื่องต่าง ๆ เคียงข้างข้า ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะไม่ต้องเป็นเหมือนสาวใช้ ไม่ต้องทุกข์ใจต่อการต้องคอยรับใช้ข้าอีกต่อไป”

หลังจากได้ยินประโยคนี้ เจิ้งมู่เหยารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว มือของนางกำชายเสื้อแน่น ด้วยความลับทั้งหมดของนางถูกมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว และนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนก

ผู้ชายคนนี้เพิ่งพบกับนางไม่เท่าไร แต่กลับสามารถมองนางอย่างทะลุปรุโปร่งแบบนี้ได้อย่างไร?

ซูอี้ดื่มคนเดียวและพูดขึ้นอีกครา “ด้วยฐานะลูกสาวของผู้นำตระกูลเจิ้ง สถานะของเจ้าโดดเด่นเหนือใครโดยตลอดตั้งแต่เกิด อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นแม้ยามอยู่ในฝูงชนยังเป็นจุดสนใจของทุก ๆ คนอย่างไม่ต้องสงสัย มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่แค่เพราะคำพูดของบิดาเจ้าไม่กี่คำ เจ้ากลับต้องกลายเป็นประหนึ่งวัวม้ารับใช้ให้กับคนแปลกหน้า”

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แต่เจ้าก็ฉลาดอยู่บ้างและรู้ว่าเจ้าไม่อาจล่วงเกินข้าได้อย่างโจ่งแจ้ง เพราะไม่เช่นนั้นหากเจ้าทำให้ข้าขุ่นเคือง พ่อของเจ้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยให้เจ้ารอดตัว ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่กระตุ้นให้เจ้าใช้กลอุบายความงามเข้าหลอกล่อข้า”

หลังจากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม

เจิ้งมู่เหยานั่งอยู่ที่นั่นอย่างว่างเปล่า เหี่ยวเฉาอย่างสมบูรณ์

คำพูดของซูอี้เป็นประหนึ่งมีดคมเฉือน ผ่ากลอุบายในหัวใจของนางออกทีละชั้น คล้ายกับเสื้อผ้าที่คลุมร่างกายของนางถูกถอดออก ทำให้นางรู้สึกอยากจะหนี

รถม้ายังคงแล่นผ่านเมืองไปเรื่อย ๆ

บรรยากาศในรถค่อนข้างอึมครึม

“เฮ้อ หากข้ารู้เช่นนี้ ข้าคงไม่เสียเวลาทำให้ตนเองต้องอับอาย”

เจิ้งมู่เหยาถอนหายใจอย่างหดหู่

ขณะนี้นางเกียจคร้านเกินกว่าจะเสแสร้งอีกต่อไปแล้ว คิ้วโค้งเข้ารูปยกขึ้นเล็กน้อย มุมริมฝีปากเผยซึ่งความเย้ยหยัน ดวงตาเผยประกายซึ่งความเย่อหยิ่งระคนดื้อรั้น จากจิ้งจอกแปรเปลี่ยนเป็นคล้ายดั่งแมวป่า

ในไม่ช้า นางก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของนางเร่าร้อนจับจ้องไปที่ซูอี้และกล่าวว่า “ท่านอาซูอี้ ข้าพบว่าข้าชอบท่านนิดหน่อย ต่อจากนี้ไป ข้าจะเชื่อฟังและสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านโกรธอีก”

ซูอี้พ่นน้ำลาย เหยียดขาทั้งสองข้างให้ตรง ถ้อยคำกล่าวอย่างเฉยเมย “เช่นนั้นก็ช่วยมานวดขาให้ข้า”

โดยไม่ได้เตรียมตัว ดวงตาที่สวยงามของเจิ้งมู่เหยาเบิกกว้าง

“???”

หลังจากกลั้นใจอยู่ครู่หนึ่ง นางกระซิบตอบอย่างเอียงอาย “ข้าจะลองดูก็แล้วกัน”

หญิงสาวชุดดำมากเสน่ห์สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเหยียดมือหยกขาวออกไปแล้วกดเบา ๆ บนน่องของซูอี้ ถู ทุบ เคาะ บีบ…

ลึกลงไปในหัวใจที่เย่อหยิ่งของหญิงสาว ความรู้สึกอับอายและความโกรธเพิ่มขึ้นอยู่เนือง ๆ แรงที่ออกจากนิ้วของนางเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

ทว่าซูอี้นอนหลับตาอย่างสบายราวกับไม่รับรู้ถึงความขุ่นเคืองของอีกฝ่าย

“บุรุษผู้นี้หยิ่งจองหองอันดับหนึ่ง เขาปฏิบัติกับข้าเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หาโอกาสทำให้ข้าดูโง่เง่า!”

เจิ้งมู่เหยากัดฟันของนางอย่างลับ ๆ ดวงตาที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

ไม่นานนักเมื่อนางเริ่มรู้สึกว่านิ้วของนางอ่อนล้า ทันใดนั้นซูอี้เอ่ยถ้อยคำออกเสียงดัง

“หยุด”

รถม้าหยุดทันที

จากนั้นซูอี้หยิบเทียนสีเลือดออกมาจากแขนเสื้อของเขา เทียนนั้นสีแดงสดเป็นประกาย อีกทั้งยังมีกลิ่นเลือดแผ่ออกจาง ๆ

เจิ้งมู่เหยาตกตะลึง ดวงตาของนางถูกดึงดูดไปที่เทียนโลหิต แต่ก่อนที่นางจะทันได้ถามอย่างใคร่รู้

ซูอี้ก็ลุกขึ้นและลงจากรถม้าไปเรียบร้อยnᴏᴠᴇʟɢu.ᴄoᴍ

“เจ้ารออยู่ที่นี่”

“ที่นี่คือที่ใดกัน?”

ซูอี้ยืนอยู่หน้ารถม้าและมองไปรอบ ๆ

สารถีขับรถม้าเป็นชายชราร่างผอมบางที่ไม่ธรรมดา เมื่อได้ยินคำถาม เขาจึงเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว

“เรียนคุณชายซู นี่คือจตุรัสหย่งอัน ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนี้เป็นพ่อค้าจากแดนอื่น นอกจากนี้ยังมีเหล่านักรบจากตระกูลธรรมดาทั่วไปจำนวนมากอยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง กล่าวโดยย่อคือ ผู้อยู่อาศัยที่นี่อยู่รวมกันหลากหลายชนชั้น”

ซูอี้พยักหน้า ถือเทียนสีเลือดอยู่ในมือข้างหนึ่ง เขาเดินไปที่ตรอกแคบ ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกล

ไม่นานร่างของเขาหายลับไปจากสายตา

“ลุงเหลียว ผู้ชายคนนี้กำลังทำอะไร”

ในรถม้า เจิ้งมู่เหยาโผล่หัวออกมาและถามด้วยความสงสัย

“เรียนคุณหนู ก่อนหน้านี้ข้าลอบเดาว่าชายหนุ่มผู้นี้เพียงแค่อยากจะเที่ยวชมเมืองเพื่อคุ้นเคยกับสถานที่ต่าง ๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วเขากำลังมองหาใครสักคนอยู่”

เจิ้งมู่เหยาเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ “ใช้เทียนสีเลือดเพื่อหาใครสักคน ผู้ชายคนนี้แปลกไม่เหมือนใครเสียจริง”

ดวงตาของชายชราที่ชื่อลุงเหลียวกะพริบและพูดว่า “คุณหนู มีคนแปลก ๆ ที่ใช้วิธีลึกลับและคาดเดาไม่ได้ในโลกนี้มากมาย ในเมื่อบิดาของท่านเชิดชูปรมาจารย์หนุ่มผู้นี้อย่างออกนอกหน้า นั่นก็แปลว่าเขาคนนี้หาได้ธรรมดาไม่ ดังนั้นแล้วคนประเภทนี้ย่อมกระทำสิ่งใดโดยที่เราไม่อาจคาดเดาได้เสมอ”

“เหอะ ข้าไม่เห็นว่าเขาจะมีความสามารถอะไรที่น่ายกย่อง”

เจิ้งมู่เหยาหน้ามุ่ยก่อนจะเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ความสามารถที่เขาเก่งกาจคือกลั่นแกล้งผู้คนและมีขาที่ใหญ่โตก็เท่านั้น!”

เหลียวป๋อยิ้มเบา ๆ พลางเอ่ยคำอย่างล้ำลึก “คุณหนู เป็นที่รู้กันทั่วว่าท่านเป็นแก้วตาดวงใจอันดับหนึ่งของนายท่าน แต่วันนี้นายท่านกลับต้องการให้ท่านละทิ้งสถานะของตนเอง ให้คอยปรนนิบัติรับใช้คุณชายซูผู้นี้ ท่านรู้บ้างหรือไม่ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”

เจิ้งมู่เหยาตอบกลับอย่างเหนื่อยหน่าย “ไม่ใช่ว่าท่านพ่อต้องการใช้ข้าเป็นสายเชื่อมโยงเพื่อผูกความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเจิ้งและคนผู้นี้ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นไม่ใช่หรืออย่างไร?”

เหลียวป๋อส่ายหัว “คุณหนู นายท่านเคยทำเช่นนี้มาก่อนงั้นหรือไร? ท่านเคยต้องประสบกับความขมขื่นเช่นนี้มาก่อนหน้านี้สักคราหรือไม่?”

“แน่นอนว่าย่อมไม่เคยเลย”

เจิ้งมู่เหยาเริ่มสงสัย “ลุงเหลียว ท่านกำลังพยายามจะพูดอะไรกันแน่?”

เหลียวป๋อถอนหายใจ “บิดาย่อมวางแผนอนาคตที่มั่นคงให้กับบุตรอันเป็นที่รักยิ่ง คุณหนู สิ่งที่นายท่านทำขณะนี้คือสร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้แก่ตัวท่าน ไม่ว่าจะผิดหรือถูก อย่างน้อยในภายภาคหน้าท่านย่อมเข้าใจเจตนาดีของนายท่านอย่างแน่นอน”

เจิ้งมู่เหยาพ่นลมหายใจอย่างไม่เต็มใจ

ตรอกซอกซอย ท่ามกลางบ้านเรือนที่หนาแน่น

ซูอี้เดินผ่านเพียงลำพัง บางครั้งเหลือบมองลงไปที่เทียนสีเลือดในมือของตนเอง แต่กระนั้นฝีเท้ายังคงไม่หยุดก้าว

เทียนสีเลือดนี้เรียกว่า ‘เทียนสะกดรอยวิญญาณ’ ซึ่งพบจากร่างของฉู่ซื่อหลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของพรรคมารหยินสาขาย่อยแห่งแคว้นกุ่น

สมบัตินี้กลั่นจากเลือดของเวิงอวิ๋นฉี ตราบใดที่เวิงอวิ๋นฉีปรากฏตัวในพื้นที่พันจั้ง เทียนนี้จะสามารถติดตามสัมผัสถึงกลิ่นอายของเขาได้

เหตุผลที่ซูอี้วันนี้ตระเวนไปทั่วเมืองด้วยรถม้าก็เพื่อใช้สิ่งนี้ค้นหาร่องรอยของเวิงอวิ๋นฉี

ถัดมาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม

ซูอี้พลิกฝ่ามือเก็บเทียนสีเลือดกลับไปในจี้หยก และมองไปที่เรือนหลังหนึ่งที่ทรุดโทรมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หันหลังกลับ

ขณะนี้เขาได้ทราบแล้วว่าเรือนหลังนั้นในตอนนี้เป็นที่หลบซ่อนของเวิงอวิ๋นฉี

อย่างไรก็ตาม ซูอี้ไม่ได้วางแผนที่จะพบกับเวิงอวิ๋นฉีในขณะนี้ ตราบใดที่ตำแหน่งของอีกฝ่ายถูกพบแล้ว เขาก็สามารถมาพบได้ทุกเมื่อในอนาคต

กลับมาที่หน้ารถม้าที่รออยู่ ซูอี้เอ่ยถามสารถี “การไปที่ตำหนักเทียนหยวนจะใช้เวลานานเท่าใด?”

เหลียวป๋อกล่าวตอบอย่างรวดเร็วว่า “ตำหนักเทียนหยวนตั้งอยู่บนภูเขานอกเมืองหลายสิบลี้ หากคุณชายต้องการ เราสามารถไปถึงที่นั่นได้ภายในครึ่งชั่วยาม”

ซูอี้พยักหน้า “ตำหนักเทียนหยวนอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปได้หรือไม่”

“ย่อมไม่”

เหลียวป๋อส่ายหัวแต่พลันยิ้มในทันที “ทว่า หากคุณชายต้องการจะเข้าไปจริง ท่านสามารถขอให้คุณหนูพาท่านเข้าไปได้ นางคือศิษย์ของผู้อาวุโสลำดับห้าแห่งตำหนักเทียนหยวน ‘เยว่อวี่ฉือ’ ด้วยสถานะของคุณหนู การพาท่านเข้าไปย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”

“เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”

ซูอี้พยักหน้าและเดินตรงเข้าไปในรถม้า

“ท่านอาซูอี้ ท่านจะไปทำอะไรที่ตำหนักเทียนหยวนหรือเจ้าคะ?” เจิ้งมู่เหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

ซูอี้นอนอย่างเกียจคร้านก่อนจะตอบกลับ “มองหาใครสักคน”

เจิ้งมู่เหยาเริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ “ท่านอาซูอี้ ท่านช่วยบอกข้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้หรือไม่ บางทีข้าอาจจะรู้จักคนที่ท่านกำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้”

“เราจะพูดเรื่องนี้ในภายหลัง” ซูอี้หลับตาแล้วไม่พูดอะไรอีก

เมื่อใดที่ผู้หญิงอยากรู้เรื่องหนึ่งและเจ้ายินยอมตอบคำถามของนาง เมื่อนั้นนางจะมีอีกสิบคำถามซึ่งหากเจ้าไม่ยอมตอบ …นางจะไม่ยอมเลิกรา

ดังนั้น ซูอี้จึงไม่เปิดโอกาสให้เจิ้งมู่เหยาถามคำถามเพิ่มเติม

เจิ้งมู่เหยาทำหน้าบึ้ง ซูอี้แสดงอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการจะพูดสิ่งใดอีก ดังนั้นนางจะถามต่อให้ตัวเองอับอายเพิ่มได้อย่างไร?

ทันใดนั้น ดวงตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์ จากนั้นนางก็เหยียดมือเรียวคู่หนึ่งออก กดเบา ๆ ที่ต้นขาของซูอี้และบีบมือทั้งสองอย่างแรง

ซูอี้ลืมตาและเอ่ยถาม “เจ้ากำลังทำอะไร?”

“ข้าแค่อยากบีบขาให้ท่านอาซูอี้”

เจิ้งมู่เหยายิ้มอย่างอ่อนหวาน เมื่อนางกดไปที่ต้นขาของซูอี้คราวนี้ นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากล้ามเนื้อของอีกฝ่ายเกร็งอย่างกะทันหันราวกับหวาดกลัว

“ท่านกลัวเป็นด้วยหรือ?”

นางรู้สึกพึงพอใจมากกับปฏิกิริยาขณะนี้ของซูอี้

ซูอี้เหลือบมองสาวน้อยผู้น่าหลงใหลคนนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกรอบแล้วถ้อยคำเกียจคร้านจึงดังออก “ใช้แรงให้มากกว่านี้หน่อย และหากข้าไม่บอกให้หยุด เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้หยุดอย่างเด็ดขาด”

เจิ้งมู่เหยาตกตะลึง นี่คืออะไร?

ทำร้ายศัตรูพัน ทำร้ายตัวเองแปดร้อย?

นอกรถม้า เหลียวป๋อสะบัดบังเหียนและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ไป!”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset