📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 176

บทที่ 176 - จิ้งจอกสาวเจิ้งมู่เหยา
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

สายลมอรุณพัดเอื่อย ทะเลสาบสะท้อนประกายแสงแวววับ

หลังอาหารเช้า ซูอี้หยิบสิ่งของหลายอย่างออกมาและเอ่ยสั่ง “หลังจากนี้เจ้าจงนำสิ่งของพวกนี้ไปขายให้แก่หอศิลาทองคำ จงแลกมาเป็นศิลาวิญญาณระดับสองและสมุนไพรวิญญาณเท่านั้น”

สิ่งของเหล่านี้เป็นของที่ริบได้มาจากศพของหลิ่วหงฉีเมื่อวาน

ทว่าซูอี้ไม่ได้ขายสิ่งที่ริบมาได้ไปทั้งหมด ส่วนหนึ่งเขาเก็บไว้กับตัวเอง

สมบัติลับดาบยันต์ ดาบวิญญาณชื่อ ‘ภูผาหิมะ’ ศิลาวิญญาณระดับสามสิบห้าก้อน และสมุนไพรวิญญาณระดับสามเก้าชนิด

สามารถพูดได้ว่าผู้อาวุโสของสำนักวงเดือนนั้นร่ำรวยกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปอย่างไม่อาจเทียบกันได้!

ยามได้เห็นสมบัติของหลิ่วหงฉีเหล่านี้ นัยน์ตาของฉาจิ่นแสดงให้เห็นถึงความโศกเศร้า แต่กระนั้นนางก็ยังคงพยักหน้ารับคำของซูอี้

แต่แล้วเมื่อแลเห็นซูอี้เดินไปที่ประตูทางออก ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “นายท่าน ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ?”

“ออกไปเดินเล่น” ซูอี้เอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ข้าขอไปด้วยจะได้หรือไม่?” ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะถาม

“ไม่ หากจะออกไป ก็จงไปที่หอศิลาทองคำ” ซูอี้เดินออกไปหลังจากกล่าวจบ

ฉาจิ่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นนางจึงหยิบสิ่งของเหล่านั้นขึ้นมา และตัดสินใจไปที่หอศิลาทองคำ

ทว่าทันทีที่ซุอี้เดินออกจากเรือนพำนักหินศิลา เขาแลเห็นรถม้าที่งดงามตระการตารออยู่ที่นั่น

เจิ้งเทียนเหอ ผู้นำแห่งตระกูลเจิ้งยืนอยู่ข้างรถม้าพร้อมกับหญิงสาวในชุดดำที่แต่งหน้าอย่างประณีตและมีเสน่ห์ราวกับเพลิงสว่าง

“คุณชายซู”

ทันทีที่เขาเห็นซูอี้ เจิ้งเทียนเหอเร่งรีบทักทายด้วยรอยยิ้ม

ผู้นำของหนึ่งในห้าตระกูลชั้นนำแห่งมหานครกุ่นโจว ผู้ร่ำรวยทั้งเงินตราและทรงอำนาจ ทว่าขณะนี้ยามเผชิญหน้ากับซูอี้ ท่าทีของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพจากก้นบึ้งของหัวใจ

สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวในชุดดำชะงักงันไปชั่วขณะ และอดไม่ได้ที่จะมองดูซูอี้อย่างจริงจัง นี่คือชายผู้เลิศล้ำที่บิดาของนางพูดถึงใช่หรือไม่?

ช่างหล่อเหลามากด้วยเสน่ห์!

ดวงตาที่สวยงามของนางเป็นประกาย คิ้วคู่โค้งหวานยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของนางหรี่ลงคล้ายจิ้งจอกเยาว์ ทั้งมีเสน่ห์และน่าหลงใหล

“มาหาข้ามีสิ่งใดงั้นหรือ?” ซูอี้เอ่ยถาม

เจิ้งเทียนเหอยิ้มและพูดว่า “ข้าได้รับรู้ว่าท่านเพิ่งมาถึงมหานครกุ่นโจวเมื่อวานนี้ ข้าจึงคิดว่าท่านอาจต้องการใครสักคนที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในเมืองคอยอยู่เคียงข้าง ดังนั้นข้าจึงรอที่นี่แต่เช้าและวางแผนที่จะแนะนำลูกสาวตัวน้อยของข้า แม้นางจะไม่สามารถคลี่คลายปัญหาใหญ่โตให้ท่านได้ แต่นางก็ยังสามารถแก้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบความสะดวกให้แก่ท่านได้ไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอน”

ฉาจิ่นที่บังเอิญเดินออกจากประตูพอดี ได้ยินคำเหล่านี้ นางอดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง ดวงตากวาดมองอย่างจับผิด

ผู้นำตระกูลเจิ้งผู้สูงศักดิ์ครอบครองอำนาจมหาศาล ใครจะกล้าเชื่อว่าขณะนี้เขากระตือรือร้นอยากเอาใจซูอี้ตั้งแต่เช้าตรู่?

เจิ้งเทียนเหอทักทายฉาจิ่นด้วยรอยยิ้มเช่นกัน แล้วจึงโบกมือไปทางลูกสาวของตนเอง “ลูกพ่อ มาทักทายกับคุณชายซูเร็วเข้า”

หญิงสาวชุดดำก้าวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กะพริบตาสวยของนาง แล้วพูดอย่างฉะฉานว่า “ท่านอาซู เมื่อคืนนี้ท่านพ่อของข้าเล่าให้ข้าฟังเรื่องของท่านแล้ว โปรดอย่าได้กังวล ข้าสัญญาว่าจะดูแลท่านอย่างดี ยามเมื่อมีข้าข้างกาย ท่านจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน!”

หญิงสาวผู้นี้มีอายุเพียงสิบหกถึงสิบเจ็ดปี แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีดำพลิ้วไหว ขับให้ผิวพรรณขาวประหนึ่งหิมะยิ่งกระจ่างชัดเปล่งประกาย ผมยาวสีน้ำตาลอ่อน ริมฝีปากก็ชุ่มฉ่ำเป็นมันเงา ใบหน้าเข้ารูปงดงามไร้ที่ติอย่างไม่ต้องสงสัย

ยามมองไปที่ซูอี้ ดวงตาของนางมีแต่ความชื่นชมยินดี

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความงามระดับนี้ไม่ว่าบุรุษวัยใดต่างก็ต้องลุ่มหลงเป็นธรรมดา

“จิ้งจอกน้อยตัวนี้ไม่มียางอายบ้างเลยหรือไร ถึงกล้าเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันครั้งเรียกเป็นอาของตนเอง? กล้าขนาดนี้เหตุใดไม่เรียกเป็นพ่อทูนหัวเสียเลยเล่า!”

ฉาจิ่นพึมพำอย่างรำคาญกับตัวเอง

“คุณชายซู นี่คือลูกสาวที่ไร้ความสามารถของข้า นางชื่อมู่เหยา หรือท่านจะเรียกนางว่าเสี่ยวเหยาก็ย่อมได้”

เจิ้งเทียนเหอแนะนำด้วยรอยยิ้ม

ซูอี้สามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงสาวที่ร้อนแรงและสวยงามนางนี้แม้ภายนอกจะดูเชื่อฟัง แต่จริง ๆ แล้วนี่เป็นเพียงการแสดงแสร้งตบตา ในแววตาลึก ๆ ของนางนั้นแฝงซึ่งความดุร้าย แต่กระนั้น เขาหาได้สนใจสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้ไม่

ยิ่งไปกว่านั้น เป็นความจริงที่เขาต้องการคนที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในมหานครกุ่นโจวมาอยู่เคียงข้าง เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มจึงพยักหน้า และเอ่ยยินยอม “ข้ายินดีให้อยู่เคียงข้าง แต่มีหนึ่งเงื่อนไขที่เจ้าต้องยอมรับ จงเชื่อฟังและอย่าได้สร้างปัญหา”

“ท่านอาซูอี้ ไม่ต้องกังวลใจ ตัวข้านั้นเป็นเลิศที่สุดในเรื่องเชื่อฟัง”

เจิ้งมู่เหยายิ้มอย่างอ่อนหวาน หางตาของนางโค้งเหมือนจิ้งจอกตัวน้อย

ซูอี้มองผ่านความคิดแอบแฝงของหญิงสาวนางนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น นางเพียงสัญญาว่าจะเชื่อฟัง แต่ไม่ได้สัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหา

แน่นอนว่า ซูอี้ขี้เกียจเกินกว่าจะเอ่ยคำเพื่อแก้ไขเรื่องเล็กน้อยนี้

หากหญิงสาวกล้าสร้างปัญหาให้เขาจริง ๆ เขาจะไม่สนใจใบหน้าของเจิ้งเทียนเหอ และจะให้บทเรียนที่หญิงสาวคนนี้จะต้องจำไม่ลืมเลือนหากสร้างปัญหาให้กับเขา

“นายน้อยซู แม่นางฉาจิ่น เจิ้งผู้นี้คงต้องขอตัวก่อน”

เจิ้งเทียนเหอหันกลับไปโดยไม่ชักช้าโน เวล กู ดอท คอม

ก่อนจากไป เขายังทิ้งรถม้าอันวิจิตรงดงามพร้อมกับสารถีไว้ให้ซูอี้ได้ใช้งาน

“สาวน้อยเอ๋ย พ่อของเจ้าให้เจ้าได้อยู่เคียงข้างคุณชายซูเพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น ดังนั้นแล้วจงอย่าทำให้พ่อของเจ้าต้องผิดหวัง เจ้าต้องคิดให้รอบคอบว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำ”

ขณะเดียวกัน ฉาจิ่นเดินเข้าใกล้และพูดเบา ๆ กับเจิ้งมู่เหยา

เจิ้งมู่เหยาสังเกตเห็นฉาจิ่นตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยความงามอันน่าทึ่งของฉาจิ่นมันย่อมดึงดูดความสนใจไม่ว่าจากสตรีหรือบุรุษหนุ่ม

นางยิ้มและถามกลับ “ท่านป้าผู้นี้มีนามว่าอะไรหรือ?”

ใบหน้างามงดของฉาจิ่นชะงักค้าง “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ!?”

เจิ้งมู่เหยาพูดอย่างไร้เดียงสา “ท่านป้ากับท่านอาซูอี้อยู่ด้วยกัน มันแปลกตรงไหนหากข้าจะคิดว่าพวกท่านเป็นคนรุ่นเดียวกัน ย่อมสมควรแล้วที่ข้าเรียกท่านป้าเยี่ยงผู้อาวุโสกว่า”

ทุกครั้งที่นางเอ่ยคำว่า ‘ท่านป้า’ น้ำเสียงจะตอกย้ำดังชัดเจนประหนึ่งหยอกล้อต่ออีกฝ่าย

ฉาจิ่นหงุดหงิด นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้กำลังยั่วโมโหตัวเองอยู่?

นางเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวของเจิ้งมู่เหยา และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับเป็นผู้อาวุโสกว่า

“ยอมรับตัวเองเป็นเด็กเช่นนี้ก็ดี จงจำคำของพี่สาวคนนี้ไว้ ปกติแล้วหากเด็กคนไหนทำผิดพลาด เด็กคนนั้นมักจะโดนตีก้น”

เจิ้งมู่เหยาตะลึงงันครู่หนึ่งก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มหวาน “ท่านป้าอย่าได้กังวล หากท่านอาซูอี้ทุบตีข้าจริง ๆ เช่นนั้นมันก็แปลว่าข้าสมควรโดน ข้าย่อมไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย”

ถูกเรียกป้าอีกครั้งหนึ่งทำให้ฉาจิ่นลอบกัดฟันกรอดอย่างลับ ๆ ทว่าใบหน้าของนางยังคงยิ้ม “เข้าใจก็ดีแล้ว เชื่อในสิ่งที่พ่อของเจ้าสั่ง อย่าได้ทำให้พ่อของเจ้าผิดหวัง ข้อนี้เจ้าควรใส่ใจใช่หรือไม่?”

เจิ้งมู่เหยาพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาแต่ยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่สำคัญว่าพ่อของข้าจะผิดหวังหรือไม่ ตราบใดที่ท่านอาซูอี้พอใจก็นับว่าเพียงพอแล้ว”

ซูอี้เอ่ยถามอย่างหมดความอดทน “พวกเจ้าเสร็จกันแล้วหรือยัง?”

เจิ้งมู่เหยาและฉาจิ่น สองสาวงาม คนหนึ่งใหญ่อีกคนหนึ่งเล็ก ต่างปิดปากและมองหน้ากัน บรรยากาศแห่งการแข่งขันที่มองไม่เห็นบ่มเพาะอยู่ในหัวใจของสตรีทั้งสอง

“ไปกันเถอะ ข้าอยากชมรอบเมือง”

ซูอี้เดินตรงไปที่รถม้า

เจิ้งมู่เหยารีบเดินตาม ทว่าก่อนที่นางจะจากไป นางโบกมือให้ฉาจิ่นด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้า ข้าจะไปกับท่านอาซูอี้ก่อน หากมีเวลาเมื่อใดเราค่อยมาสนทนากันอีกสักครา!”

หลังจากพูดจบนางเข้าไปในรถม้า

ในไม่ช้า รถม้าก็ค่อย ๆ แล่นไปตามถนน

ฉาจิ่นมองตามหลังรถม้าที่ค่อย ๆ หายลับไปจากสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางลงเรื่อย ๆ “เป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ริอาจต่อสู้กับข้าไม่ต่างจากลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ… ”

อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเล็กน้อยในหัวใจของนาง จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากจิ้งจอกตัวน้อยนี้ใช้มารยาไร้ยางอายเพื่อเอาใจซูอี้?

ประเดี๋ยวนะ นี่ข้าคิดอะไรของข้ากัน?

ฉาจิ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวขบขันตัวเอง เลิกล้มความคิดประชันกับเจิ้งมู่เหยา

นางเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างดีที่สุดนางจะอยู่เคียงข้างซูอี้เพียงไม่กี่วัน มันไม่คุ้มที่จะใส่ใจ

ภายในรถม้ากว้างขวางโอ่อ่า พื้นถูกปูด้วยพรมฟอกจากหนังสัตว์และขนปุย โครงสร้างของตัวรถทำจากไม้จันทน์เนื้องาม อีกทั้งภายในรถยังมีเหยือกสุรา ถ้วยชา ขนมขบเคี้ยว รวมไปถึงผลไม้อีกหลายชนิด

เบาะนั่งถูกออกแบบมาอย่างดีเลิศ สามารถนอนราบไปกับมันได้โดยไม่รู้สึกถึงการกระแทกใด ๆ

นอกจากนี้ยังมีไข่มุกราตรีขนาดเท่ากำปั้นห้อยอยู่ที่ด้านบนหลังคาของรถ และมีช่องระบายอากาศทั้งสองด้านทำให้อากาศภายในปลอดโปร่งไม่อุดอู้แม้แต่น้อย

“สมควรเป็นรถของผู้นำตระกูลเจิ้ง ไม่เลวทีเดียว”

ซูอี้นอนเอนอย่างเกียจคร้าน คิดในใจว่าตนเองควรมีรถม้าแบบนี้หรือไม่ เพื่อที่เขาจะได้ใช้มันบนถนนในอนาคต

แต่แล้วเพียงชั่วครู่เขาก็ปฏิเสธความคิดนั้นทันที

การเดินเท้านั้นมีประโยชน์ยิ่งกว่า ได้เพลิดเพลินกับความงามของฟ้าดิน ชื่นชมความยิ่งใหญ่ของภูเขาและลำน้ำ

แต่ถ้าหากคิดอาศัยอยู่ในเมืองโดยตลอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการใช้รถม้าแบบนี้สะดวกสบายที่สุด

เจิ้งมู่เหยานั่งคุกเข่าลงที่เบาะ กระโปรงสีดำเลิกขึ้นเผยให้เห็นขาขาวเรียวยาวคู่หนึ่งซึ่งน่าดึงดูด ยิ่งเมื่อรวมกับรูปร่างที่ร้อนแรงและงดงามของนางแล้ว นางยิ่งน่าดึงดูดเกินกว่าจะละสายตาได้

“คุณชายซู เราจะไปไหนกันหรือ?”

หญิงสาวถามด้วยรอยยิ้ม จ้องมองเข้าไปในดวงตาของซูอี้อย่างกล้าหาญและตรงไปตรงมา

รถม้ากว้างขวางมาก แต่เจิ้งมู่เหยากลับนั่งคุกเข่าเอียงอยู่ใกล้ชิดกับซูอี้

หากมองอย่างผิวเผิน มันประหนึ่งคล้ายนางกำลังซุกตัวอยู่ข้างซูอี้

“ไปเดินเล่นในเมืองกันก่อน”

ซูอี้เหลือบมองหญิงสาวที่เหมือนจิ้งจอกน้อย แล้วชี้ไปที่มุมรถม้า “ไปนั่งตรงนั้น”

เจิ้งมู่เหยาตกตะลึง กะพริบตาปริบ ๆ และพูดว่า “ท่านอาซูอี้ หากท่านไม่รังเกียจท่านสามารถ… อืม… ข้ายินดีหากเป็นท่าน…”

น้ำเสียงของนางแผ่วเบาคล้ายผึ้งตัวน้อยบินอยู่ข้างหู แต่แฝงไว้ด้วยความยั่วยวน

“ข้าไม่ต้องการ”

ซูอี้ย่นจมูก “ถุงหอมที่เจ้าใช้ประกอบด้วยส่วนผสมถึงสิบเก้าชนิด มีทั้งดอกสุนทรียผกามาศเก้าแฉก ดอกกุหลาบ พิมเสนหนาด และยางกราด ถึงแม้ว่ากลิ่นหอมของมันจะช่วยทำให้น่าหลงใหล แต่สำหรับข้า กลิ่นหอมที่เข้มข้นเจ้าชู้เช่นนี้ มันช่างน่ารำคาญ”

“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงบอกให้เจ้าออกไปให้ห่าง?”

เจิ้งมู่เหยาซบเซาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย นางหยิบถุงหอมขนาดเท่าเหรียญทองแดงออกจากเอวที่เรียวยาวของนางแล้วโยนออกจากม่านหน้าต่างรถม้า

หลังจากนั้น หญิงสาวขยับกายที่บอบบางของนาง และนั่งที่มุมรถม้าอีกด้านหนึ่งพลางกัดริมฝีปากที่มันวาวของตน ถ้อยคำเอ่ยออกอย่างน่าสงสาร “คุณชายซู หากข้ารู้ก่อนหน้าว่าท่านไม่ชอบกลิ่นนี้ ข้าจะไม่ใส่มันเด็ดขาด ถ้าท่านต้องการลงโทษข้า… ท่านสามารถดุข้าก็ได้หรือท่านจะทุบตีข้าก็ยินยอม ตราบเท่าที่ท่านมีความสุขข้าผู้นี้ยอมได้ทุกอย่าง”

ซูอี้ถอนหายใจเบาและกล่าวว่า “สาวน้อย การล้อเล่นแบบนี้ตื้นเขินเกินไป ข้าแนะนำให้เจ้ากลับไปฝึกฝนมาอีกครั้ง แม้รูปลักษณ์ของเจ้าจะยอดเยี่ยม แต่กิริยาและเสน่ห์ของเจ้ายังบกพร่อง สำหรับข้ามันน่าเบื่อยิ่ง”

ความน่าหลงใหลที่แท้จริงต้องมาจากการแสดงออกอันเป็นธรรมชาติเช่นเดียวกับเหวินหลิงเสวี่ย ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการขมวดคิ้วและรอยยิ้มอย่างไม่ปรุงแต่งของนาง ดึงดูดผู้คนให้พึงพอใจได้อย่างง่ายดาย

แต่เห็นได้ชัดว่าเจิ้งมู่เหยา ‘กำลังแสดง’ แม้หญิงสาวผู้นี้จะแสดงออกว่ายินยอมและนอบน้อม แต่ด้วยธาตุแท้ซึ่งดุร้ายและดื้อรั้นของนาง ทำให้การกระทำทุกอย่างที่แสดงออกดูขัดแย้งและไร้เสน่ห์ในสายตาของซูอี้

พูดอีกอย่างก็คือ สิ่งที่นางแสดงให้เห็นในตอนนี้ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของนาง

เจิ้งมู่เหยาตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนกลับกลายเป็นขุ่นมัวและไม่แน่นอน…

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset