ใต้ทะเลสาบซอกชน
ณ ส่วนลึกสุดของวงกตแช่แข็ง
ผ้าคลุมลายตาข่ายรูปปีกผีเสื้อ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนาบีรยองภายในเกม กำลังเผยตัวจางๆ ตรงหน้าพวกเรา
ใต้ผ้าคลุมนั่น ชายแขนเสื้อกำลังปลิวไสวอย่างพร่ามัว
[ฮุฮุ… ยินดีต้อนรับ น่าทึ่งมาก ทั้งที่มีมนุษย์มาด้วย แต่กลับไม่มีใครบาดเจ็บเลย… ไม่ทุกข์ทรมานเพราะพิษวิเศษกันหรือ?]
หล่อนกลัวจะถูกวิเคราะห์เสียงหรือยังไง?
เสียงพูดของนาบีรยองถูกแปลงจนเพี้ยนไปจากปกติ
“…ผีเสื้อที่เคยกักขังฉันในมิติระหว่างความจริงกับความฝัน”
ได้ยินคำพูดควอนเจอิน ลูกทีมทะเลสาบนิรันดร์สองคนเผยสีหน้าโกรธแค้น
ร่างอันพร่ามัวของนาบีรยองมองมาทางควอนเจอิน
[ไม่ได้พบกันเสียนาน ควอนเจอิน]
น้ำเสียงของนาบีรยองฟังดูเป็นมิตร ราวกับกำลังทักทายสหายเก่าแก่
ควอนเจอินยังคงทำหน้านิ่ง แต่บอกได้ว่าเธอไม่มีความสุขนัก เพราะน้ำเสียงแข็งกระด้างขึ้นทันที
“ฉันมีเรื่องอยากถามเธอเพียบเลยล่ะ… แต่มีหนึ่งคำถามคาใจมากที่สุด”
[เชิญถามได้เท่าที่ต้องการ]
ดวงตาสีน้ำเงินไร้อารมณ์ของควอนเจอินเริ่มสั่นไหว
“ในวันนั้น ทำไมถึงต้องขังฉันแล้วแบ่งคนในทีมออกเป็นสองกลุ่ม? ขอแค่เธอบอกพิกัดมา… ทีมทะเลสาบนิรันดร์จะรีบมุ่งหน้าไปจัดการรอยแยกแมนเชสเตอร์ให้ทันที… ไม่สิ ถ้ามีการเตือนล่วงหน้าว่าสมาคมเพลเยอร์จะถูกเผ่าแท้ลอบโจมตี โศกนาฏกรรมเหล่านี้คงไม่เกิด…”
[นั่นก็จริง…]
นาบีรยองมอบคำตอบโดยไม่รอให้ควอนเจอินพูดจบ
[ข้าทำเช่นนั้นเพราะต้องการลดความเสี่ยงที่จะถูกท่านผู้นั้นล่วงรู้ ขณะเดียวกันก็เพื่อเพิ่มโอกาสรอดให้เจ้า… ควอนเจอิน]
ใบหน้าของนาบีรยองถูกบดบังภายใต้เงาดำอันพร่ามัว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทุกคนรับรู้ได้ว่าเธอกำลังยิ้ม
ควอนเจอินถามกลับ
“โอกาสรอดของฉัน?”
[ใช่… ลอกนึกดูให้ดี หากไม่ใช่เพราะการเสียสละของครอบครัวและพวกพ้อง เจ้าคิดจริงหรือว่าตัวเองจะได้มายืนอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัย?]
ฉันเริ่มเข้าใจเจตนาของนาบีรยองในโศกนาฏกรรมรอยแยกแมนเชสเตอร์แล้ว
เมื่อควอนเจอินรับรู้เจตนาของอีกฝ่าย ผิวหน้าเธอพลันขาวซีด
[หรือต่อให้เจ้ารอดชีวิตกลับมา แต่ก็คงเล่นไวโอลินไม่ได้อีกแล้ว… เพลเยอร์นักไวโอลินอย่างเจ้ามีไม่มากนัก… ทุกคนที่ตายไปในวันนั้นล้วนยอดเยี่ยมก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาคนมาทดแทน]
“อะไรนะ…!”
[จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีนักไวโอลินคนใดก้าวข้ามเจ้าได้… แต่ทีมทะเลสาบนิรันดร์กำลังไปได้ดีกับสมาชิกชุดใหม่มิใช่หรือ?]
ควอนเจอินแผดเสียงตวาด
“แม่ของฉัน… พี่ชาย… เพื่อน… ไม่มีใครแทนพวกเขาได้! ไม่มีวัน!!”
[สำหรับเจ้าอาจเป็นแบบนั้น แต่ไม่ใช่กับข้าและโลกใบนี้]
ร่างควอนเจอินเริ่มแผ่ออร่าพลังวิเศษสีน้ำเงิน
‘เธอกำลังจะคลุ้มคลั่ง!’
ยังผ่านไปไม่นานหลังจากควอนเจอินต้องพบเจอเรื่องสะเทือนขวัญ เช่นจาเร็ด·ลีถูกฝ่ายบังคับใช้กฎหมายคุมตัวไป และคนรู้จักมีรายชื่ออยู่ในมายาลิสต์
ยิ่งได้ยินว่าครอบครัวและเพื่อนสนิทต้องสังเวยชีวิตเพราะตน สติของเธอก็ยิ่งเลือนราง
“เจน! สงบสติหน่อย! นั่นไม่ใช่ความจริง!”
“จาเร็ดก็ดันไม่อยู่อีก…!”
ดูเหมือนควอนเจอินจะไม่ได้ยินเสียงเรียกของลูกทีม
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีสัญญาณว่า เธอพยายามข่มพลังวิเศษไว้อย่างสุดความสามารถ
“…ช่วยไม่ได้”
เสือเหลืองในวัยสามสิบใช้หนึ่งนิ้วกดลงบนหน้าผากควอนเจอิน
ซู่ว!
แสงจ้าระเบิดจากปลายนิ้วเสือเหลืองพร้อมกับตรึงพลังวิเศษสีน้ำเงินไว้
ห้องบอสถูกฉาบด้วยแสงสีทองเรืองรองอยู่สักพัก พอรู้ตัวอีกทีควอนเจอินก็หมดสติไปแล้ว
“อะ…!”
“เจน!”
เสือเหลืองถอนมือกลับเมื่อเห็นว่าลูกทีมทะเลสาบนิรันดร์ช่วยประคองควอนเจอินไว้ได้
“ข้าได้ผนึกพลังและทำให้หมดสติ… เธอจะใช้พลังวิเศษไม่ได้ไปอีก 24 ชั่วโมง”
นิ้วของเสือเหลืองที่สัมผัสหน้าผากควอนเจอิน ตอนนี้กลายเป็นสีฟ้าหม่น
เสือเหลืองก้มมองนิ้วสีประหลาดของตน จากนั้นก็หันไปทางนาบีรยอง
นาบีรยองผู้ยืนมองร่างอันหมดสติของควอนเจอิน กล่าวด้วยเสียงสดใสเมื่อสัมผัสถึงสายตาของเสือเหลือง
[ผู้นำเผ่าเสือ… รู้ตัวไหมว่าข้าเดือดร้อนแค่ไหนที่ท่านทำตัวหย่อนยาน? ฮุฮุ… พักนี้คงได้สติกลับมาแล้วสินะ มีงานหนักรออยู่เพียบเลยล่ะ]
“อยากจะพูดอะไรกันแน่? หรือถ้าอยากตายนัก ข้าก็สงเคราะห์ให้ได้นะ นังผีเสื้อ”
นาบีรยองผายมือกว้างขณะกล่าวกับเสือเหลืองผู้กำลังหัวเสีย
[โบราณเคยว่าไว้… แค่ผีเสื้อกระพือปีก พายุอาจก่อตัว]
“…เจ้ากำลังจะก่อพายุ?”
[ผิดแล้ว ตรงกันข้ามต่างหาก]
น้ำเสียงของนาบีรยองเจือความขี้เล่น
[ข้าเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่า… การแอบกระพือปีกอย่างลับๆ ของข้า จะช่วยยับยั้งพายุของ ‘ท่านผู้นั้น’ ได้หรือไม่]
พฤติกรรมแปลกๆ ของนาบีรยองในเกมคงมีจุดเริ่มต้นจากแนวคิดดังกล่าว
‘ถ้าฟังแค่นี้อาจหลงเชื่อว่านาบีรยองเป็นฝ่ายดี แต่นั่นไม่จริงเลย’
นาบีรยองผู้ยื่นมือช่วยเหลือกลุ่มตัวเอก ‘เพียงเล็กน้อย’ ยังไม่ดีพอจะถูกเรียกว่าฝ่ายดี
ขณะฉันนึกทบทวนทุกคำพูดและการกระทำของนาบีรยองเพื่อตีความเจตนาที่แท้จริง เสือเหลืองกล่าวต่อไป
“อยากจะยับยั้งพายุที่ท่านผู้นั้นก่อ? ง่ายนิดเดียว บอกข้ามาสิว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร และพายุคืออะไร”
[คงไม่ได้ ข้อมูลเหล่านั้นมิได้ช่วยให้พวกเจ้ายับยั้งพายุสำเร็จ รังแต่จะทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากมากขึ้น]
“ดูมั่นใจจังเลยนะ”
[อย่าทำตัวเบาปัญญานักเลย เจ้านะมีสิ่งสำคัญในชีวิตเต็มไปหมด… ลองนึกภาพตามดู หากเจ้ามีแค่สองทางเลือก หนึ่งคือการยับยั้งพายุอย่างครึ่งๆ กลางๆ ไปพร้อมกับปกป้องสิ่งสำคัญ หรือสอง ยับยั้งพายุโดยใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่สนใจว่าจะมีใครต้องเสียสละ… อย่างเจ้าคงไม่กล้าเลือกวิธีที่มีประสิทธิภาพแน่ เข้าใจหรือยังว่าทำไมพวกเจ้าถึงไม่มีทางทำสำเร็จ?]
ได้ยินคำพูดนี้ ฉันมั่นใจทันที
‘นาบีรยองอาจมีเป้าหมายเดียวกับเรา แต่เธอเลือกเดินไปคนละทาง’
ฉันพอจะรู้อยู่แล้วพายุของ ‘ท่านผู้นั้น’ เป็นโศกนาฏกรรมทำนองไหน
มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำอย่างครึ่งๆ กลางๆ แล้วสำเร็จจริงๆ นั่นแหละ… ก็เข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงเลือกวิธีนี้
นาบีรยองจึงไม่สนว่าจะใครอยู่หรือตาย
“พูดยังกับเจ้าไม่มีสิ่งสำคัญในชีวิต…”
ได้ยินคำถามของเสือเหลือง น้ำเสียงนาบีรยองยิ่งทวีความเจ้าเล่ห์
[ก็ต้องไม่มีอยู่แล้ว… หรือต่อให้มี แต่ถ้ายังยั้งพายุของท่านผู้นั้นไม่สำเร็จ สิ่งสำคัญทั้งหมดก็จะแหลกสลายไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ?]
“สรุปแล้ว เจ้าจะยอมบอกข้อมูลสำคัญไหม? ถ้าไม่ ข้าจะนำเรื่องที่เจ้าทรยศไปบอกกับเผ่าหมี”
[หืม… ถ้าเจ้าทำแบบนั้น เห็นทีข้าคงรอดยาก… แต่มันคุ้มกันแล้วหรือ? เจ้าจะเสียแหล่งข้อมูลชั้นดีไปตลอดกาลเลยนะ]
นาบีรยองดูไม่หวั่นไหวกับคำขู่ของเสือเหลือง
เมื่อเสือเหลืองปิดปากเงียบ นาบีรยองพูดอีกครั้ง
[เกมถามตอบจบลงแล้ว… เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ที่ที่พวกเราอยู่ตอนนี้คือ ‘รอยแยกแช่แข็ง’]
นาบีรยองทยอยเล่าข้อมูลที่ฉันเคยอ่านจากในเกมไปทีละประเด็น
ข้อตกลงระหว่างอดีตประธานสมาคมเพลเยอร์เกาหลีกับเผ่าแท้บางคน
สกิลสำหรับแช่แข็งรอยแยก
ความเย็นและพิษวิเศษที่แผ่จากรอยแยกแช่แข็ง
ความจริงเบื้องหลังโศกนาฏกรรมทะเลสาบซอกชนเมื่อหลายปีก่อน
[ที่ข้าอยากจะบอกมีแค่นี้… ไว้มีข้อมูลเพิ่มเติมที่ข้าสามารถเล่าได้ จะส่งข้อความไปหาทีหลังก็แล้วกัน]
“ถ้าหมดประโยชน์แล้วก็ไสหัวไป”
นาบีรยองหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินคำสบถของเสือเหลือง
เธอจ้องมาทางพวกเราทีละคน ราวกับมีบางอย่างจะพูดก่อนอำลา
เสือเหลืองที่กำลังหงุดหงิด
ควอนเจอินที่หมดสติไปภายใต้การประคองของลูกทีมทะเลสาบนิรันดร์
ลูกทีมสองคนที่กำลังมองนาบีรยองด้วยสายตาเคียดแค้น
และฉันที่เอาแต่ปิดปากเงียบ
นาบีรยองชะงักสายตา
[อุ๊ย…]
ฟ้าว!
ผงเกล็ดผีเสื้อจำนวนมากพุ่งมาตรงหน้าฉันทันที
ในสถานะปัจจุบัน นาบีรยองจะไม่ถูกขัดขวางโดยพลังเชิงกายภาพทุกชนิด
เสือเหลืองซึ่งเตรียมจะกางบาเรียปกป้อง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายผ่านเข้ามา
เมื่อผงเกล็ดหยุดเคลื่อนไหว ร่างอันพร่ามัวของเธอย้ายมาอยู่ตรงหน้าฉัน
[…หืม มนุษย์นี่นา]
แล้วคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร?
[ทำงานกับเผ่าเสืออยู่หรือ? มาอยู่กับข้าไหม? สัญญาว่าดูแลเป็นอย่างดี… ดีกว่าท่านผู้นำขี้เกียจตรงนั้นแน่นอน]
“ยังไม่ไสหัวไปอีก” пᴏᴠᴇʟɢu.ᴄoᴍ
เสือเหลืองไม่เก็บซ่อนความรำคาญใจ
เขาปฏิบัติกับนาบีรยองไม่แตกต่างจากอ๊กโทยอน
‘ใจจริงอยากฟังข้อมูลจากนาบีรยองมากกว่านี้ แต่ว่า…’
ไม่เกี่ยวกับว่าเสือเหลืองดูแลเราดีหรือไม่ แต่เรากับนาบีรยองไม่มีวันจูงมือเดินไปทางเดียวกันได้
“ขอปฏิเสธ อุดมคติของเราไม่ตรงกัน”
นาบีรยองเอียงคอเล็กน้อย
[แปลกจัง… เจ้ามีสิ่งสำคัญที่อยากปกป้องด้วยหรือ?]
หล่อนเห็นอะไรในตัวเรา? เพิ่งเจอหน้ากันแท้ๆ ทำไมถึงถามอะไรแบบนี้?
ฉันตอบกลับไปโดยไม่คิดมาก
“มีสิ เยอะแยะ”
คำตอบของฉันทำให้นาบีรยองยิ่งหัวเราะเสียงดัง
[ฮุฮุฮุ… อุฮุฮะฮะฮะ!]
คำตอบของเรามีอะไรน่าขำ?
เนื่องจากเธอแปลงเสียง ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนเครื่องจักรกำลังหัวเราะ
และนั่นเริ่มทำให้ฉันอารมณ์เสีย
พูดว่า ‘ไสหัวไปซะ’ เหมือนกับเสือเหลืองดีไหม?
[ข้ากำลังอารมณ์ดีเพราะได้เห็นอะไรดีๆ เข้า… จะบอกใบ้ให้สักหน่อยก็แล้วกัน]
เค้าโครงของนาบีรยองผู้หัวเราะชอบใจเป็นบ้าเป็นหลัง ค่อยๆ จางลงจนเกือบจะสลาย
ราวกับเตรียมจากไปทันทีหลังจากทิ้งคำใบ้เสร็จ
[ท่านผู้นั้นเกลียดชังเทพสวรรค์มากกว่าใครในโลก]
กล่าวจบ ร่างนาบีรยองสลายไปโดยไม่เหลือไว้แม้แต่เศษผง
* * *
หากไม่นับควอนเจอินที่หมดสติ หน่วยบุกทุกคนกลับจากรอยแยกต่างโลกอย่างปลอดภัย
ระหว่างนี้เอนามีถูกผลิตด้านนอกรอยแยกเป็นระยะ แต่หน่วยป้องกันก็จัดการได้ไม่ยากเย็น
ได้ยินว่าอ๊กโทยอนป่วนการต่อสู้พอสมควร บรรดาเผ่าเสือจึงหัวเสียไม่น้อย
“พวกเราขอตัวก่อนครับ ไว้เจนได้สติเมื่อไรจะติดต่อกลับไป”
“อา… ไปเถอะ”
เห็นลูกทีมทะเลสาบนิรันดร์ก้มศีรษะให้ เสือเหลืองกวักมือไล่
ควอนเจอินยังคงไม่ได้สติแม้จะกลับมายังโลก เดือดร้อนลูกทีมต้องแบกขึ้นหลังกลับไป
“สมาคมเพลเยอร์ทำงานได้ไม่เลว… ไม่มีการบันทึกภาพเอาไว้”
เสือเหลืองพูดขณะตรวจสอบเว็บไซต์สมาคมเพลเยอร์เกาหลี
ฉันมีแผนจะแยกกับเสือเหลืองแล้วตรงกลับโรงเรียนทันที เพราะดูแล้วอีกฝ่ายคงอยากประชุมกับเผ่าเสือต่อ
ก่อนอ๊กโทยอนจะชิ่งกลับ ฉันไม่ลืมแลกดีไวซ์โค้ดกับเธอ
“ถึงเวลาเก็บงาน”
เสือเหลืองยกนิ้วที่กลายเป็นสีฟ้าหม่นเพราะควอนเจอินขึ้น
ทันใดนั้น ทะเลสาบเริ่มเคลื่อนไหว
ครืนนนนน!
เสือเหลืองใช้มือข้างหนึ่งควบคุมน้ำในทะเลสาบ ส่วนอีกข้างควบคุมผืนดิน
ซ่าซ่า—!
เพียงพริบตาเดียว ทะเลสาบซอกชนกลับคืนรูปร่างปกติ
ภารกิจจู่โจมรอยแยกแช่แข็งใต้บาดาลถึงคราวรูดม่านปิดฉากอย่างสมบูรณ์
“โชอึยชิน ได้เห็นนังผีเสื้อทำตัวแปลกๆ ต่อหน้าเจ้า ข้ามีคำถามมากมาย… แต่ก็นะ พวกเรายังมีเวลาเหลือเฟือในช่วงสุดสัปดาห์”
ก่อนจะแยกกัน เสือเหลืองหรี่เสียงขณะกล่าวทิ้งท้าย เป็นเสียงที่เบาจนเผ่าเสือคนอื่นไม่ได้ยิน
…ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ทางนี้ก็ไม่รู้จะเล่าอะไรเหมือนกัน
ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนาบีรยองถึงทำตัวและพูดจาแบบนั้น
‘ช่างเถอะ จบสวยกว่าที่คิดไว้ก็ดีแล้ว’
ตัวตนของรอยแยกแช่แข็งและสกิลแช่แข็ง ล่วงรู้ไปถึงเผ่าเสือและสมาคมอย่างราบรื่นโดยที่ฉันไม่ต้องเล่าอะไรเลย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อนาคตจะเปลี่ยนไปในเชิงบวกมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนาคตของ ‘พระเอก’ อย่างจูซูย็อก
‘ในเมื่อไม่ได้เข้าร่วมทีมเคลียร์รอยแยก จูซูย็อกย่อมไม่ตกเป็นเป้าสายตาของเผ่าอสูร’
ภายในเกม จูซูย็อกต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย หลังจากกลายเป็นผู้ทำผลงานอันดับหนึ่งในหน่วยบุกรอยแยกแช่แข็ง
ขอแค่ไม่เข้าไปพัวพันกับเหตุร้ายที่เราไม่เคยพบเจอในเกม เขาก็จะไม่ต้องทุกข์ทรมานเพราะเผ่าอสูร
‘ถึงจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์วันนี้จะนำพาอนาคตแบบไหนมาให้ แต่ก็คงไม่เลวร้ายไปกว่าในเกม… และตอนนี้มีเรื่องอื่นที่ฉันควรกังวลมากกว่า’
วันศุกร์ที่ใกล้จะถึง ฉันต้องเตรียมจัดอีเวนต์วันครูร่วมกับเพื่อนในห้อง และใช้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่คฤหาสน์วังมยองโฮ
‘เตรียมอะไรเป็นของขวัญให้พวกเด็กๆ ดีนะ’
ขณะเดินกลับโรงเรียนในสภาพพรางตัว ฉันไตร่ตรองหลายตัวเลือกที่ผุดขึ้นในหัว
* * *
“รอยแยกของข้าถูกโจมตี”
“ที่ไหน?”
“ทะเลสาบซอกชน… ข้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของเผ่าเสือ”
ในความมืดมิด
บรรดาเผ่าอสูรกำลังปิดตาสนิท พลางจับตาดูโลกมนุษย์ผ่าน ‘ดวงตาที่สาม’ ซึ่งเชื่อมต่อกับโลกความจริง
“เพลเยอร์ SAT-K ไม่แจ้งเตือน… ไม่มีรายงานอะไรเลย…”
“เผ่าเสือสนิทสนมกับสมาคม… ถ้าเรื่องนี้เป็นฝีมือเผ่าเสือจริง ข้อมูลจะถูกปิดบังก็ไม่แปลก”
“แล้วทำไมเผ่าเสือถึง…”
“ดูเหมือนวังมยองกรุปจะสนใจเซ้งกิจการสวนสนุกริมทะเลสาบซอกชนมาสักพักแล้ว… คงบังเอิญเจอรอยแรกตอนที่เดินดูรอบๆ ทะเลสาบ”
“เจ้านั่นคิดจะซื้อสวนสนุกไปให้ลูกหลานเสือเงินเล่นสินะ”
“แล้วจะเอายังไงต่อ? ให้รายงาน ‘เจ้านั่น’ ไหม?”
เผ่าอสูรเจ้าของรอยแยกแช่แข็งส่ายหน้า
“ไม่ต้องรายงาน… เราไม่ได้สาบานว่าจะจงรักภักดีกับ ‘เจ้านั่น’ สักหน่อย ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำแบบนั้น”
“ก็จริง”
“ก็จริง”
เมื่อเผ่าอสูรตนหนึ่งปรบมือ จอภาพสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด
บนจอมีฉากคนสามคนกำลังเดินไปตามวงกตอันคดเคี้ยว
แต่ภาพค่อนข้างแตก จนมองรายละเอียดได้ไม่ชัดเจน
“ถ่ายมาได้แค่นี้?”
“แตกยับเลย… มาดูซิว่ามีใครบ้าง… นั่นหัวหน้าทีมทะเลสาบนิรันดร์… นั่นเสือเหลือง… ส่วนอีกหนึ่ง… ใครกัน?”
“หน้ากากอีกา…”
“ข้าไม่ถูกโฉลกกับหน้ากากอีกาเลยให้ตายสิ… มันทำให้นึกถึงราชันปีศาจผู้อาภัพ”
รอยแยกต่างโลกประเภทวงกตในเขตทะเลสาบซอกชน
เผ่าอสูรผู้เป็นเจ้าของรอยแยก กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความตื่นเต้น
“หน้ากากอีกานั่น… ข้าชักจะสนใจแล้วสิ”