MasterGU.noted = ชื่อบทจากเว็บนอก -> Final Exam/สอบปลายภาค (2)
‘พวกเขามีปัญหาอะไรกันมาก่อน…?’
ย็อมจุนยอลกับซาวอลเซอึม สองคนที่ไม่เคยได้เจอกันในเกม
ฉันนึกทบทวนพลางวิเคราะห์พฤติกรรมพวกเขา
‘หรือว่า…’
บทสนทนาที่ฉันบังเอิญได้ยินในห้องอนุรักษ์วัฒนธรรมเกาหลีโบราณผ่านสกิล ‘พลังโชคชะตา’ หวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง
— ถ้าคุณจอมโจรผาแดงอนุญาตนะครับ ในทางกลับกัน ถ้ารุ่นพี่สืบจนรู้ว่าใครคือจอมโจรผาแดง…
— ได้สิ ไว้ฉันจะบอกให้
วันแรกที่ฉันเริ่มตระหนักว่า ‘ชื่อนั้น’ ชวนขนหัวลุกเพียงใด
ซาวอลเซอึมฝากคำขอบคุณผ่านย็อมจุนยอลมาถึงฉัน
‘แต่พอมานึกๆ ดู… เขาไม่เคยพูดถึงซาวอลเซอึมเลยสักครั้งนี่นา’
ถ้าเป็นย็อมจุนยอลที่ฉันรู้จัก ในตอนที่เจอฉันครั้งแรกเขาต้องพูดว่า:
‘ท่านอาจารย์! ยังจำเซอึมได้ไหมครับ เด็กคนนั้นฝากผมมาขอบคุณอาจารย์…’
ถึงเขาจะไม่บอกกับซาวอลเซอึมว่าเจอจอมโจรผาแดงแล้ว แต่อย่างน้อยก็ควรเล่าเรื่องที่อีกฝ่ายฝากคำขอบคุณมาไม่ใช่หรือไง
ใบหน้าอันเคร่งขรึมของย็อมจุนยอลดูหมองลงจากปกติ
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเป็นกรรมการให้เอง”
อยู่ดีๆ ยงเจกอนก็โผล่มายืนด้านหลังฉัน
ย็อมจุนยอล ผู้ยืนตรงกลางระหว่างฉันกับกวักคยุงกู ซึ่งนั่งหันหน้าเข้าหากันโดยมีกระดานหมากรุกคั่นกลาง ผงะเล็กน้อยเมื่อเพิ่งจะรู้สึกถึงการมาเยือนของยงเจกอน
เขาตอบสนองได้ช้าจนผิดวิสัย
ยงเจกอนก็คงคิดเหมือนฉัน จึงยืนจ้องหน้าย็อมจุนยอลอยู่ราวสองวินาทีก่อนจะพูด
“จุนยอล คลื่นพลังวิเศษของเจ้าดูปั่นป่วนนะ แวะไปที่ห้องพยาบาลเพื่อดูสัญญาณชีพหน่อยไหม… หรือไม่ก็ ตอนนี้ซังฮียังอยู่ที่โรงเรียน ให้เธอช่วยเรียกอาร์เคีย…”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ แต่สัญญาชีพของผมไม่ได้ผิดปกติจนน่ากังวล ให้ผมนั่งดูเถอะครับ”
ยงเจกอนขมวดคิ้วด้วยท่าทีลังเล
กวักคยุงกูทำหน้าเหมือนกำลังพูดว่า ‘ครูยงเอาอีกแล้ว’ เนื่องจากเคยเห็นมังกรประหลาดรายนี้เป็นห่วงเป็นใยเพื่อนของตนจนเกินพอดีบ่อยครั้ง
“ครูยง ฝากตัดสินอย่างยุติธรรมด้วยนะครับ”
เมื่อกวักคยุงกูเร่งทางอ้อม ยงเจกอนผงกศีรษะรับอย่างไม่เต็มใจ
“…ตกลง จะโยนเหรียญกันเลยไหม”
ระหว่างที่กำลังโยนเหรียญตัดสินว่าใครจะได้เริ่มก่อน
ย็อมจุนยอลหยิบเก้าอี้พับในห้องออกมานั่ง
ตำแหน่งการนั่งของเขาดูพยายามสร้างระยะห่างกับซาวอลเซอึม
“เริ่มได้เลย”
พร้อมกันกับสัญญาณเริ่มแข่งของยงเจกอน กวักคยุงกูผู้ได้สิทธิ์เดินทีหลัง เป็นฝ่ายกดนาฬิกา
ตำแหน่งการเดินสลับกันจากศึกล่าสุด
‘…ปวดหัว’
ทุกตาที่เดิน อาการวิงเวียนศีรษะของฉันยิ่งรุนแรง ปลายนิ้วเริ่มสูญเสียอุณหภูมิ
หากไม่ใช่เพราะมีตัวละครของฉันมุงดูเป็นจำนวนมาก คงยากที่จะกัดฟันทนให้ผ่านพ้นไป
‘…อีกนานกว่าจะเล่นเก่งเท่าสมัยที่ยังเซียนๆ’
แม้จะได้ผลลัพธ์ช้ากว่ากลยุทธ์อื่น แต่จุดแข็งของฉันคือรูปแบบการบุกอันรัดกุมและกัดไม่ปล่อย คอยเดินหมากในเกมที่ตัวเองควบคุมแล้วโจมตีจุดอ่อนศัตรูไปเรื่อยๆ จนหมดกระดาน
แต่ในตอนนี้ ด้วยขีดจำกัดทางด้านร่างกายและจิตใจ ฉันจำเป็นต้องเดินหมากให้เร็วแต่ยังพอมีประสิทธิภาพ แทนการเดินหมากในรูปแบบอุดมคติ
‘คงยังเอาชนะมันไม่ได้ในเร็ววัน…’
ขณะฉันก้มมองกระดานเพื่อคาดเดาหมากถัดไปของกวักคยุงกู
“ขอยอมแพ้”
กวักคยุงกูยอมแพ้เหมือนคราวก่อน
พวกเรามาถึงช่วงท้ายของเกมแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้รุกฆาต
เขายื้อได้นานกว่าคราวก่อนพอสมควร
“อึยชินเป็นฝ่ายชนะ! ขอแสดงความยินดี!”
“ยินดีด้วย”
“มาวิเคราะห์การแข่งกันเถอะ”
เมื่อฉันจับมือกับกวักคยุงกูเสร็จ นักเรียนกลุ่มผู้ชมทยอยเดินเข้ามามุง
บทวิเคราะห์การแข่งเริ่มขึ้น
“คยุงกูยอมแพ้เพราะมองว่า ฝ่ายอึยชินที่กำลังใช้คิงไล่เดินข่มคิงของตน ใกล้จะรุกฆาตด้วยเรือในอีกไม่กี่ตาข้างหน้า… ใช่ไหม?”
“อ๋อ… สิ่งที่อึยชินทำคือกลยุทธ์ ‘ใช้คิงเดินข่ม’ นี่เอง”
“ใช่ ในช่วงท้ายเกมแบบนี้ ฝ่ายที่ถูกคิงเดินข่มใส่ จะเสียเปรียบและไม่มีทางเลือกนอกจากขยับคิงของตัวเองหนีไปเรื่อยๆ”
หลังจากยงเจกอนอธิบายกับฮันอีและซาวอลเซอึมที่ยังเป็นมือใหม่
เขาเสนอทางเลือกที่กวักคยุงกูสามารถต่อชีวิตไปได้อีก พลางกล่าวอย่างเสียดาย
“เจ้ายอมแพ้เร็วไปหน่อยนะ คยุงกู”
กวักคยุงกูทำหน้าเสียดายยิ่งกว่า
…สีหน้าแบบนี้แหละ ดีกว่าสีหน้าโล่งในเมื่อตอนนั้น
ขณะฉัน ซาวอลเซอึม และฮันอีบอกลาทุกคนก่อนจะเดินออกจากห้อง ย็อมจุนยอลกำลังทำหน้าครุ่นคิด
เขารับคำทักทายของเด็กปีหนึ่งด้วยรอยยิ้มพอเป็นพิธี
แต่ตบตาสวะติดเกมอย่างฉันไม่ได้หรอก
‘ย็อมจุนยอลไม่ร่วมวิเคราะห์เลย’
เห็นทีต้องหาโอกาสคุยกับลูกศิษย์หน่อยแล้ว
* * *
ระหว่างทางไปที่บ้านคิมยูรี
แม้สองคนนี้จะไม่ทำอะไรมากไปกว่าการ ‘ดู’ แต่ฉันก็ตัดสินใจแวะร้าน MITRON ที่ประตูฝั่งตะวันตกเพื่อตอบแทนพวกเขาที่ช่วยเป็นกำลังใจให้
ตอนแรกทั้งสองปฏิเสธเสียงแข็ง แต่หลังจากฉันยืนยันกรานหนักแน่น ไม่นานลูกค้าประจำของร้าน MITRON ก็ยอมจำนน
“ที่ฉันปฏิเสธก็เพราะเดือนนี้กินไปเยอะแล้ว แต่ว่า…”
“ฉันเลือกไม่ได้ระหว่างรสพลัมเจลาโต้ หรือรสแบล็กช็อกเบอร์รีไทรเฟิลดี…”
“สั่งมาทั้งสองรสแล้วแบ่งกันกิน”
“ได้หรือ? เอาสิ! จะว่าไป… แอพริคอตคัสตาดที่เคยพลาดไปคราวก่อน รอบนี้ยังขายไม่หมดพอดี เอาอันนั้นด้วยก็แล้วกัน”
ด้านหน้าตู้วางขนม ฮันอีกับซาวอลเซอึมตั้งหน้าตั้งตาเลือกเมนูอย่างตื่นเต้น
ฉันตัดสินใจจะกว้านซื้อทุกรสที่สองคนนี้ลังเล
และทันทีที่บอกว่า ‘จะซื้อไปแบ่งเพื่อนๆ ด้วย’ พวกเขารีบกวาดขนมใส่ถาดอย่างกระตือรือร้น
ได้เห็นใบหน้ามีความสุขของทั้งสอง ฉันรู้สึกอิ่มทั้งที่ยังไม่ได้กินมื้อเย็น
‘เอาเงินมาใช้แบบนี้ดีที่สุดแล้ว’
ไม่มีอะไรคุ้มค่าไปกว่าการปาเงินใส่ร้านขนมที่เพื่อนร่วมชั้นชอบกิน
อีกทั้งยังประจวบเหมาะกับช่วงที่ฉันเพิ่งได้เงินตอบแทนจากการคุ้มกันรอยแยก SSR เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
‘คราวก่อนเจอคนอบขนมตอนเช้า วันนี้จะอยู่กะเย็นด้วยไหมนะ…’
ช่างบังเอิญเหลือเกิน วันนี้เพลเยอร์นักทำขนมก็ยังคงยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์คิดเงิน
ดูเหมือนเขาจะสนิทกับซาวอลเซอึมและฮันอีมากขึ้น มีการพูดคุยเล็กน้อยขณะทอนเงิน
“ได้แถมลูกอมแถมมาด้วย! มีเกินสิบเม็ด! เอาไปแบ่งเพื่อนกันเถอะ”
“ฉันขอรสครีมสตรอว์เบอร์รี!”
“ฉันขอมะนาว!”
ท่ามกลางบทสนทนาอันชื่นมื่น พวกเราเดินมาถึงบ้านคิมยูรี
คิมยูรีเปิดประตูช้ากว่าปกติ จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
“ฮะฮะฮะ… สวัสดี… จังหวะไม่ดีเท่าไรเลยนะ”
มองเข้าไปในห้องนั่งเล่น สิ่งแรกที่เตะตาคือวังจีโฮซึ่งพร้อมจะระเบิดเสียงหัวเราะทุกเมื่อ
แววตาของเขาชวนให้นึกถึงลางร้าย
จังหวะไม่ดี?
“โว๊ะ!”
คนที่ตวาดขึ้นมาคือซงแดซอก
เขาจ้องเขม็งมาทางเรา ซึ่งเพิ่งมาถึง ด้วยใบหน้าไม่เป็นมิตรเลยสักนิด
“เอาแต่เถลไถลไม่ยอมมาจับกลุ่มติวกับเพื่อน… ถ้าคิดจะมาดึกขนาดนี้ล่ะก็ ทีหลังอย่ามาดีกว่านะ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย..”
“แดซอก!”
“ฮะฮะฮะฮะ!”
ทันทีที่มินกือรินตะโกนห้าม ซงแดซอกรีบปิดปาก ส่วนวังจีโฮปล่อยขำราวกับทนไม่ไหว
ถึงจะมึนงงนิดหน่อย แต่ฉันเข้าใจได้ว่าซงแดซอกเป็นพวกอารมณ์ร้อน และวังจีโฮก็ไม่เต็มเต็ง จึงทำเพียงเดินไปนั่งประจำที่โดยไม่ถือสา
“เกิดอะไรขึ้น”
“ทำไมเขาตะโกนทำไม”
เมื่อซาวอลเซอึมกับฮันอีถาม ควอนเลนาตอบด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน
“อันที่จริง กือรินกำลังซ้อมถอดแว่น AR อยู่ ในเมื่อเธอเคยมาบ้านยูรีบ่อย พวกเราจึงคิดว่าน่าจะเริ่มชินบ้างแล้ว และถ้าไม่นับแดซอก ในห้องก็มีเด็กแค่สี่คนที่กือรินรู้จักมาค่อนข้างนาน พวกเราก็เลยคิดว่าถอดแว่นสักหน่อยคงไม่เป็นไร”
คงเพราะจิตรกรฮงคยุงบ๊กเริ่มมาโรงเรียนสินะ…
มินกือรินถึงได้มุ่งมั่นที่จะเอาชนะแผลใจเป็นพิเศษ
‘เพราะอย่างนี้… ซงแดซอกถึงได้โมโห’
โอกาสที่มินกือรินจะอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งแว่น AR ซึ่งเป็นของขวัญจากชายแปลกหน้า เพิ่งหลุดลอยไปเมื่อครู่
เขาโมโหพวกเราที่เข้ามาขัดจังหวะ
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันออกไปเอง”
“ฉันด้วย”
“ไม่เป็นไร! ฉ…ฉันกำลังจะกลับไปกินมื้อเย็นพอดี…”
ได้ยินคำพูดมินกือริน ซงแดซอกรีบเก็บของอย่างไว
ดูเขารีบร้อนอยากกลับบ้านเหลือเกิน
“อยู่กินข้าวที่นี่ก็ได้นะ… วัตถุดิบมีเหลือเฟือเลย”
“ไม่ได้หรอก ครอบครัวกำลังรออยู่ ไปก่อนนะ”
แม้คิมยูรีจะคัดค้าน แต่พอได้ยินว่าพ่อแม่กำลังรออยู่ พวกเราจึงทำได้แค่ส่งกลับ
“…ไว้พรุ่งนี้ฉันจะอยู่เตรียมอาหารเย็นด้วยนะ”
เมื่อได้ยินว่ามินกือรินจะอยู่กินมื้อค่ำพรุ่งนี้ ซงแดซอกด้านหลังชักสีหน้าโดยไม่เก็บซ่อน
คิมยูรียิ้มตอบกลับไปอย่างร่าเริง มิได้แยแสสีหน้าของฝ่ายชายเลยสักนิด
“แน่นอน พรุ่งนี้เอาเป็นเมนูที่กือรินกับแดซอกชอบก็แล้วกัน”
“ตกลง…! เจอกันพรุ่งนี้!”
“ไปกันได้แล้ว”
ทันทีที่มินกือรินกล่าวคำอำลาเสร็จ ซงแดซอกผลักหลังของเธอไปออกนอกประตู
มองไปยังทางเข้าอันเงียบสงบสักพัก ฉันถาม
“ติวกันไปถึงไหนแล้วล่ะ”
ได้ยินคำถามฉัน เด็กในห้องยิ้มเขินๆ ด้วยสีหน้าหลากอารมณ์
“มีอะไร… วันนี้ติววิชาสามัญอย่าง ‘ทฤษฎีต่อสู้ของเพลเยอร์ 1’ กันไม่ใช่หรือ”
“ฮะฮะฮะ! พวกเราได้เรียนเกี่ยวกับดาวเทียมเพียบเลยล่ะ”
“หมอนั่นพูดมากสุดๆ”
เมื่อเห็นพวกเราสับสน ควอนเลนาชี้ไปยังหนังสือเรียนบนโต๊ะแล้วกล่าว
“ในโจทย์มีคำถาม ‘สมาชิกปาร์ตี้ควรนำข้อมูลดาวเทียมมาใช้วางกลยุทธ์อย่างไร’ ซึ่งฉันกับเฮียวทงติดข้อนี้อยู่ แดซอกเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาอธิบายอย่างอดรนทนไม่ไหว”
หืม… ถ้าเป็นแดซอกก็เข้าใจได้
‘ซงแดซอกในเกมเป็นพวกคลั่งดาวเทียม’
เขาวางแผนชีวิตว่าจะเป็นนักวิจัยในทีมจัดการดาวเทียม หรือไม่ก็ทีมพัฒนาดาวเทียม ซึ่งรู้จักกันดีในนามแผนก 3D แห่งสมาคมเพลเยอร์
แม้จะเป็นหลานของมหาบุรุษแขนเหล็กซงมันซอก อีกทั้งเกิดมาพร้อมพลังวิเศษที่ยอดเยี่ยม แต่เขาก็ไม่ได้กดดันตัวเองว่าต้อง ‘โตไปเป็นเพลเยอร์ชั้นแนวหน้าเพื่อพิชิตรอยแยกให้ได้เยอะๆ’
‘ขอให้ชีวิตนี้ได้เป็นสมใจหวังนะ…’
นั่นคือคำบรรยายอันน้อยนิดที่เกมเขียนถึงเขาก่อนตาย
‘…คงต้องมองหาตำแหน่งเด็กฝึกงานในแผนกดาวเทียมเอาไว้หน่อย’
ในเมื่อแดซอกไม่มีความกล้าที่จะออกไปข้างนอก ฉันก็ต้องขว้างลูกโค้งเพื่อสนับสนุนเขาอยู่ห่างๆ
ฉันครุ่นคิดอยู่สักพักเพื่อวางแผนช่วยให้ความฝันเขากลายเป็นจริง
* * *
เมื่อกลับถึงหอ ฉันตรวจสอบข้อความค้างอ่านในดีไวซ์
เกือบทั้งหมดเป็นการแสดงความยินดีกับผลงานพิชิตรอยแยก SSR ที่แต่ละคนเพิ่งสังเกตเห็น
[อ๊กโทยอน] ผู้มีพระคุณ! พิชิตรอยแยกที่ฮงชอนมาหรือ? เจ้าเพิ่งอายุสิบเจ็ดเองนะ ทำไมถึงเอาแต่เที่ยวเสี่ยงชีวิตท้าทายรอยแยก SSR แบบนี้ล่ะ! เสียสติไปแล้วหรือไง? หรือว่าอยากตาย? แต่ก็… เจ้าสู้ได้ดีมาก! ครั้งหน้าก็พยายามเข้านะ… เอ่อ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ามีครั้งหน้าดีกว่า
[อ๊กโทยอน] ว่าแต่… ผู้มีพระคุณ ถ้าเจ้ามีเวลาพิชิตรอยแยกในช่วงสุดสัปดาห์ล่ะก็ ไปเป็นเพื่อนดูเบสบอลที่สนามกับข้าไม่ดีกว่าหรือ พักนี้พี่โทยุนเอาแต่ยุ่งอยู่กับงานดาวเทียมจน… ㅁㅎㅇㄴ;Aㅣ
ข้อความจากอ๊กโทยอนจบลงแค่ตรงนี้
ดูเหมือนจะถูกอ๊กโทยุนเขกกะโหลกเข้าให้ขณะส่งข้อความ
ถึงจะอ่านแล้วยังงงๆ แต่ก็พอจับใจความได้ว่าเธอเป็นห่วงฉัน—ผู้มีพระคุณ รวมถึงอยากไปดูเบสบอลด้วยกัน
‘ฮงกยูบินก็เอาแต่ชวนอยู่นั่น’
ฮงกยูบินซึ่งพักนี้เป็นอิสระจากงานล่วงเวลา คอยส่งข้อความตามตื๊อฉันไปกินมื้อเย็นอยู่เนืองนิจ จุดประสงค์หลักคงเป็นนิตยสารพิเศษของครูจูเก่อแจกอลฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก แต่หนนี้แนบคำชมเชยเกี่ยวกับการพิชิตรอยแยก SSR มาด้วย
‘หืม… ยังไม่หมด’
เลื่อนลงไปอีกเล็กน้อย ฉันเห็นข้อความสุดท้ายจากฮงกยูบิน
[ฮงกยูบิน] ระวังเด็กเจ้าเล่ห์ให้ดี… พักนี้หมอนั่นยิ้มแปลกๆ
เด็กเจ้าเล่ห์เริ่มติดต่อกับวังจีโฮมาได้สักพักแล้ว สองคนนั้นคงวางแผนบางอย่างกันอยู่
ฉันส่งข้อความไปขอบคุณฮงกยูบินแล้วเริ่มเขียนข้อความใหม่
[ฉัน] สวัสดีครับ รุ่นพี่ควอนเจอิน
[ฉัน] ผมอยากปรึกษาเกี่ยวกับตำแหน่งครูกิตติมศักดิ์ของโรงเรียนแสงเงินที่รุ่นพี่ปฏิเสธไปคราวก่อน
…
…
…
เมื่อฉันอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ฟัง ท่าทีของควอนเจอินเป็นไปในเชิงบวก
[ควอนเจอิน] เข้าใจแล้ว
[ควอนเจอิน] แต่ฉันต้องปรึกษาจาเร็ดก่อน
ควอนเจอิน—หัวหน้าทีมทะเลสาบนิรันดร์
เธอคงอยากปรึกษากับจาเร็ดลีก่อน เนื่องจากหัวหน้าทีมไม่ควรตัดสินใจรับตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการสอนหนังสือโดยไม่ปรึกษาคนอื่น
‘จาเร็ดคงไม่ปฏิเสธ… ถึงการขาดหายไปของหัวหน้าทีมจะทำให้งานของเขาเพิ่มขึ้นก็เถอะ’
สิ่งสุดท้ายที่ฉันตรวจสอบคือข้อความในห้องที่มีจางนัมอุกกับอูซังฮุน
เมื่อกดเข้าไปดูในห้อง มีสัญลักษณ์แจ้งว่าจางนัมอุกกำลังพิมพ์อยู่
* * *
ในความมืด
ผีเสื้อนับร้อยตัว ซึ่งทุกตัวปกคลุมด้วยเกล็ดแวววาว กำลังบินวนตัวนาบีรยอง
“หืม… นี่ก็ไม่ใช่…”
แกร่บ!
ทันทีที่หญิงสาวบีบกำปั้นอันขาวเนียน กลุ่มก้อนพลังวิเศษในรูปผีเสื้อพลันแหลกเป็นผุยผง
และเธอยังทำต่อไปเรื่อยๆ
แกร่บ! กร็อบ!
ผีเสื้อหายไปจากตอนแรกหลายสิบตัวแล้ว
จนกระทั่งได้อ่านข้อมูลที่ถูกบีบอัดอยู่ในผงเกล็ดผีเสื้อชุดหนึ่ง พฤติกรรมของหญิงสาวจึงค่อยๆ หยุดลง
หลังจากทำหน้าเหมือนค้นพบข้อมูลที่ตามหามานาน นาบีรยองบรรจงยกมุมปากจนเผยรอยยิ้มจางๆ
“ฮุฮุฮุ… ไม่ได้พบข้อมูลล้ำค่าแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ แต่ที่นี่มี ‘ตา’ อยู่มากเกินไป จะให้พูดออกมาตรงๆ ก็คงไม่ได้”
ขณะนาบีรยองเฝ้าดูผงเกล็ดผีเสื้อค่อยๆ อับแสง หญิงสาวพึมพำด้วยน้ำเสียงเจือความยินดี
“เข้าไปในเขตอึนกวางคงยาก… แวะไปที่ทะเลสาบก็แล้วกัน”
เสียงหัวเราะ ‘ฮุฮุฮุ’ ของเธอดังกังวานแผ่วเบา ในหัวร่างภาพของบลูไวโอลินิสต์เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงิน