แบคโฮกุนจ้องฉันด้วยใบหน้าเย็นชา
ราวกับอุณหภูมิภายในอาคารลดลงหลายองศาด้วยสายตานั่น
“ข้าจัดการเอง ถอยไป”
นี่เป็นครั้งที่สามที่เราได้เจอกัน แต่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเขาพูด
เสียงเป็นแบบนี้เองหรือ
เคร้ง!
แบคโฮกุนแกว่งเขี้ยวสีขาว—ตัดสายฟ้าผ่าเมฆาเพื่อปัดกรงเล็บของเผ่าหมีออกและเล็งฟันเข้าไปที่คอ
ผู้ฝึกสัตว์เผ่าหมียกกรงเล็บยาวที่หุ้มด้วยควันดำขึ้น เพื่อบิดวิถีของดาบใหญ่พลางแสยะยิ้ม
“ดาบใหญ่นี้! จิตวิญญาณนี้! ข้าเคยเห็นมาก่อน! เสือขาว!”
ฉันจำเสียงของเผ่าหมีคนนี้ได้
‘ไอ้ตัวก่อเรื่องตอนสอบเข้านี่เอง’
แบคโฮกุนพุ่งผ่านพื้น เสา และเศษซากที่พังถล่มเพื่อแลกดาบกับเผ่าหมี
แสงวาบสีขาวสลับดำกะพริบวิบวับท่ามกลางผงฝุ่นและฟ้าผ่า
ถ้ามองอย่างเป็นกลาง ทั้งสองมีฝีมือใกล้เคียงกัน
เผ่าหมีที่แสยะยิ้มจนปากเกือบฉีก ถอยหลังพร้อมกับตะโกน
“คึฮ่าฮ่าฮ่า! เป็นความจริงสินะที่เจ้ากลายเป็นนักโทษแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์! นี่น่ะหรือพลังของเทพนิยาย? น่าสมเพช!”
เสือขาวได้รับ ‘โทสะเทพสวรรค์’ จนต้องกลายเป็นนักโทษ
ต้องเผชิญกับดีบัฟมากมายและฝีมือถดถอยลงจนเหลือเพียง 10% จากของเดิม
“อย่างที่คิด! ท่านผู้นั้นพูดถูก! คึฮะฮ่าฮ่า! เผ่าเสือไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว!”
ท่านผู้นั้น? ใครกัน?
ขณะฉันตั้งคำถาม ผู้ฝึกสัตว์เผ่าหมียกมือข้างหนึ่งขึ้นมาดีดนิ้ว เพื่อเรียกสัตว์อสูรสองตัวออกมาพร้อมกัน
มันยังพยายามดีดนิ้วอีกหลายครั้ง
แต่ดูเหมือนว่าในตึกหลังนี้คงเหลือแค่สองตัว เพราะกำลังรบที่เหลือถูกส่งไปไล่ล่าหมดแล้ว
เมื่อเผ่าหมีขยับริมฝีปากพลางโบกมือ สัตว์อสูรที่หุ้มด้วยควันดำกระโจนใส่เสือขาวทันที
โฮกกก!
เสือขาวที่จ้องสัตว์อสูรด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวเสียงเรียบ
“กล้าดียังไงถึงนำสิ่งโสมมเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์”
ฟุ่บ—
แบคโฮกุนแกว่งเขี้ยวขาวแห่งตัดสายฟ้าผ่าเมฆาที่ส่องประกายวิบวับใส่เอนามี
วาบ!
เมื่อแสงวาบหายไป สัตว์อสูรสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวถูกผ่าครึ่งโดยไม่หลงเหลือลมหายใจ
ถือเป็นการฟันที่คมกริบและสะอาดจนน่าทึ่ง
ผู้ฝึกสัตว์เผ่าหมีเดาะลิ้น
“ชิ…!”
“เจ้าคงลืมไปว่า เทพสวรรค์มิได้อภัยพวกเจ้า”
แบคโฮกุนมองขึ้นฟ้าพลางเปล่งเสียงแผ่วเบา
ตอนนี้เพดานพังถล่มไปมากแล้ว จึงมองเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆดำ
“ข้าแต่องค์เทพสวรรค์ ได้โปรดมอบสิทธิ์”
ทันทีที่สิ้นเสียง แสงพร่างพราวกระจายไปทั่วหน้าผากแบคโฮกุน
อนุภาคแสงช่วยมอบความสว่างได้มากกว่าสายฟ้าสีแดงที่ปกคลุมตึกเสียอีก
เมื่อแสงจ้าถึงขีดสุด แบคโฮกุนเก็บเขี้ยวขาวแห่งตัดสายฟ้าผ่าเมฆา
ผู้ฝึกสัตว์เผ่าหมีเบิกตากว้างทันทีที่เห็นแบคโฮกุนเก็บอาวุธกลับ
ฉัวะ!
แขนทั้งสองข้างของมันถูกฟันขาด
มองตามไม่ทันเลยสักนิด
ไม่เห็นแม้แต่ท่าเตรียม
ไม่แม้แต่สักเสี้ยววินาทีเดียว
“อ…อ๊าาากกกก! แขนข้า!”
ฉัวะ!
เมื่อแบคโฮกุนแกว่งดาบใหญ่อีกครั้ง แขนของเผ่าหมีที่ถูกตัดขาดพลันแหลกละเอียดกลายเป็นก้อนเลือด
ในมือแบคโฮกุนคือดาบใหญ่ที่มีด้ามจับสีแดงเข้ม—กรงเล็บล่าหมี
ย้อนกลับไปเมื่อราวห้าพันปีก่อน สมัยเผ่าเสือและเผ่าหมีต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่เหนือคาบสมุทรเกาหลี ดาบใหญ่เล่มนี้คืออาวุธที่ใช้ล่าเผ่าหมีโดยเฉพาะ
ถ้าคิดจะฟันเผ่าหมี ไม่มีสิ่งใดดีกว่าดาบเล่มนี้อีกแล้ว
‘สมแล้วที่เป็นตัวละครหลักของฉัน!’
จริงอยู่ที่แบคโฮกุนถูกโทสะเทพสวรรค์สะกดพลังไว้ แต่อย่าลืมว่าเทพสวรรค์เกลียดชังเผ่าหมีมากกว่าแบคโฮกุน
ก่อนที่พลังของแบคโฮกุนจะถูกผนึก
เขาขอร้องกับเทพสวรรค์ว่า ได้โปรดปลดพันธนาการบางส่วนในยามที่เผชิญหน้ากับเผ่าหมี และเทพสวรรค์ก็อนุญาต
‘หากศัตรูคือเผ่าหมี แบคโฮกุนแทบจะไร้เทียมทาน’
ภายในเกม มีหลายครั้งที่ผู้เล่นได้รับอนุญาตให้ใช้แบคโฮกุนในเควสต์ที่มีเผ่าหมีเป็นศัตรู
ในกรณีส่วนใหญ่ ถ้าแบคโฮกุนไม่ใช่ตัวละครแนะนำก็จะถูกบังคับให้เล่น
“เจ้าไม่ใช่ตำนานด้วยซ้ำ… ได้รับชีวิตอันยืนยาวมาตอนไหน? หนึ่งพันปีก่อน? หรือหนึ่งร้อย?”
“ม…ไม่นะ! เด็กๆ ของข้า! อ๊าาา! ว๊ากกก!”
ผู้ฝึกสัตว์เผ่าหมีกำลังสติแตก
บางที สื่อกลางในการออกคำสั่งกับสัตว์อสูรคงเป็นสิ่งที่ผนึกไว้ในฝ่ามือ
ควันสีดำทยอยพรั่งพรูออกจากร่างกายเผ่าหมีที่เสียแขนไป
‘ปกติเขาไม่พูดมากขนาดนี้…’
แต่ถึงแบคโฮกุนจะพยายามชวนอีกฝ่ายคุย เผ่าหมีที่เสียสติไปแล้วกลับเอาแต่พ่นคำเดิมซ้ำซาก
จนกระทั่งแบคโฮกุนมองเหยียดศัตรูพร้อมกับตั้งท่าจับกรงเล็บล่าหมี
‘เขาคิดจะฆ่ามัน…?’
ฉันรีบแทรกเข้าไปตรงกลางระหว่างเผ่าหมีและแบคโฮกุน
เนื่องจากเผ่าแท้ทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันบนต้นเสาที่ใกล้พังถล่มเต็มที ฉันจึงต้องใช้สกิลบินเพื่อขึ้นไปขัดขวาง
“พอก่อน ฉันต้องจับเป็น”
รู้ตัวอีกที อาคารหยุดถล่มไปได้สักพักแล้ว
สายฟ้าสีแดงหยุดอาละวาด แต่ยังมองเห็นร่องรอยผ่านเมฆไกลๆ
‘ถ้ามีเราขวางไว้ เขาไม่กล้าฟันแน่’
แบคโฮกุนก้มมองฉันซึ่งยืนอยู่บนเสาต้นหนึ่งที่ถล่มลงมากว่าครึ่ง
เมื่อถูกมองด้วยสายตานั้นตรงๆ ร่างกายแทบจะแข็งทื่อในทันที
หลังจากจ้องหน้าฉันโดยไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน เขากะพริบตาหนึ่งครั้ง
กรงเล็บล่าหมีสลายไปจากมือแบคโฮกุน
ต่อก ต่อก ต่อก!
เสือแดงปรากฏกายพร้อมกับเสียงย่ำเท้าไต่กำแพง
“เสือขาว… เจ้าอยู่ที่นี่ได้ยังไง…!”
เสือแดงที่รีบไต่กำแพงขึ้นมาหาฉัน เผยสีหน้าประหลาดใจสุดขีดเห็นแบคโฮกุน
ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น?
ไม่ใช่ว่าเสือแดงเป็นคนเรียกแบคโฮกุนมาหรอกหรือ?
“เสือแดง เหตุใดเจ้าถึงไม่เรียกข้า”
“ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า…”
“แต่กลับชวนนักเรียนของแดนศักดิ์สิทธิ์มา?”
เสียงของแบคโฮกุนเจือความขุ่นเคืองเล็กน้อย
ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายชวนเสือแดงมา… แต่เดี๋ยวนะ
เมื่อครู่แบคโฮกุนเรียกเราว่านักเรียน?
ได้ยังไง?
‘ไม่สิ ไว้ค่อยถามวันหลัง’
พวกเราไม่ควรแช่อยู่ที่นี่นานเกินไป
“ฉันเป็นคนขอร้องเสือแดงเอง”
แบคโฮกุนดึงสายตาจากเสือแดงมาหาฉัน
ในแววตายังหลงเหลือการตำหนิ
โชคดีที่เขาไม่พูดอะไรต่อ ฉันจึงถือโอกาสพูดกับเสือแดง
“เสือแดง รบกวนเคลื่อนย้ายชเวย็อนทึกกับเผ่าหมีกลับไปด้วย อีกเดี๋ยวครูฮัมกึนยองจะพาเพลเยอร์จากสมาคมมาที่นี่ ทางผมก็จะรีบจัดการให้เสร็จแล้วตามไป”
“…เข้าใจแล้ว ไว้เจอกัน”
แม้จะมีตัวแปรไม่คาดฝัน แต่ปฏิบัติการในวันนี้ก็ลุล่วงอย่างราบรื่น
หลังจากใช้ควันแดงจับกุมชเวย็อนทึกที่หมดสติและเผ่าหมีที่เสียสติ เสือแดงไต่ขึ้นไปบนหน้าต่าง
“เสือขาว แล้วเจ้าจะทำยังไงต่อ”
“คอยช่วยเหลือโชอึยชิน”
เขาพูดว่าโชอึยชิน?
แบคโฮกุนรู้แม้กระทั่งชื่อของฉัน
ตอนนี้เราอยู่ในร่างแสงประทานไม่ใช่หรือ? ได้ยังไง?
‘อย่าบอกนะว่า… เขาแอบจับตาดูมาตลอด?’
หลังจากยืนคุยกันบนหอพัก พวกเราใช้หมอกแดงพรางตัวออกมา
ถ้าคอยจับตามองตั้งแต่ตอนนั้น ก็คงจะทราบว่าฉันคือใคร
ควันแดงอาจตบตามนุษย์คนอื่นได้ แต่ไม่มีทางพรางตาเผ่าเสือด้วยกันเอง
การมีแบคโฮกุนคอยช่วยเหลือก็ไม่แย่นัก
“ตกลง ไปกันเถอะ”
ฉันร่อนฝ่าดงฝุ่นหนาๆ ลงไปยังเศษซากบนชั้นเจ็ด
แบคโฮกุนตามฉันลงมาด้วยสกิลเตะกำแพง
บี๊บบี๊บ!
ฉันเปิดอุปกรณ์เพื่อติดตามเครื่องส่งสัญญาณที่เสือแดงติดไว้บนตัวเป้าหมาย
หลังจากเดินไปหาจุดที่แดงพี่กะพริบบนแผนที่โฮโลแกรม เราได้พบคู่รักกำลังนอนหมดสติท่ามกลางกองเศษซาก
แตกต่างจากคนข้างๆ ที่มีสภาพโชกเลือด คู่รักวัยกลางคนค่อนข้างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
‘เสือแดงทำงานเก่งจริงๆ’
คงต้องหาโอกาสเลี้ยงข้าวสักมื้อแล้ว
ขณะคิดแบบนั้น ฉันใช้เท้าเตะคู่รักที่ใส่แค่ชุดชั้นในให้ตื่น
ผัวะ! ผัวะ!
พวกเขาคิดจะมาทำอะไรที่นี่? ทำไมถึงใส่แต่ชุดชั้นใน?
แต่เมื่อหวนนึกถึงพิธีกรบนสังเวียน ฉันรู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่สองคนนี้ไม่เปลือยกาย
“อ…อือ…” ɴᴏᴠeʟɢu.ᴄᴏm
ไม่นานทั้งสองก็ลุกขึ้นนั่งพลางกะพริบตาถี่
ระหว่างที่พวกเขายังไม่ได้สติ ฉันถอดกำไลข้อมือซ้ายของฝ่ายหญิง และดึงปลาสเตอร์ใต้นาฬิกาบนแขนซ้ายฝ่ายชาย
สิ่งที่ได้พบก็คือ ตราประทับสีดำซึ่งเป็นเครื่องยืนยันการถูกขับออกจากสมาคมเพลเยอร์ถาวร
ฉันยิ้มอยู่หลังหน้ากากอีกา พลางสนทนากับคู่รักวัยกลางคน
“ยินดีที่ได้พบ พ่อแม่ของอีเรนา”
* * *
เสือแดงสืบจนรู้มาว่า พ่อแม่ของอีเรนาเป็นลูกค้าประจำของชเวย็อนทึก
VIP ถึงขั้นที่ได้รับเชิญให้มางานวันเกิด
กล่าวคือ ทั้งสองถือเป็นของแถมที่ฉันเล็งไว้จากปฏิบัติการคราวนี้
พ่อแม่ของอีเรนาแหกปากตลอดเส้นทางการบิน
รู้อย่างนี้ไม่น่าปลุกขึ้นมา
ฉันทำได้แต่นึกเสียใจเมื่อสาย
“น…นายท่าน พวกเราควรคุยกันดีๆ ก่อน”
“ใครเป็นนายท่านของแก? หุบปาก”
ฉันสุภาพแค่ตอนทักทายเท่านั้น
ระหว่างการบิน ฉันไม่ได้สร้างบาเรียป้องกันฝนและลมให้พวกเขา
“เอาล่ะ ถึงแล้ว”
ปลายทางของการบินคือตึกระฟ้าแห่งเดียวในเขตโรงเรียนแสงเงิน—วังมยองทาวเวอร์ เจ้าของคือวังมยองกรุป หนึ่งในสี่อภิมหากลุ่มทุนของเกาหลีใต้
‘น่าเสียดายที่สูงแค่ห้าสิบห้าชั้น’
แบคโฮกุนที่บินมาด้วยกัน เอาแต่มองโดยไม่แสดงความเห็น
ฉันใช้สกิลศาสตร์แห่งมิติเพื่อนำคู่รักวัยกลางคนที่เปียกโชกเหมือนหนูตกน้ำ ไปวางไว้บนราวหลังคาตึก
ในทางกลับกัน ฉันกับแบคโฮกุนไม่เปียกแม้แต่หยดเดียวเพราะได้รับการปกป้องจากบาเรีย
‘ทันทีที่ฝ่าเท้าทิ้งน้ำหนักลงบนราวกั้น พวกเขาคงรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ได้กำลังบิน’
ความมืดมิดที่แทบจะมองไม่เห็นสิ่งรอบข้าง
ท่ามกลางพายุฝนและลมพัดกระโชก สลับกับฟ้าร้องและฟ้าผ่าประปราย
แถมยังสูงกว่าสองร้อยเมตร
คงเป็นเรื่องยากที่จะครองสติไว้ได้
คู่สามีภรรยาวัยกลางคนที่กำลังเนื้อตัวขาวซีด พยายามข้อร้องฉัน
“พวกเราทำผิดพลาดและออกนอกลู่นอกทางไปชั่วขณะ… เราเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถรับผิดชอบความผิดของตัวเอง ได้โปรดให้เราชดใช้ด้วยวิธีอื่นเถอะนะ!”
“ช…ใช่แล้ว! ปล่อยเราไปเถอะ! พวกเราสำนึกผิดแล้วจริงๆ ได้โปรดยกโทษให้กันสักครั้ง แถมเรายังมีครอบครัว…”
ทั้งสองอ้อนวอนฉันอย่างมีสติ น้ำเสียงเจือความสำนึกผิด มีเหตุมีผล และกระตุ้นต่อมความเห็นใจ
คงเพราะเจ้าเล่ห์และตบตาได้แนบเนียนแบบนี้ พวกเขาถึงรอดคุกในคดีมายาเกต จนมีโอกาสได้เสพสุขในฐานะ VIP ของตึกโลกีย์
“เปิดอุปกรณ์พกพาแล้วโอนกรรมสิทธิ์มาให้ฉัน”
ทั้งสองรีบยื่นอุปกรณ์พกพาในรูปแบบกำไลข้อมือมาให้
ไม่นานก็โอนกรรมสิทธิ์เสร็จ ฉันสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน
สิ่งแรกที่เปิดขึ้นมาคือหน้าต่างแชต
และค้นหาบทสนทนากับอีเรนา
บี๊บ!
ผลลัพธ์แสดงขึ้นทันที
เป็นประวัติการสนทนาสดใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปนาน
พวกเขาเพิ่งส่งข้อความที่น่ารังเกียจถึงอีเรนา
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า คงเป็นช่วงที่เตรียมจะออกไปเที่ยวตึกโลกีย์
‘หมดคำจะพูดเลยแฮะ’
ทั้งสองคนอาจดูสุขุมและมีสติ แต่กลับกลายเป็นว่า ความสุขุมเหล่านั้นเกิดจากการระบายอารมณ์ใส่อีเรนา
ถ้าจะให้นิยามข้อความบนโฮโลแกรม ฉันขอเรียกมันว่า ‘ความน่ารังเกียจ’
[กล้าดียังไงถึงไปให้ปากคำกับตำรวจและสมาคม! พวกมันจ่ายให้แกเท่าไร? นังสารเลว!]
[ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่!]
[นังเด็กเวรที่คอยบ่อนทำลายครอบครัวของฉัน]
[ต้องลงทุนกับแกไปเท่าไร เสียสละไปกี่เรื่อง… คนอย่างแกไม่น่าเกิดมาเลย]
[ทั้งหมดเป็นเพราะแก!]
[ทำไมคนอย่างแกถึงต้องเกิดมาเพื่อให้พวกเราลำบากด้วย]
อีเรนาไม่เคยถูกมองเป็นครอบครัว
ครอบครัว ‘ของฉัน’ แทนที่จะเป็นครอบครัว ‘ของเรา’ สินะ…
‘ลงทุน…? เห็นอีเรนาเป็นเงินบำนาญหลังเกษียณรึไง?’
เสียดายเงินที่ให้อีเรนา แต่ไม่เสียดายเงินที่นำไปโยนทิ้งในตึกโลกีย์ของชเวย็อนทึก?
แถมยังเป็นเงินที่ละลายไปกับความโสมมด้านหน้าโรงเรียนของอีเรนา
‘…อีเรนาอ่านทุกข้อความ’
แม้จะไม่ได้ตอบ แต่มันขึ้นว่าเธออ่านทุกคำ
เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียน
“อีเรนาไม่ใช่ลูกสาวของพวกแกรึไง? ทำไมพูดกับเธอแบบนี้?”
เมื่อชื่อของอีเรนาหลุดออกมา คู่รักวัยกลางคนที่ทำตัวสุภาพและมีสติพลันเลือดขึ้นหน้า
“อย่ามาแส่เรื่องในบ้านคนอื่น! แกไม่มีทางรู้หรอกว่าอีเรนาเป็นเด็กอวดดีและไร้การศึกษาแค่ไหน!”
“นั่งนั่นเล่าอะไรให้ฟัง? อย่าไปเชื่อมัน! อีเรนาคือเด็กที่โกหกบ่อยพอๆ กับกินข้าว!”
ถ้าไม่อยากให้สถานการณ์แย่ลง พวกแกควรหุบปากนะ
เจ้าพวกนี้เกินเยียวยาแล้ว
ฉันมั่นใจว่าคงไม่มีทางคุยกันรู้เรื่อง
หมดสิทธิ์ปรับความเข้าใจระหว่างพ่อแม่ลูก และอีเรนาไม่มีทางได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุขอีกแล้ว
ฉันบีบอุปกรณ์พกพาในมือทิ้ง
แกร่บ!
เมื่อโฮโลแกรมหายไป ความร้อนที่ระอุอยู่บนหัวบรรเทาลงเล็กน้อย
“ใช่แล้ว… ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวของพวกแกเลย”
แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ว่า อีเรนาที่ตายไปในเกม พยายามอย่างหนักเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของครอบครัว
อย่างน้อยฉันก็เห็นมากับตาว่า เธอหวาดกลัวงานประมูลมายาเพียงใด
แต่ถึงอย่างนั้นกลับรวบรวมความกล้า เพื่อเตือนฉันในร่างย็อมจุนยอลให้หนีไป
สกิลศาสตร์แห่งมิติถูกใช้งานอีกครั้ง
〈ท่านใช้งานสกิล ‘ศาสตร์แห่งมิติ’ ของตัวละครเป้าหมาย〉
“ฉันรู้ว่าพวกแกถูกขับออกจากสมาคมเพลเยอร์เป็นการถาวรแล้ว ตอนนี้จึงใช้แสงประทานไม่ได้ และสกิลทั้งหมดยังถูกผนึกไว้ที่เลเวลหนึ่ง… แต่ร่างกายก็ยังทนทานอยู่นี่? ความสูงระดับนี้คงไม่ถึงตายหรอก”
“ม…ไม่นะ! ช่วยด้วย!”
“พวกเราผิดไปแล้ว!”
พ่อแม่ของอีเรนาอ้อนวอนร้องขอชีวิต
แต่ฉันไม่คล้อยตามแม้แต่นิดเดียว
อีเรนาที่กระโดดจากหลังคาหอพักตั้งแต่วันแรกของภาคเรียน ก็คงหวาดกลัวไม่ต่างกัน
“นับแต่นี้ไป ถ้าพวกแกติดต่อกับอีเรนาอีก ฉันสาบานว่าจะฆ่าอย่างทรมานที่สุด”
พูดจบ ฉันผลักทั้งสองคนตกจากราวกั้น
เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังระงมท่ามกลางพายุฝน
* * *
ฉันกับแบคโฮกุนย้ายไปยังจุดนัดพบของเสือแดง
สถานที่นัดพบกับเสือแดงคืออาคารวิจัยแสงประทาน 4 ที่ตั้งอยู่ในเขตสถาบันวิจัย หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘ตึกเงาเงิน’
‘ดูเหมือนว่าตึกวิจัยแสงประทาน 4 จะเป็นอาคารส่วนตัวของเสือแดง’
ตึกเงาเงินไม่เคยถูกบรรยายไว้ในเกม แต่ในหนังสือเซตติ้งระบุว่ามันคือแหล่งกบดานของเสือแดง
หลังจากเข้าไปทางประตูหน้าและยืนรอลิฟต์ แบคโฮกุนที่ไม่พูดอะไรตลอดทางเปิดปาก
“เจ้าใช้ไอเท็มช่วยพวกเขาทำไม”
ในตอนที่พ่อแม่ของอีเรนาตกตึกลงมาถึงชั้นห้า ฉันช่วยเหลือพวกเขาด้วย ‘ผงปีกของภูตลมระดับต่ำ’ แบบเดียวกับที่ยื่นให้เม็งเฮียวทง
‘ถึงจะจงใจหน่วงเวลาให้ช้า เพื่อให้บาดเจ็บหนักที่สุดแล้วก็เถอะ’
ก่อนจะถูกขับออกจากสมาคม พวกเขาเคยเป็นเพลเยอร์มานาน
คงสามารถใช้สกิลเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดได้
ถึงร่างจะกระแทกพื้น แต่ก็คงไม่ตายคาที่
“เพราะถ้ามีคนมาเจอตัวช้า พวกเขาอาจตายไปจริงๆ … ถ้าทั้งสองคนตายไปหรือพิการ อีเรนาคงเสียใจน่าดู”
ฉันไม่อยากให้เด็กผู้หญิงอย่างอีเรนาต้องเสียใจ หรือคอยดูแลพ่อแม่พิการไปตลอดชีวิต
“ปวกเปียก”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สายตาของแบคโฮกุนเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น
เป็นภาพที่หายากสำหรับเสือขาวผู้มีแววตาเย็นชา
ในเกมอาจไม่ได้เขียนบรรยายไว้ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าแบคโฮกุนรักโลกและมนุษย์มาก
ว่าแต่ แบคโฮกุนแอบตามดูฉันมาตั้งแต่เมื่อไร?
“คอยจับตาดูผมตั้งแต่ตอนไหน?”
“ตั้งแต่แรก”
ตั้งแต่แรก?
ตั้งแต่เสือแดงเริ่มเคลื่อนไหว?
ติ๊ง
เมื่อลิฟต์กลับมาถึงชั้นล็อบบี้ของตึกเงาเงิน ฉันกับแบคโฮกุนก้าวเท้าเข้าไป
“ข้าเอง”
เสือแดงเคยสอนวิธีกดปุ่มลิฟต์ให้ฉันแล้ว แต่แบคโฮกุนชิงลงมือก่อน
เขากดปุ่มลิฟต์ตามลำดับที่ไม่มีทางกดกับลิฟต์ปกติ จนกระทั่งลิฟต์เริ่มเคลื่อนที่ด้วยเสียงแผ่วเบา
ใต้ดินชั้น 1
ใต้ดินชั้น 2
ใต้ดินชั้น 3
แสงไฟดับไปแล้ว
ลิฟต์ยังคงลงต่อไปโดยที่ไม่แสดงไฟบอกชั้น
จนกระทั่งประตูเปิดออก
“กำลังรออยู่เลย แบคโฮกุน โชอึยชิน”
ไม่ใช่เสือแดงที่ออกมาต้อนรับฉันกับแบคโฮกุน
และไม่ใช่เผ่าเสือคนอื่น
เป็นคนที่ฉันคาดไม่ถึง
‘คิมชินรก…!’
ครูประจำชั้นปีหนึ่งห้องหนึ่ง และที่ปรึกษาสมาคมปีกธรณี
ครูคุมสอบที่เกือบตายในโรงยิมสอบภาคปฏิบัติ
คิมชินรกคนนั้น
—
MasterGU.edited = อาจารย์->นายท่าน(จากบริบท ใช้คำนี้น่าจะเหมาะกว่าเพราะไม่ใช่ศิษย์จารย์จีนๆ และหรือถ้าแปลจากคำว่า master)