ในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน มุนแซรอนวางแผนทำข่าวมาราธอน
จุดเริ่มต้นคือค่ายยุวชน
‘เห็นว่ามีข่าวลือไม่ค่อยดี ก็เลยสนใจเป็นพิเศษ’
เธออ่านทุกรีวิวเกี่ยวกับค่ายยุวชนที่เขียนบนเว็บบอร์ดของโรงเรียนแสงเงิน
หลังจากอ่านข้อความทั้งหมด หญิงสาวผุดคำถาม
‘ทำไมทางโรงเรียนถึงเอาแต่ต่อสัญญากับศูนย์ฝึกที่มีปัญหา? รุ่นพี่ส่งเรื่องร้องเรียนไปตั้งหลายครั้ง’
โรงเรียนอยู่ในสถานะ ‘ผู้จ้าง’ และศูนย์ฝึกอยู่ในสถานะ ‘ผู้ถูกจ้าง’
เข้าใจได้ไม่ยากว่าฝั่งไหนเป็นฝ่ายกุมอำนาจ
แต่เมื่อเห็นโรงเรียนยังเอาแต่ต่อสัญญาศูนย์ฝึกที่มีปัญหา มุนแซรอนเริ่มตงิดใจ
‘เพิ่งต่อสัญญากับศูนย์ฝึกไปในช่วงต้นเทอมสินะ… ชเวย็อนทึกเป็นผู้รับผิดชอบการต่อสัญญา หมายความว่านี่คือขยะที่ชเวย็อนทึกทิ้งไว้!’
ตอนนี้ไม่มีการสนับสนุนจากชเวย็อนทึกแล้ว
ไม่ต้องสืบเลยว่า ค่ายยุวชนที่สิ่งอำนวยความสะดวกล้าสมัยและครูฝึกไม่ได้คุณภาพ จะไม่ได้รับการต่อสัญญาจากโรงเรียนแสงเงินในปีถัดไป
มุนแซรอนจึงมองว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะได้ขุดคุ้ยข่าวจากมัน
ดังนั้น หญิงสาวจึงขออนุญาตจากครูประจำชั้นโนยองมี เพื่อออกไปสืบข่าวหลังจากเช็กชื่อก่อนเข้านอน
‘ใจจริงก็อยากเข้าไปรื้อค้นห้องทำงานของครูฝึก แต่นั่นคงจะยากเกินไป ลองทำอันที่ทำได้ก่อนดีกว่า!’
แม้อำนาจในการสืบสวนของเธอจะมีจำกัดเนื่องจากเป็นแค่นักเรียน แต่ก็ยังมีวิธีที่ถูกกฎหมายและเรียบง่ายกว่านั้นอยู่
คุ้ยถังขยะ
สกปรก ยากลำบาก และน่าเบื่อ แต่ถือเป็นวิธีรวบรวมข้อมูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นจุดเริ่มต้นของข่าวใหญ่มานักต่อนัก
‘จากที่เห็นอย่างผิวเผิน พวกเขาใช้เครื่องบดกระดาษแบบเก่า และดูเหมือนจะไม่มีเตาเผาขยะด้วย อาจจะได้พบอะไรดีๆ ก็ได้!’
ในสองคืนแรก เธอลักพาตัวถังขยะไปไว้ในมุมอับแล้วใช้เวลากับมัน
ด้วยถุงมือลาเท็กซ์ หญิงสาวพบเศษเอกสารที่ถูกบดท่ามกลางกองขยะ
‘เจ๋งเป้ง! นี่แหละ!’
มุนแซรอนมีพลังวิเศษสำหรับประกอบเศษเอกสารโดยไม่ต้องพึ่งพาสกิล
‘แต่ถ้าเจอเศษเอกสารไม่ครบทุกชิ้น พลังวิเศษของเราจะใช้การไม่ได้… อันดับแรกก็ต้องค้นหาให้ทั่ว!’
ขณะเธอนั่งคุ้ยเศษเอกสารที่ผ่านเครื่องบดอย่างสำราญใจ เงาตะคุ่มโผล่จากด้านหลังมุนแซรอน
เมื่อเห็นว่ามืดลงกะทันหัน มุนแซรอนหันกลับไปมองเพราะคิดว่าเมฆเคลื่อนมาบังดวงจันทร์
“มุนแซรอน”
“ค…ครูกึนยอง!”
อีกฝ่ายยิ่งดูน่ากลัวและดุร้ายภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด!
เธอเกือบโพล่งออกไป แต่มุนแซรอนฉลาดพอที่จะยั้งปากแล้วเริ่มคิดหาข้อแก้ตัว
อันดับแรกก็ต้องอธิบายว่าได้รับอนุญาตจากครูโนยองมีแล้ว
“เธอได้บอกเด็กคนอื่นในชมรมหนังสือพิมพ์ไหม ว่าจะออกมาสืบข่าวตามลำพัง”
“ไม่คะ… ฉันไม่ได้บอกใครเลยนอกจากครูโนยองมี”
“เข้าใจแล้ว…”
มุนแซรอนเอียงคอสงสัย แต่สุดท้ายก็อนุมานเอาว่า ‘ครูกึนยองคงถามเพราะในห้องครูมีเด็กชมรมหนังสือพิมพ์อยู่ถึงสองคน’
โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า โชอึยชินที่คาดเดาพฤติกรรมเธอได้จากการวิเคราะห์นิสัยในเกม ได้ขอร้องครูฮัมกึนยองไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ไปกันเถอะ”
“คะ? ไปไหนหรือคะ? เอ่อ… ฉันมีเรื่องที่กำลังตามสืบอยู่…”
แม้จะทราบว่าฮัมกึนยองเป็นครูที่ดี แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูน่ากลัว เธอไม่กล้าปฏิเสธ
มุนแซรอนกลืนสิ่งที่เตรียมจะพูดลงคอไป
“ถ้าหยิบอาวุธแล้วตามครูมา เธออาจจะได้ทำข่าวใหญ่ก็ได้”
แม้หญิงสาวจะสับสนกับคำพูดและการกระทำของครูฮัมกึนยอง แต่มุนแซรอนเชื่อใจอีกฝ่าย จึงยอมตามไปหลังจากชักอาวุธออกมาถือ
ปลายทางคือประภาคารเพลเยอร์
ตัวอาคารไม่แตกต่างจากประภาคารปกติ แต่ตราของสมาคมเพลเยอร์และเสาเรดาร์ตรวจจับเอนามีดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
ขณะเดินตามฮัมกึนยองเข้าไปในประภาคาร มุนแซรอนกล่าวอย่างตื่นเต้น
“ว้าว… ฉันไม่เคยเห็นประภาคารเพลเยอร์มาก่อน! แต่มันดู… เก่าจัง… เป็นเพราะรัฐบาลตัดงบของกระทรวงต่างโลกหรือคะ?”
ขณะมุนแซรอนก้าวเข้าไปด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น เธอพบกับคนสามคน
คนแรกเป็นชายวัยกลางคนที่มุนแซรอนไม่รู้จัก
แต่อีกสองที่เพิ่งโผล่จากกล่อง ต่างก็เป็นใบหน้าที่คุ้นเคย
“ร…รุ่นพี่ควอนเจอิน… ท่านเกรตทัก! สวัสดีค่ะ! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!”
ครูกิตติมศักดิ์ทั้งสองพยักหน้ารับคำทักทาย แล้วหันไปมองทะเลด้วยสายตาเคร่งขรึม
มุนแซรอนมองตามไป แต่เห็นเพียงทะเลสีดำ
จากนั้น หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบๆ อุปกรณ์เก่าภายในประภาคาร
ไม่นานเธอก็แทบกรี๊ดแตกหลังจากได้เห็นจุดสีแดงจำนวนมากบนหน้าจอเรดาร์เก่า
“…ทั้งหมดนั่นคือเอนามี? เครื่องเสียแล้วหรือ”
คำนึงจากสีหน้าพวกผู้ใหญ่ ดูเหมือนเรดาร์จะไม่ได้เสีย
บทสนทนาดำเนินต่อไปโดยมีฉากหลังเป็นใบหน้าอันซีดเซียวของมุนแซรอน
“ผมจะขึ้นไปบนประภาคารเพื่อยิงสกัดและคุ้มกัน… ขอฝากพวกนักเรียนให้คุณดูแลได้ไหมครับ คุณผู้ดูแลเกาะ”
“ไม่มีปัญหาครับ คุณศรสวรรค์!”
หลังจากผู้ดูแลเกาะ ทักกอซัน และควอนเจอินหายไปจากประภาคาร
มุนแซรอนที่ได้สติกลับมา กำอาวุธในมือแน่นแล้วตามฮัมกึนยองขึ้นไปบนประภาคาร
“…ฉันควรออกไปสู้ด้วยไหมคะ”
“ตรงนั้นมีครูกิตติมศักดิ์ทั้งสองคนอยู่แล้ว เธอไม่ต้องไปก็ได้ คอยเตรียมตัวเพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินก็พอ”
แม้ฮัมกึนยองจะช่วยพูดปลอบประโลม แต่มุนแซรอนก็อดสั่นไม่ได้
เอนามีจำนวนมหาศาล
ทะเลอันบ้าคลั่งที่คร่าชีวิตเอนามีไปมากมาย ขณะเดียวกันก็พยายามซัดสาดขึ้นมาบนเกาะ
กระทั่งเพลเยอร์ยอดฝีมือก็คงรักษาความเยือกเย็นในสถานการณ์แบบนี้ได้ยาก
แต่เมื่อได้เห็นฮัมกึนยองง้างคันธนูแล้วยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง หญิงสาวค่อยใจชื้นขึ้นมาหลายส่วน
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งสำคัญที่คอยยึดเหนี่ยวหัวใจมุนแซรอนเอาไว้ก็คือ
‘ข่าวใหญ่ที่อาจสร้างชื่อให้เราเป็นครั้งแรก!’
บนเกาะปิดตายที่การสื่อสารถูกตัดขาด นักข่าวคนเดียวที่สามารถบันทึกสถานการณ์ได้ชัดเจนที่สุดคือเธอ
หญิงสาวใช้ดีไวซ์ทั้งหมดเพื่อบันทึกเสียงและภาพเหตุการณ์อย่างละเอียด
หัวใจมุนแซรอนยิ่งเต้นแรงเมื่อจินตนาการว่า ต่อให้เธอตายไป แต่ฉากอันน่าตกตะลึงเหล่านี้จะถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกได้เพราะความบ้าบิ่นของตน
ภาพเหตุการณ์แสนสำคัญทยอยถูกบันทึกลงดีไวซ์ทีละฉาก
หญิงสาวมิอาจเก็บซ่อนอารมณ์ที่เอ่อล้น จนเผลอพึมพำออกมา
“ไม่อยากเชื่อว่าจะมีโอกาสได้บันทึกเหตุการณ์พวกนี้…!”
ท่ามกลางเสียงคำรามของทะเลคลั่ง เสียงไวโอลินดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะ
ควอนเจอินและควอนเลนา ยอดนักไวโอลินอันดับหนึ่งของโลก กับนักเรียนชั้นปีหนึ่งของโรงเรียนที่ทรงเกียรติที่สุดในเกาหลี ช่วยกันบรรเลงบทเพลงไวโอลินอันซับซ้อน ในท่ายืนหันหน้าเข้าหากันจากตำแหน่งห่างไกล
ผ่านไปสักระยะ คลื่นทะเลเริ่มสงบลงภายใต้ความร่วมมือของสองเพลเยอร์นักไวโอลินที่เก่งกาจ
ราวกับมหาสมุทรในแถบนี้ไม่เคยมีคลื่นและพายุ สตรีทั้งสองหยุดบรรเลงเพลง ลดคันชักลงแล้วทอดสายตาไปตามเส้นขอบฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงัดโuเวลกูดoทคอม
* * *
เปรี้ยง—!
อสนีสีชาดที่เสือแดงเรียก ผ่าลงมายังสนามรบอีกระลอก
แต่ร่างที่ยืนปักหลักท่ามกลางพื้นดินไหม้เกรียมและกลุ่มควันอันคละคลุ้ง ยังคงไร้รอยขีดข่วนเช่นเคย
“ให้ตายสิ ไม่เห็นจะรู้เรื่องนี้เลย… ทำอย่างไรดีล่ะ? การสื่อสารของที่นี่ถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์ ‘ดวงตา’ ก็ดูจะใช้การไม่ได้ ข้างนอกคงไม่รู้สถานการณ์ของเรา… ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าต้องเผชิญหน้ากับตำนานเผ่าเสือและคนโปรดของราชันเทพมังกร”
หมีจอมว้าวุ่นพึมพำขณะยกคทาขักขระหิน*ขึ้น
(ไม้ขักขระ — คทาที่หลวงจีนโบราณนิยมใช้ ให้นึกถึงไม้เท้าของพระถังซัมจั๋งที่มีกระพรวนห้อย)
การปะทะกันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างดุเดือดนัก เพราะหมีจอมว้าวุ่นแทบไม่เคลื่อนไหวเลย
เพียงถอนหายใจยาวขณะมองสลับไปมาระหว่างเสือแดงกับคิมชินรก
“งานของข้าคือการทำลายระบบสื่อสาร ตบตาดาวเทียม และลอบสังหารลูกชายอุงเนียแท้ๆ … เหตุไฉนถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”
กล้าพูดว่าจะสังหารลูกชายต่อหน้าบิดาเชียวหรือ
สิ้นเสียงอีกฝ่าย เสือแดงรีบปิดปากให้สนิท ด้วยเกรงว่าถ้อยคำหยาบช้าที่ผนึกไว้หลายพันปีจะพรั่งพรูออกมา
ในทางกลับกัน เขาประเมินว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดช่องว่าง จึงยิงสายฟ้าสีแดงใส่หนึ่งในเผ่าหมีแล้วพุ่งไปคว้าคอมัน
ตามด้วยการจับทุ่มลงพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบลูกกระเดือก
“อ๊าก!!”
เผ่าหมีคนดังกล่าวดิ้นทุรนทุรายเพราะฤทธิ์สายฟ้าที่ปล่อยจากปลายเท้าเสือแดง
แต่หมีจอมว้าวุ่นยังคงไม่ตอบสนอง
‘ดูจากสีหน้า ถึงจะจับมาเป็นตัวประกันก็คงไม่มีประโยชน์’
ตัวประกันที่ไร้ประโยชน์คือภาระ
เสือแดงวิเคราะห์ได้เช่นนั้น จึงถอนเท้าจากลำคอแล้วกระทืบท้องน้อยอีกฝ่ายจนสลบ
แม้จะได้เห็นเผ่าหมีสลบไปโดยไม่ส่งเสียงร้อง หมีจอมว้าวุ่นยังคงทำเพียงพึมพำ
“เฮ้อ… ไอ้เวรนั่นทิ้งลิ่วล้อไว้ที่นี่แล้วมัวไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหน เลยเวลานัดที่ต้องส่งเครื่องเซ่นแล้วด้วย”
เผ่าหมีพวกนี้ไม่ใช่ลูกน้องของหมีจอมว้าวุ่น?
ขณะเสือแดงตรึกตรอง ชายหญิงที่น่าจะเป็นคนสนิทของหมีจอมว้าวุ่น กำลังปะทะอยู่กับยงเจกอน
ฝ่ายหญิงใช้ดาบสองคม ฝ่ายชายใช้มนต์ดำ
ทั้งสองที่เคยเอาชีวิตของนักเรียนมาข่มขู่คิมชินรก ถูกยงเจกอนใช้ศาสตร์แห่งมิติเล่นงานจนแทบไม่ได้แสดงฝีมือ
สิ่งเดียวที่ทำได้คือการพยายามเล็งโจมตีคิมชินรกที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“น่ารำคาญจังเลยนะ… ข้าสังหารพวกเจ้าตอนนี้ไม่ได้ เพราะมันวุ่นวายเวลาพลังที่สูญเสียเจ้านายคลุ้มคลั่ง… จะจับเป็นก็ดูลำบากจังเลยนะ”
แม้ยงเจกอนจะพูดแบบนั้น แต่สีหน้าของเขาซึ่งเผยให้เห็นผ่านแผ่นมิติสีเขียวหยกที่แตกกระจาย ยังคงดูเยือกเย็นและสงบนิ่ง
ฝ่ายศัตรูได้เปรียบในเรื่องจำนวน แต่ความยอดเยี่ยมของเสือแดงกับยงเจกอนได้ลดจำนวนเผ่าหมีลงเรื่อยๆ เพราะหมีจอมว้าวุ่นไม่เข้ามาแทรกแซง
ขณะเสือแดงพยายามเสกอสนีสีชาดใส่หมีจอมว้าวุ่นอีกครั้ง
“…ดูเหมือนสิ่งที่น่ารำคาญยิ่งกว่าพวกเจ้ากำลังตรงมา หืม… ตอนแรกกะจะช่วยยื้อเวลารอให้จอมลอกเลียนกลับมา แต่ดูท่าคงไม่เป็นแบบนั้นแล้วสินะ”
หมีจอมว้าวุ่นเหวี่ยงคทาขักขระไปในอากาศจนเกิดเสียงดัง
ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวของเผ่าหมีทั้งหมด ยกเว้นหมีจอมว้าวุ่นและคนสนิทชายหญิง มีอันต้องชะงักงัน
จากส่วนปลายคทาขักขระ คลื่นพลังวิเศษสีน้ำสนิมสาดออกมาเป็นแนวนอน
“คุณเสือแดง! ป้องกัน!”
ยงเจกอนเร่งเสียง
ทันทีหลังจากกล่าวจบ ยงเจกอนอัญเชิญลูกบาศก์มิติสีหยกออกมาหุ้มร่างตนกับคิมชินรกไว้หลายสิบชั้น
ขณะเสือแดงเร่งความหนาแน่นของควันแดงจนถึงขีดสุดแล้วย้ายมายืนบังคิมชินรก
“พวกเจ้าคงมิอาจทนรับความอัปยศและเจ็บปวดจากการถูกพวกเสือจับตัวไป… ข้าจะช่วยดับทุกข์ให้เอง”
สิ้นคำดังกล่าว หมีจอมว้าวุ่นกระแทกคทาขักขระลงพื้น
ตึง!
ทันทีที่ปลายคทากระแทกดิน เผ่าหมีทยอยล้มลงไปทีละหนึ่ง
ร่างของเผ่าหมีที่ล้มลงเริ่มพองตัว
เผ่าหมีต่างหันไปมองหมีจอมว้าวุ่นอย่างไม่เชื่อสายตา
จากนั้น ร่างพวกมันทยอยระเบิดทีละคน
บึ้มมม! บึ้ม! บึ้ม!
คลื่นพลังวิเศษที่แทรกซึมเข้าไปในเนื้อและกระดูกของบรรดาเผ่าหมีจนพองตัว ได้ให้กำเนิดระเบิดลูกใหญ่เมื่อทั้งหมดปะทุออกมาพร้อมกัน
* * *
ไม่ไกลออกไป ฉันได้ยินเสียงระเบิดพร้อมกับเสียงพลังวิเศษบดขยี้สิ่งต่างๆ
แต่ไม่นานก็เงียบไป
วังจีโฮที่รีบใช้ศาสตร์แห่งบาเรียคุ้มกันตัวเองกับฉัน หยุดเคลื่อนไหวพร้อมกับหรี่ตาลง
“…กลิ่นเลือด ของเผ่าแท้หรือไม่ก็มนุษย์”
ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับกลิ่นเลือดเท่าไร ดูเหมือนหมอนี่จะจมูกดีทีเดียว
หลังจากประเมินว่าพลังวิเศษสลายไปหมดแล้ว วังจีโฮคลายบาเรียแล้วเริ่มวิ่งอีกครั้ง
ขณะวิ่งตามเขาไป เสียงของระบบดังขึ้น
〈การแทรกแซงของเผ่าหมีจบลงแล้ว การสื่อสารกลับมาเป็นปกติ〉
วันแรกที่มาถึงโลกนี้
มันคือเสียงเดียวกับที่ฉันได้ยินขณะแบคโฮกุนปรากฏตัวและบททดสอบแรกสิ้นสุดลง
‘อิทธิพลของเผ่าหมีที่ทำให้ระบบสื่อสารล่มหายไปแล้ว เจ้านั่นคงหมดสภาพหรือไม่ก็หนีไป…’
หากการสื่อสารกลับเป็นปกติและมีการแจ้งเตือนจากดาวเทียม ถัดจากนี้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง
สมาคมเพลเยอร์จะเริ่มแทรกแซง ในไม่ช้ากำลังเสริมจะถูกส่งเข้ามา
“การสื่อสารกลับมาแล้ว”
“ฉันจะลองติดต่อเสือแดง”
ไม่กี่อึดใจให้หลัง วังจีโฮกลาวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย คล้ายกับว่าได้รับคำตอบจากเสือแดง
“ดูเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย… แต่ทุกคนปลอดภัยดี”
คำพูดดังกล่าวคลายความตึงเครียดให้ฉัน
ตัวแปรที่น่ากังวลที่สุดก็ได้รับการแก้ไขอย่างราบรื่นเช่นกัน
ขณะวิ่งด้วยฝีก้าวเบาหวิว ฉันเปิดดีไวซ์ขึ้นมาและพบข้อความค้างอ่านกองเป็นภูเขา
ปกติแล้วไม่ควรมีใครติดต่อมาในเวลาแบบนี้
คนที่ส่งข้อความเข้ามา ถ้าไม่ใช่พวกที่ร่วมปฏิบัติการ ก็ต้องเป็นพวกที่อยู่นอกเกาะซึ่งใช้สัญญาณได้ตามปกติ
ฉันอ่านข้อความด้วยใบหน้าประหลาดใจ
‘…มินกือริน?’
ประวัติข้อความเต็มไปด้วยชื่อของมินกือริน