สายลมอรุณพัดเอื่อย ทะเลสาบสะท้อนประกายแสงแวววับ
หลังอาหารเช้า ซูอี้หยิบสิ่งของหลายอย่างออกมาและเอ่ยสั่ง “หลังจากนี้เจ้าจงนำสิ่งของพวกนี้ไปขายให้แก่หอศิลาทองคำ จงแลกมาเป็นศิลาวิญญาณระดับสองและสมุนไพรวิญญาณเท่านั้น”
สิ่งของเหล่านี้เป็นของที่ริบได้มาจากศพของหลิ่วหงฉีเมื่อวาน
ทว่าซูอี้ไม่ได้ขายสิ่งที่ริบมาได้ไปทั้งหมด ส่วนหนึ่งเขาเก็บไว้กับตัวเอง
สมบัติลับดาบยันต์ ดาบวิญญาณชื่อ ‘ภูผาหิมะ’ ศิลาวิญญาณระดับสามสิบห้าก้อน และสมุนไพรวิญญาณระดับสามเก้าชนิด
สามารถพูดได้ว่าผู้อาวุโสของสำนักวงเดือนนั้นร่ำรวยกว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปอย่างไม่อาจเทียบกันได้!
ยามได้เห็นสมบัติของหลิ่วหงฉีเหล่านี้ นัยน์ตาของฉาจิ่นแสดงให้เห็นถึงความโศกเศร้า แต่กระนั้นนางก็ยังคงพยักหน้ารับคำของซูอี้
แต่แล้วเมื่อแลเห็นซูอี้เดินไปที่ประตูทางออก ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “นายท่าน ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ?”
“ออกไปเดินเล่น” ซูอี้เอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าขอไปด้วยจะได้หรือไม่?” ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะถาม
“ไม่ หากจะออกไป ก็จงไปที่หอศิลาทองคำ” ซูอี้เดินออกไปหลังจากกล่าวจบ
ฉาจิ่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นนางจึงหยิบสิ่งของเหล่านั้นขึ้นมา และตัดสินใจไปที่หอศิลาทองคำ
ทว่าทันทีที่ซุอี้เดินออกจากเรือนพำนักหินศิลา เขาแลเห็นรถม้าที่งดงามตระการตารออยู่ที่นั่น
เจิ้งเทียนเหอ ผู้นำแห่งตระกูลเจิ้งยืนอยู่ข้างรถม้าพร้อมกับหญิงสาวในชุดดำที่แต่งหน้าอย่างประณีตและมีเสน่ห์ราวกับเพลิงสว่าง
“คุณชายซู”
ทันทีที่เขาเห็นซูอี้ เจิ้งเทียนเหอเร่งรีบทักทายด้วยรอยยิ้ม
ผู้นำของหนึ่งในห้าตระกูลชั้นนำแห่งมหานครกุ่นโจว ผู้ร่ำรวยทั้งเงินตราและทรงอำนาจ ทว่าขณะนี้ยามเผชิญหน้ากับซูอี้ ท่าทีของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพจากก้นบึ้งของหัวใจ
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวในชุดดำชะงักงันไปชั่วขณะ และอดไม่ได้ที่จะมองดูซูอี้อย่างจริงจัง นี่คือชายผู้เลิศล้ำที่บิดาของนางพูดถึงใช่หรือไม่?
ช่างหล่อเหลามากด้วยเสน่ห์!
ดวงตาที่สวยงามของนางเป็นประกาย คิ้วคู่โค้งหวานยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของนางหรี่ลงคล้ายจิ้งจอกเยาว์ ทั้งมีเสน่ห์และน่าหลงใหล
“มาหาข้ามีสิ่งใดงั้นหรือ?” ซูอี้เอ่ยถาม
เจิ้งเทียนเหอยิ้มและพูดว่า “ข้าได้รับรู้ว่าท่านเพิ่งมาถึงมหานครกุ่นโจวเมื่อวานนี้ ข้าจึงคิดว่าท่านอาจต้องการใครสักคนที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในเมืองคอยอยู่เคียงข้าง ดังนั้นข้าจึงรอที่นี่แต่เช้าและวางแผนที่จะแนะนำลูกสาวตัวน้อยของข้า แม้นางจะไม่สามารถคลี่คลายปัญหาใหญ่โตให้ท่านได้ แต่นางก็ยังสามารถแก้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบความสะดวกให้แก่ท่านได้ไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอน”
ฉาจิ่นที่บังเอิญเดินออกจากประตูพอดี ได้ยินคำเหล่านี้ นางอดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง ดวงตากวาดมองอย่างจับผิด
ผู้นำตระกูลเจิ้งผู้สูงศักดิ์ครอบครองอำนาจมหาศาล ใครจะกล้าเชื่อว่าขณะนี้เขากระตือรือร้นอยากเอาใจซูอี้ตั้งแต่เช้าตรู่?
เจิ้งเทียนเหอทักทายฉาจิ่นด้วยรอยยิ้มเช่นกัน แล้วจึงโบกมือไปทางลูกสาวของตนเอง “ลูกพ่อ มาทักทายกับคุณชายซูเร็วเข้า”
หญิงสาวชุดดำก้าวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กะพริบตาสวยของนาง แล้วพูดอย่างฉะฉานว่า “ท่านอาซู เมื่อคืนนี้ท่านพ่อของข้าเล่าให้ข้าฟังเรื่องของท่านแล้ว โปรดอย่าได้กังวล ข้าสัญญาว่าจะดูแลท่านอย่างดี ยามเมื่อมีข้าข้างกาย ท่านจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน!”
หญิงสาวผู้นี้มีอายุเพียงสิบหกถึงสิบเจ็ดปี แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีดำพลิ้วไหว ขับให้ผิวพรรณขาวประหนึ่งหิมะยิ่งกระจ่างชัดเปล่งประกาย ผมยาวสีน้ำตาลอ่อน ริมฝีปากก็ชุ่มฉ่ำเป็นมันเงา ใบหน้าเข้ารูปงดงามไร้ที่ติอย่างไม่ต้องสงสัย
ยามมองไปที่ซูอี้ ดวงตาของนางมีแต่ความชื่นชมยินดี
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความงามระดับนี้ไม่ว่าบุรุษวัยใดต่างก็ต้องลุ่มหลงเป็นธรรมดา
“จิ้งจอกน้อยตัวนี้ไม่มียางอายบ้างเลยหรือไร ถึงกล้าเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันครั้งเรียกเป็นอาของตนเอง? กล้าขนาดนี้เหตุใดไม่เรียกเป็นพ่อทูนหัวเสียเลยเล่า!”
ฉาจิ่นพึมพำอย่างรำคาญกับตัวเอง
“คุณชายซู นี่คือลูกสาวที่ไร้ความสามารถของข้า นางชื่อมู่เหยา หรือท่านจะเรียกนางว่าเสี่ยวเหยาก็ย่อมได้”
เจิ้งเทียนเหอแนะนำด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้สามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงสาวที่ร้อนแรงและสวยงามนางนี้แม้ภายนอกจะดูเชื่อฟัง แต่จริง ๆ แล้วนี่เป็นเพียงการแสดงแสร้งตบตา ในแววตาลึก ๆ ของนางนั้นแฝงซึ่งความดุร้าย แต่กระนั้น เขาหาได้สนใจสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้ไม่
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นความจริงที่เขาต้องการคนที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในมหานครกุ่นโจวมาอยู่เคียงข้าง เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มจึงพยักหน้า และเอ่ยยินยอม “ข้ายินดีให้อยู่เคียงข้าง แต่มีหนึ่งเงื่อนไขที่เจ้าต้องยอมรับ จงเชื่อฟังและอย่าได้สร้างปัญหา”
“ท่านอาซูอี้ ไม่ต้องกังวลใจ ตัวข้านั้นเป็นเลิศที่สุดในเรื่องเชื่อฟัง”
เจิ้งมู่เหยายิ้มอย่างอ่อนหวาน หางตาของนางโค้งเหมือนจิ้งจอกตัวน้อย
ซูอี้มองผ่านความคิดแอบแฝงของหญิงสาวนางนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น นางเพียงสัญญาว่าจะเชื่อฟัง แต่ไม่ได้สัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหา
แน่นอนว่า ซูอี้ขี้เกียจเกินกว่าจะเอ่ยคำเพื่อแก้ไขเรื่องเล็กน้อยนี้
หากหญิงสาวกล้าสร้างปัญหาให้เขาจริง ๆ เขาจะไม่สนใจใบหน้าของเจิ้งเทียนเหอ และจะให้บทเรียนที่หญิงสาวคนนี้จะต้องจำไม่ลืมเลือนหากสร้างปัญหาให้กับเขา
“นายน้อยซู แม่นางฉาจิ่น เจิ้งผู้นี้คงต้องขอตัวก่อน”
เจิ้งเทียนเหอหันกลับไปโดยไม่ชักช้าโน เวล กู ดอท คอม
ก่อนจากไป เขายังทิ้งรถม้าอันวิจิตรงดงามพร้อมกับสารถีไว้ให้ซูอี้ได้ใช้งาน
“สาวน้อยเอ๋ย พ่อของเจ้าให้เจ้าได้อยู่เคียงข้างคุณชายซูเพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น ดังนั้นแล้วจงอย่าทำให้พ่อของเจ้าต้องผิดหวัง เจ้าต้องคิดให้รอบคอบว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำ”
ขณะเดียวกัน ฉาจิ่นเดินเข้าใกล้และพูดเบา ๆ กับเจิ้งมู่เหยา
เจิ้งมู่เหยาสังเกตเห็นฉาจิ่นตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยความงามอันน่าทึ่งของฉาจิ่นมันย่อมดึงดูดความสนใจไม่ว่าจากสตรีหรือบุรุษหนุ่ม
นางยิ้มและถามกลับ “ท่านป้าผู้นี้มีนามว่าอะไรหรือ?”
ใบหน้างามงดของฉาจิ่นชะงักค้าง “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ!?”
เจิ้งมู่เหยาพูดอย่างไร้เดียงสา “ท่านป้ากับท่านอาซูอี้อยู่ด้วยกัน มันแปลกตรงไหนหากข้าจะคิดว่าพวกท่านเป็นคนรุ่นเดียวกัน ย่อมสมควรแล้วที่ข้าเรียกท่านป้าเยี่ยงผู้อาวุโสกว่า”
ทุกครั้งที่นางเอ่ยคำว่า ‘ท่านป้า’ น้ำเสียงจะตอกย้ำดังชัดเจนประหนึ่งหยอกล้อต่ออีกฝ่าย
ฉาจิ่นหงุดหงิด นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้กำลังยั่วโมโหตัวเองอยู่?
นางเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวของเจิ้งมู่เหยา และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับเป็นผู้อาวุโสกว่า
“ยอมรับตัวเองเป็นเด็กเช่นนี้ก็ดี จงจำคำของพี่สาวคนนี้ไว้ ปกติแล้วหากเด็กคนไหนทำผิดพลาด เด็กคนนั้นมักจะโดนตีก้น”
เจิ้งมู่เหยาตะลึงงันครู่หนึ่งก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มหวาน “ท่านป้าอย่าได้กังวล หากท่านอาซูอี้ทุบตีข้าจริง ๆ เช่นนั้นมันก็แปลว่าข้าสมควรโดน ข้าย่อมไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย”
ถูกเรียกป้าอีกครั้งหนึ่งทำให้ฉาจิ่นลอบกัดฟันกรอดอย่างลับ ๆ ทว่าใบหน้าของนางยังคงยิ้ม “เข้าใจก็ดีแล้ว เชื่อในสิ่งที่พ่อของเจ้าสั่ง อย่าได้ทำให้พ่อของเจ้าผิดหวัง ข้อนี้เจ้าควรใส่ใจใช่หรือไม่?”
เจิ้งมู่เหยาพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาแต่ยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่สำคัญว่าพ่อของข้าจะผิดหวังหรือไม่ ตราบใดที่ท่านอาซูอี้พอใจก็นับว่าเพียงพอแล้ว”
ซูอี้เอ่ยถามอย่างหมดความอดทน “พวกเจ้าเสร็จกันแล้วหรือยัง?”
เจิ้งมู่เหยาและฉาจิ่น สองสาวงาม คนหนึ่งใหญ่อีกคนหนึ่งเล็ก ต่างปิดปากและมองหน้ากัน บรรยากาศแห่งการแข่งขันที่มองไม่เห็นบ่มเพาะอยู่ในหัวใจของสตรีทั้งสอง
“ไปกันเถอะ ข้าอยากชมรอบเมือง”
ซูอี้เดินตรงไปที่รถม้า
เจิ้งมู่เหยารีบเดินตาม ทว่าก่อนที่นางจะจากไป นางโบกมือให้ฉาจิ่นด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้า ข้าจะไปกับท่านอาซูอี้ก่อน หากมีเวลาเมื่อใดเราค่อยมาสนทนากันอีกสักครา!”
หลังจากพูดจบนางเข้าไปในรถม้า
ในไม่ช้า รถม้าก็ค่อย ๆ แล่นไปตามถนน
ฉาจิ่นมองตามหลังรถม้าที่ค่อย ๆ หายลับไปจากสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางลงเรื่อย ๆ “เป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ริอาจต่อสู้กับข้าไม่ต่างจากลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ… ”
อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเล็กน้อยในหัวใจของนาง จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากจิ้งจอกตัวน้อยนี้ใช้มารยาไร้ยางอายเพื่อเอาใจซูอี้?
ประเดี๋ยวนะ นี่ข้าคิดอะไรของข้ากัน?
ฉาจิ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวขบขันตัวเอง เลิกล้มความคิดประชันกับเจิ้งมู่เหยา
นางเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างดีที่สุดนางจะอยู่เคียงข้างซูอี้เพียงไม่กี่วัน มันไม่คุ้มที่จะใส่ใจ
…
ภายในรถม้ากว้างขวางโอ่อ่า พื้นถูกปูด้วยพรมฟอกจากหนังสัตว์และขนปุย โครงสร้างของตัวรถทำจากไม้จันทน์เนื้องาม อีกทั้งภายในรถยังมีเหยือกสุรา ถ้วยชา ขนมขบเคี้ยว รวมไปถึงผลไม้อีกหลายชนิด
เบาะนั่งถูกออกแบบมาอย่างดีเลิศ สามารถนอนราบไปกับมันได้โดยไม่รู้สึกถึงการกระแทกใด ๆ
นอกจากนี้ยังมีไข่มุกราตรีขนาดเท่ากำปั้นห้อยอยู่ที่ด้านบนหลังคาของรถ และมีช่องระบายอากาศทั้งสองด้านทำให้อากาศภายในปลอดโปร่งไม่อุดอู้แม้แต่น้อย
“สมควรเป็นรถของผู้นำตระกูลเจิ้ง ไม่เลวทีเดียว”
ซูอี้นอนเอนอย่างเกียจคร้าน คิดในใจว่าตนเองควรมีรถม้าแบบนี้หรือไม่ เพื่อที่เขาจะได้ใช้มันบนถนนในอนาคต
แต่แล้วเพียงชั่วครู่เขาก็ปฏิเสธความคิดนั้นทันที
การเดินเท้านั้นมีประโยชน์ยิ่งกว่า ได้เพลิดเพลินกับความงามของฟ้าดิน ชื่นชมความยิ่งใหญ่ของภูเขาและลำน้ำ
แต่ถ้าหากคิดอาศัยอยู่ในเมืองโดยตลอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการใช้รถม้าแบบนี้สะดวกสบายที่สุด
เจิ้งมู่เหยานั่งคุกเข่าลงที่เบาะ กระโปรงสีดำเลิกขึ้นเผยให้เห็นขาขาวเรียวยาวคู่หนึ่งซึ่งน่าดึงดูด ยิ่งเมื่อรวมกับรูปร่างที่ร้อนแรงและงดงามของนางแล้ว นางยิ่งน่าดึงดูดเกินกว่าจะละสายตาได้
“คุณชายซู เราจะไปไหนกันหรือ?”
หญิงสาวถามด้วยรอยยิ้ม จ้องมองเข้าไปในดวงตาของซูอี้อย่างกล้าหาญและตรงไปตรงมา
รถม้ากว้างขวางมาก แต่เจิ้งมู่เหยากลับนั่งคุกเข่าเอียงอยู่ใกล้ชิดกับซูอี้
หากมองอย่างผิวเผิน มันประหนึ่งคล้ายนางกำลังซุกตัวอยู่ข้างซูอี้
“ไปเดินเล่นในเมืองกันก่อน”
ซูอี้เหลือบมองหญิงสาวที่เหมือนจิ้งจอกน้อย แล้วชี้ไปที่มุมรถม้า “ไปนั่งตรงนั้น”
เจิ้งมู่เหยาตกตะลึง กะพริบตาปริบ ๆ และพูดว่า “ท่านอาซูอี้ หากท่านไม่รังเกียจท่านสามารถ… อืม… ข้ายินดีหากเป็นท่าน…”
น้ำเสียงของนางแผ่วเบาคล้ายผึ้งตัวน้อยบินอยู่ข้างหู แต่แฝงไว้ด้วยความยั่วยวน
“ข้าไม่ต้องการ”
ซูอี้ย่นจมูก “ถุงหอมที่เจ้าใช้ประกอบด้วยส่วนผสมถึงสิบเก้าชนิด มีทั้งดอกสุนทรียผกามาศเก้าแฉก ดอกกุหลาบ พิมเสนหนาด และยางกราด ถึงแม้ว่ากลิ่นหอมของมันจะช่วยทำให้น่าหลงใหล แต่สำหรับข้า กลิ่นหอมที่เข้มข้นเจ้าชู้เช่นนี้ มันช่างน่ารำคาญ”
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงบอกให้เจ้าออกไปให้ห่าง?”
เจิ้งมู่เหยาซบเซาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย นางหยิบถุงหอมขนาดเท่าเหรียญทองแดงออกจากเอวที่เรียวยาวของนางแล้วโยนออกจากม่านหน้าต่างรถม้า
หลังจากนั้น หญิงสาวขยับกายที่บอบบางของนาง และนั่งที่มุมรถม้าอีกด้านหนึ่งพลางกัดริมฝีปากที่มันวาวของตน ถ้อยคำเอ่ยออกอย่างน่าสงสาร “คุณชายซู หากข้ารู้ก่อนหน้าว่าท่านไม่ชอบกลิ่นนี้ ข้าจะไม่ใส่มันเด็ดขาด ถ้าท่านต้องการลงโทษข้า… ท่านสามารถดุข้าก็ได้หรือท่านจะทุบตีข้าก็ยินยอม ตราบเท่าที่ท่านมีความสุขข้าผู้นี้ยอมได้ทุกอย่าง”
ซูอี้ถอนหายใจเบาและกล่าวว่า “สาวน้อย การล้อเล่นแบบนี้ตื้นเขินเกินไป ข้าแนะนำให้เจ้ากลับไปฝึกฝนมาอีกครั้ง แม้รูปลักษณ์ของเจ้าจะยอดเยี่ยม แต่กิริยาและเสน่ห์ของเจ้ายังบกพร่อง สำหรับข้ามันน่าเบื่อยิ่ง”
ความน่าหลงใหลที่แท้จริงต้องมาจากการแสดงออกอันเป็นธรรมชาติเช่นเดียวกับเหวินหลิงเสวี่ย ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการขมวดคิ้วและรอยยิ้มอย่างไม่ปรุงแต่งของนาง ดึงดูดผู้คนให้พึงพอใจได้อย่างง่ายดาย
แต่เห็นได้ชัดว่าเจิ้งมู่เหยา ‘กำลังแสดง’ แม้หญิงสาวผู้นี้จะแสดงออกว่ายินยอมและนอบน้อม แต่ด้วยธาตุแท้ซึ่งดุร้ายและดื้อรั้นของนาง ทำให้การกระทำทุกอย่างที่แสดงออกดูขัดแย้งและไร้เสน่ห์ในสายตาของซูอี้
พูดอีกอย่างก็คือ สิ่งที่นางแสดงให้เห็นในตอนนี้ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของนาง
เจิ้งมู่เหยาตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนกลับกลายเป็นขุ่นมัวและไม่แน่นอน…