41. นอกชายแดน (11)
* * *
เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ในตอนที่ซอโดลทำลายบาเรียของเสือเหลืองแล้ววิ่งพรวดออกไป
ผิดจากความกระตือรือร้นที่แสดงออก ในใจซอโดลลังเลอยู่หลายส่วน
ท่ามกลางห่วงโซ่การระเบิดของคลื่นพลังวิเศษ ผู้นำเผ่าหนูยืนเผชิญหน้ากับทางแยกที่แบ่งออกเป็น 1) อาคารหลักของศูนย์ฝึกเพลเยอร์เฉิงตู 2) อาคารหมายเลข 1 หรือ 3) ถนนด้านข้างที่พาไปยังประตูหลัง
ซอโดลจมอยู่กับความคิด
‘ต้นตอความวุ่นวายมาจากอาคารหมายเลข 1 ซึ่งมีความเข้มข้นของพลังวิเศษสูงสุด… แต่เราสนใจประตูหลังมากกว่า ทำยังไงดีนะ’
แม้ซอโดลจะเป็นผู้นำเผ่าหนูคนดัง รวมถึงหัวหน้าดีไซเนอร์แบรนด์หรู แต่รากเหง้ายังคงเป็น ‘หนู’
ไม่ใช่แค่หนูธรรมดา ซอโดลคือหนูเจ้าปัญญาที่บอกเบาะแสของต้นกำเนิดไฟและน้ำกับพระศรีอริยเมตไตรย และยังเป็นหนูที่คอยรวบรวมคำพูดยามค่ำคืนตลอดหลายปี
ซอโดล หนูตัวดังกล่าว สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวของบุคคลที่ทำตัวเงียบเชียบประหนึ่งหนูตายท่ามกลางความสับสนอลหม่าน
‘พวกไก่อ่อนมาทำตัวลับๆ ล่อๆ อะไรแถวนี้’
คนส่วนใหญ่พยายามหนีให้ไกลจากการปะทุของคลื่นพลังวิเศษที่รุนแรง
แต่บุคคลที่ถูกประสาทสัมผัสของซอโดลตรวจพบ กลับมีพฤติกรรมประหลาด
การเคลื่อนไหวดูลึกลับเกินกว่าจะบอกว่ากำลังอพยพหนี
บึ้ม! บึ้มบึ้ม!
ซอโดลที่หลบคลื่นลูกแรกพ้น ถูกคลื่นระลอกใหม่พุ่งชนเข้าอย่างจัง
ขณะเขาครุ่นคิด สิ่งแวดล้อมทยอยกลายเป็นซากปรักหักพัง
แต่เรื่องบังเอิญก็คือ ทิศทางที่ซอโดลลอยไป คือฝั่งประตูหลังพอดิบพอดี
‘เยี่ยมเลย องค์ศรีอริยเมตไตรยกำลังชี้นำเรา!’
ซอโดลคิดเข้าข้างตัวเอง แล้วเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยสกิล
แตกต่างจากอีกฝ่ายที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เด็กเจ้าเล่ห์ไม่ต้องปิดบังตัวตน จึงสำแดงพลังได้เต็มพิกัด จนกระทั่งไล่ตามทันในพริบตา
ซอโดลถามขณะร่อนลงตรงหน้าบุคคลที่พรางตัวด้วยไอเท็ม
“สวัสดี”
ซอโดลทักทายพร้อมกับโยนลูกปัดสีเทาหนูขึ้นไปในอากาศ
ซู่ว…
คลื่นพลังวิเศษสีเทาหนู ไหลออกจากลูกปัดไปปกคลุมไอเท็มพรางตัว
“…!”
ปัซ!
บุคคลปริศนา ที่รีบโยนไอเท็มซึ่งเปลี่ยนเป็นสีเทาหนูและเริ่มผุกร่อนทิ้ง ถีบพื้นแล้วกระโดดถอยหลัง
อีกฝ่ายสวมหน้ากาก ใบหน้าจึงเผยไม่ชัดเจน แต่เรือนผมสีทองเล็ดลอดออกมา เนื่องจากฮู้ดบางส่วนผุกร่อนไปพร้อมกับไอเท็มพรางตัว
“เจ้าคิดจะทำอะไร เหตุใดต้องใช้ไอเท็มพรางตัวอพยพหนี? คิดว่าของแบบนั้นเล็ดลอดสายตาข้าผู้นี้ได้หรือ ทำไมถึงต้องรบกวนวันหยุดอันแสนมีค่าของข้า!”
ซอโดลกระหน่ำยิงคำถามไร้สาระ แต่ท่วงท่าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
บุคคลผมทองรีบกระโดดหนีโดยไม่พูดไม่จา
ทว่า
ฟุ่บ!
ในเวลาเดียวกัน ซอโดลกระโดดอีกครั้งแล้วไปหยุดอยู่หน้าบุคคลผมทอง
“กล้าดียังไงถึงคิดหนีตอนที่ข้ากำลังพูด! หืม หรือว่าจะฟังเกาหลีไม่ออก? ข้าพูดจีนกับอังกฤษได้ก็จริง แต่ไม่มีความจำเป็นต้องทำ ปล่อยไว้แบบนี้แหละดีแล้ว”
บุคคลผมทองเบิกตากว้าง แต่ไม่นานก็ตั้งท่าต่อสู้
ได้เห็นแบบนั้น ซอโดลถอนหายใจยาว
“ไม่ยอมเจรจา? พฤติกรรมเหมือนหนูก็จริง แต่ไม่ฉลาดเหมือนพวกเราสินะ”
ยังไม่ทันจบประโยค คลื่นพลังวิเศษแฝงลางร้ายทยอยไหลออกจากลูกปัดสีเทาหนูที่ลอยอยู่กลางอากาศ
* * *
ในทุกปี สมาคมเพลเยอร์จะจัดอันดับทีมตามผลงานการเคลียร์รอยแยก เพื่อกระตุ้นให้ทีมโปรแข่งกันสร้างผลงาน
แม้อันดับจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่รายชื่อทีมโปรในท็อปสิบ แทบไม่มีหน้าใหม่ทอดแทรกเข้ามาได้เลย ผู้คนจึงพากันเรียกพวกเขาว่า ‘ท็อปสิบทีมโจมตีรอยแยก’
หนึ่งในทีมโจมตีรอยแยกที่โด่งดังที่สุดคือ ‘สิงโตแดง’ นำโดยย็อมบังยอล—ราชันเพลิงสีชาด
‘ทะเลสาบนิรันดร์’ ที่เกิดจากการรวบรวมกลุ่มคนคลั่งไคล้บลูไวโอลินิสต์ ควอนเจอิน
ยังรวมไปถึง ‘สัจจะสามอัศวิน’ ที่หัวหน้าทีมสามคนดำรงยศอัศวินจริงๆ
บนเศษผ้าที่เด็กเจ้าเล่ห์ยื่นมา มีลวดลายของตราสัจจะสามอัศวินปักอยู่
“ไปเอามาจากไหน”
วังจีโฮถามขณะมองตราทีมที่เป็นสัญลักษณ์ตระกูลของ ‘หัวหน้าทีมคนแรก’ ในสัจจะสามอัศวิน
ดูเหมือนเขาก็จำลวดลายของสัจจะสามอัศวินได้
“หืม…”
แต่ซอโดลไม่รีบร้อนตอบคำถามวังจีโฮ
เพียงทำหน้าลังเลขณะจ้องลวดลาย
“ทำไมถึงตอบไม่ได้! เกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่ได้มันมา!”
เมื่อวังจีโฮถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ซอโดลตอบด้วยใบหน้าเครียดยิ่งกว่า
“รอสักประเดี๋ยวสิ ข้ากำลังคิดวิธีถ่ายทอดความสำเร็จสุดบรรเจิดของตัวเองโดยไม่ทำให้โชอึยชินอึดอัดใจ… ตอนนี้อยู่ระหว่างการ เลือกคำ ช่วยเงียบสักพักจะได้ไหม”
“เจ้ามันบ้าไปแล้ว ถึงว่าพักหลังเริ่มทำตัวเหมือนคนบ้า ไม่สิ… เจ้าแสดงอาการของคนบ้าอยู่ตลอดเวลา”
สำหรับคราวนี้ ฉันเห็นด้วยกับความคิดวังจีโฮ
ซอโดลปิดปากเงียบสักพัก แล้วเปิดปากอีกครั้งหลังจากเรียบเรียงความคิดเสร็จ
เขาเล่าว่าตัวเองสังเกตเห็นบุคคลลึกลับ ที่แอบเคลื่อนไหวระหว่างเขากำลังค้นหาต้นตอของความวุ่นวาย
การเผชิญหน้ากับเพลเยอร์ผมทองลงเอยด้วย ซอโดลดึงตราบนเสื้อผ้ามาได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะลบร่องรอยได้หมดจด
“แล้วตอนนี้เพลเยอร์ผมทองเป็นยังไง”
“หนีไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อรู้ตัวว่าการเอาชนะข้าเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า เจ้านั่นก็ฆ่าตัวตายทันที”
ซอโดลยิ้ม กลอกตาพลางขยับปากอย่างละนิด
รอยยิ้มของเขาทำเอาฉันถึงกับขนลุก
“เจ้านั่นใช้ไอเท็มประหลาดมาก เมื่อมันทำงาน ไม่ใช่แค่ร่างกายของบุคคลผมทอง แต่ยังรวมถึงทุกสิ่งที่อีกฝ่ายสวมอยู่ เริ่มละลายทันที เคราะห์ดีที่ข้ากระชากสิ่งนี้ออกมาได้ทันเวลา”
ซอโดลเหลือบมองฉันราวกับอยากได้คำชม
ฉันเชื่อว่าสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่แค่คำชม แต่รวมถึงการมอบพรคุ้มครอง
“เจ้าโง่ ทำไมไม่พากลับมาแบบยังมีชีวิต”
“ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่จุดที่ข้าอยู่เกิดคลื่นกระแทกถี่มากกว่าตรงนี้หลายเท่านัก… ข้าไม่อยากถูกบ่นโดยเสือเหลืองที่ไม่ทำอะไรเลยหรอกนะ”
“หา…? ข้าคอยปกป้องโชอึยชินอยู่ ส่วนเจ้าน่ะ คือคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้วปรี่เข้าไปเสี่ยงอันตราย เป็นพฤติกรรมที่โง่เขลาสิ้นดี ไม่ใช่ทัศนคติของผู้ที่จะมอบพรคุ้มครองให้โชอึยชิน”
“เจ้าไม่ได้ปกป้องคนเดียวสักหน่อย ข้ารู้หรอกน่า ว่าผู้ใช้วาจาสิทธิ์คนโปรดของโธธแข็งแกร่งแค่ไหน”
แม้จะมีใครบางคนเพิ่งฆ่าตัวตาย แต่ผู้นำเผ่าแท้ทั้งสองกลับยังกัดกันอย่างไม่สะทกสะท้าน
ขณะวังจีโฮเตรียมกระชากตราของสัจจะสามอัศวินไปจากมือซอโดล
“ครูเพิ่งได้รับโทรศัพท์มาน่ะ ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเธอต้องกลับโรงแรมไปก่อน”
จูเก่อแจกอลพูดขึ้น
คำนึงจากการที่โฮโลแกรมฉายอยู่ สายเพิ่งวางไปสดๆ ร้อนๆ
จูเก่อแจกอลพูดต่อระหว่างมองสองผู้นำเผ่าแท้เถียงกันเรื่องบาเรียโuเวลฺกูดoทคoม
“อึยชิน สมาชิกใหม่ไม่ได้สร้างปัญหาให้เธอใช่ไหม”
“ครับ?”
“ก็อย่างเช่น… ตามเซ้าซี้ว่าจะมอบพรคุ้มครอง หรือดึงตัวเข้าบริษัท หรือหาสมาชิกเข้าทีมโปรเพลเยอร์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน…”
จูเก่อแจกอลเป็นห่วงฉันแม้ในสถานการณ์อลหม่านเช่นนี้
“เขาเสนอพรคุ้มครอง แต่ผมปฏิเสธไปแล้วครับ”
“งั้นหรือ… เขาคงไม่ไม่กล้าทำร้ายคนที่คิดจะมอบพรคุ้มครองให้ แต่ถ้าเธอมองว่าน่ารำคาญเกินไป รีบบอกครูทันทีเลยนะ”
ที่จริงก็เริ่มรำคาญแล้วล่ะ แต่ฉันไม่อยากรบกวนตัวละครมากนัก เลยพูดตัดบทไปตามมารยาท
จูเก่อแจกอลเป็นห่วงวังจีโฮด้วยเช่นกัน
“ทางจีโฮก็น่าห่วง แต่เขาคงไม่กล้าแตะต้องญาติของท่านประธานวังมยองโฮ และจากเท่าที่ดู คงไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่าการโต้เถียงด้วยคำพูด”
…ซอโดลไม่ได้คิดจะทำร้ายญาติท่านประธานหรอก แต่จะล่อท่านประธานเลยต่างหาก
หลังจากนั้น กลุ่มของเราตัดสินใจกลับโรงแรม
มุนแซรอนที่ถ่ายรูปสถานที่เกิดเหตุไว้มากมาย ดูผิดหวังชัดเจน แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งคำพูดของจูเก่อแจกอล
“แค่นี้ยังไม่พอเขียนข่าว…”
“เรายังต้องเขียนข่าวอีกหรือ”
“ฉันอยากเขียน แต่คงทำไม่ได้ ข้อมูลเพียงอย่างเดียวคือการอาละวาดของเพลเยอร์ลึกลับในศูนย์ฝึกเฉิงตู แค่นั้น”
“…มันจะกลายเป็นข่าวคลิกเบตที่ไม่มีเนื้อหา ถ้าบุ่มบ่ามเผยแพร่ ทางเรามีแต่จะเสียกับเสีย”
“ใช่ แต่ถ้าหลังจากนี้มีโอกาสได้เข้าไปดูข้างใน สถานการณ์อาจเปลี่ยน”
แม้จะถึงโรงแรมแล้ว ชมรมหนังสือพิมพ์ยังคงไม่หยุดพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
จูเก่อแจกอลยังคอยประสานงานกับเพลเยอร์ที่ศูนย์ฝึกเฉิงตู โดยที่บรรดาแฟนคลับของเขาไม่กล้าไปรบกวน เนื่องจากได้ฟังเรื่องราวฉบับเต็มจากประธานชมรมหนังสือพิมพ์แล้ว
วังจีโฮกับซอโดลนั่งดื่มชากันคนละโต๊ะ ดูเหมือนจะเพิ่งเถียงกันเสร็จ
ฉันเดินไปที่โต๊ะใกล้กับวังจีโฮแล้วถาม
“นี่”
“ว่าไง ฉันเห็นว่านายกำลังใช้สมองอยู่”
ตามที่วังจีโฮพูด พักหลังฉันขบคิดเกี่ยวกับชุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทัศนศึกษาในประเทศจีน
ว่ากันตามตรง ในยุคที่เกิดสงครามต่างมิติ มันไม่ได้แปลกขนาดนั้นที่จะเกิดเหตุร้ายติดต่อกันในช่วงเวลาสั้นๆ บนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่
แต่มีหลายสิ่งสะกิดใจฉัน จนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นแค่ความบังเอิญ
‘คงต้องลองตรวจสอบดู’
ฉันจิบชาปี้หลัวชุนที่วังจีโฮรินให้ จากนั้นก็ถาม
ฉันไม่เชื่อว่านี่คือชาที่โรงแรมเสิร์ฟ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาใบชาที่มีกลิ่นและสีเป็นเอกลักษณ์แบบนี้มาจากไหน
“อยากเจอมกอูรัม เขาอยู่ที่ไหน”
“ลูกน้องของฉันคอยคุ้มกันอยู่ที่โรงแรมใกล้ๆ … เตรียมพร้อมเคลื่อนย้ายทันทีที่ฮงกยูบินให้สัญญาณ”
วังจีโฮฉายแผนที่ด้วยโฮโลแกรมแล้วชี้จุด
เป็นระยะทางที่เดินได้สบาย
“เขายังไม่ได้สติใช่ไหม”
“ใช่ แต่คงอีกไม่นาน ดื่มชาเสร็จค่อยไปก็ได้”
วังจีโฮแสดงตัวชัดเจนว่าจะตามไปด้วย
ในเวลาเดียวกัน ซอโดลที่มานั่งจิบชาบนโต๊ะพวกเราตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบได้ แสยะยิ้มแล้วพูด
“ข้าไปด้วยสิ”
* * *
เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าจะพาเด็กเพี้ยนสองคนออกไปชอปปิ้งสักครู่ ฉันได้รับอนุญาตอย่างคาดไม่ถึง
นึกว่าจะขั้นตอนจะยุ่งยากมากกว่านี้
เดิมทีว่าจะชวนฮงกยูบินมาด้วย แต่ดูเขายุ่งอยู่กับการช่วยจูเก่อแจกอลค้นหาความจริงเบื้องหลังคดี
ท้ายที่สุด ฉันต้องรับผิดชอบเด็กเพี้ยนสองคนตามลำพัง
“ไม่เลว เจ้าเป็นสมาชิกของที่นี่ด้วยหรือ”
“เป็นแล้วมันจองง่ายดี”
เมื่อวังจีโฮแสดงการ์ดหน้าทางเข้าโรงแรม ผู้จัดการสามคนที่ติดตราสีทองกุลีกุจอเดินเข้ามาทักทาย
พอเห็นวังจีโฮโบกมือห้าม พวกเขารีบโค้งต่ำแล้วก้าวถอยหลังโดยไม่ให้เกิดเสียง แค่เห็นก็รู้ทันทีว่าวังจีโฮถูกต้อนรับในระดับ VIP สูงสุด
ผู้นำเผ่าเสือเดินตรงไปหน้าลิฟต์หรูหราที่มีรปภ. ยืนเฝ้าอยู่ และเมื่อแตะคีย์การ์ด ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออก
ภายในลิฟต์ นอกจากปุ่มฉุกเฉินก็มีแค่เครื่องอ่านการ์ด ซึ่งใช้ระบบจำจดการ์ดแทนการกดหมายเลขชั้น
“ถ้าต้องการอะไรก็เรียกได้”
“ข้าไม่ต้องการอะไร”
“ข้าไม่ได้พูดกับเจ้า”
หลังจากมาถึงชั้นบนสุด สองผู้นำเผ่าแท้เปิดศึกกัดกันอีกครั้ง
เมื่อฉันเข้าไปในห้องนอนของห้องสวีต ภายใต้การนำทางของลูกน้องใส่สูทที่ยืนรออยู่ ฉันเห็นมกอูรัมกำลังหลับสบายอยู่บนเตียง
“ยังไม่เคยตื่นเลยใช่ไหม”
“ยังขอรับ”
ชุดผ้าฝ้ายที่มกอูรัมสวมไม่มีรอยยับ อย่าว่าแต่ตื่นเลย แค่ขยับตัวก็คงไม่
‘ถ้าปลุกจะตื่นไหมนะ เช่นการเขย่าไหล่’
ฉันยกแขนแล้วยื่นไปหามกอูรัม
ทันใดนั้น
หมับ
มกอูรัมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับคว้าข้อมือฉัน