MasterGU.noted = ชื่อบทจากเว็บนอก -> Final Exam/สอบปลายภาค (1)
พักเที่ยง
ในวันอันน่าจดจำที่ผู้ช่วยครูประจำชั้นห้อง 1/0 จะถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ
มีนักเรียนห้อง 1/0 มาเข้าเรียนถึงเก้าคน
นอกจากนั้น บรรยากาศในโรงเรียนยังเอิกเกริกเป็นพิเศษ เนื่องจากเพลเยอร์ระดับปรมาจารย์ของเกาหลีได้ประกาศว่าจะมาสอนที่โรงเรียน
ทันทีที่คาบโฮมรูมจบลง มุนแซรอนแวะมาหาจิตรกรฮงคยุงบ๊กเพื่อขอนัดสัมภาษณ์ในช่วงพักกลางวัน
[สองปรมาจารย์ผู้ปลีกวิเวก มารวมตัวที่โรงเรียนแสงเงินเพื่อถ่ายทอดวิชาให้ผู้สืบทอด!]
…พาดหัวข่าวผิดไปหน่อยนะ
‘มารวมตัวที่ห้อง 1/0 ต่างหาก ไม่ใช่โรงเรียนแสงเงิน’
เม็งเฮียวทงรำพันในใจ พลางมองไปทางโต๊ะครูที่ยังคงวุ่นวายมาตั้งแต่คาบโฮมรูม
— ในเมื่อแต่งตั้งครูประจำชั้นคนใหม่แล้ว ทำไมต้องแนะนำตัวครูหน้าใหม่ ไม่สิ พวกตาแก่ให้นักเรียนในห้องเรารู้จักด้วยล่ะ
คำถามของเม็งเฮียวทงฟังดูสมเหตุสมผล
ก่อนจะเดินออกจากห้อง ครูฮัมกึนยองหันกลับมาตอบ
— ท่านผู้อาวุโสทั้งสองแค่อยากแนะนำตัวเองให้นักเรียนห้อง 1/0 รู้จัก… เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ได้โปรดอย่าเรียกว่าตาแก่
เมื่อได้ยินคำตอบ เม็งเฮียวทงรีบเอาหัวโขกโต๊ะเซรามิกเพื่อขอโทษอาวุโสทั้งสอง
‘…นั่นสินะ จะให้เรียกสองคนนี้ว่าตาแก่คงไม่เหมาะเท่าไร’
ในห้องเรียนที่มีครูประจำชั้นและนักเรียนอายุห้าพันปี สองอาวุโสที่อายุไม่ถึงร้อยปีนั้นดูเด็กไปเลย
เรื่องพวกนั้นช่างมันเถอะ
ค่อนข้างชัดว่าอาวุโสทั้งสองคนมาสอนที่โรงเรียนแสงเงินเพียงเพราะศิษย์และ ‘ว่าที่ศิษย์’ ในห้อง 1/0
คนหนึ่งเกือบจะกลายเป็นอาชญากรเพื่อศิษย์ของตัวเอง และอีกคนก็ถูก ‘ว่าที่ศิษย์’ มองเป็นเจ้าลัทธินอกรีต
‘เขียนบทสัมภาษณ์เสร็จเร็วมาก… แถมยังละเอียด’
หลังจากพาดหัวข่าว ก็เป็นประวัติพอสังเขปของจิตรกรฮงคยุงบ๊กก่อนที่จะมาเป็นครู
[ทันทีที่ตัดขาดกับพวกศิษย์ชั่ว ฉันก็ครุ่นคิดกับตัวเองว่าการศึกษาคืออะไร และผู้เป็นอาจารย์ควรทำตัวอย่างไร… นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันตัดสินใจเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาการศึกษาโดยเฉพาะ เพื่อถือโอกาสขยายกรอบความคิดให้กว้างขึ้น…]
‘สิ่งที่เกิดขึ้นกับมินกือรินคงทำให้เขาตัดสินใจผันตัวมาเป็นครู’
…มินกือรินในเกมไม่ได้เข้าเรียนเลย ฮงคยุงบ๊กจึงไม่มีบทบาทที่โรงเรียนแสงเงิน
แต่สำหรับโลกนี้ เธอเริ่มมาโรงเรียนหลังจากวันครู
จึงถือเป็นโอกาสที่ฮงคยุงบ๊กจะได้นำความรู้ที่เคยศึกษามาปรับใช้จริง
ขณะฉันบันทึกบทความ อีกหนึ่งพาดหัวข่าวใหม่ถูกอัปโหลด
[การปรองดองอันน่าเหลือเชื่อระหว่างชมรมศิลปะและกลุ่มย่อยภาพวาดตะวันออก]
บทความเปิดเผยว่าจิตรกรฮงคยุงบ๊กตอบรับตำแหน่งที่ปรึกษาชมรมศิลปะ ขณะเดียวกันก็รับปากว่าจะช่วยดูแลกลุ่มย่อยภาพวาดตะวันออก
‘มินกือรินจะได้เข้าชมรมก็คราวนี้…’
หลังจบคาบโฮมรูม จิตรกรฮงคยุงบ๊กเรียกตัวฉันไปถามเกี่ยวกับแหล่งซื้อมาร์กเกอร์และวิธีใช้
เขาคงมีแผนแจกจ่ายมาร์กเกอร์ให้กับนักเรียนในชมรม เพื่อช่วยให้มินกือรินมีโอกาสได้พบปะผู้คนมากขึ้น
‘กิจกรรมชมรมคือทางเลือกที่ดีสำหรับมินกือริน และถ้ามีจิตรกรฮงคยุงบ๊กคอยปกป้อง คงไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาแน่ และโรงเรียนก็จะกล้าสนับสนุนอุปกรณ์ราคาแพงขึ้น…’
เหนือสิ่งอื่นใด นี่คือโอกาสได้พบปะผู้คนใหม่ๆ
อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบเธอจากใจจริง
นิสัยของเด็กชมรมสายศิลปะอาจดูไม่เต็มเต็ง แต่ทุกคนคือแฟนตัวยงของมินกือริน
‘ในอีกไม่ช้า เธอคงวาดรูปเราได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งแว่น AR’
ขณะบันทึกบทความเก็บไว้ ฉันลองไล่อ่านคอมเมนต์ใต้กระทู้
[ในที่สุดก็เลิกทะเลาะกันได้สักที!]
[พวกเด็กชมรมสายศิลปะคงร้องไห้กันเป็นแถวๆ คึคึคึ!]
[แค่ร้องไห้? ถ้าชมรมของฉันมีปรมาจารย์ระดับจิตรกรฮงคยุงบ๊กมาคอยชี้แนะ ฉันพร้อมจะทำตัวบ้าๆ ยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก]
[↑เขาถึงไม่มาไง]
[เห็นด้วยเลย! ฉันอยู่ชมรมเครื่องสาย ถ้ารุ่นพี่ควอนเจอินยอมมาเป็นครูที่ปรึกษาให้ล่ะก็ ฉันจะร้องไห้คลานเข่าจากประตูหน้ามาจนถึงตึกชมรมเลย! คึคึคึ!]
ทิศทางคอมเมนต์เริ่มเปลี่ยนไปหลังจากชื่อของบลูไวโอลินิสต์ถูกเอ่ยขึ้นมา
[↑แคปเก็บไว้แล้ว! หึหึ… คำพูดนี้จะกลายเป็นคำสาปหลอกหลอนนายไปจนวันตาย ตำนานการคลานเข่าร้องไห้ไปทั่วโรงเรียนต้องดังระเบิด!]
[…แต่รุ่นพี่ควอนเจอินเคยปฏิเสธแม้กระทั่งตำแหน่งครูกิตติมศักดิ์]
[เห็นว่ารุ่นพี่ควอนเจอินไม่เคยรับลูกศิษย์เลยนะ]
[ก็ใช่ไง! คึคึคึ! เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้ว แค่รับลูกศิษย์สักคนยังไม่เคย ลืมเรื่องการเป็นครูได้เลย]
…มันเกิดขึ้นแล้วล่ะ
นักเรียนคนเดียวที่ได้รับไวโอลินและคันชักวิเศษจากควอนเจอิน กำลังเรียนอยู่ที่ห้อง 1/0
‘ว่าแต่… ควอนเจอินเคยถูกเสนอให้รับตำแหน่งครูกิตติมศักดิ์? แต่ถ้าเทียบกับความสำเร็จของเธอ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร’
ลองเสนอดูอีกรอบไหม? ในเมื่อตอนนี้ลูกศิษย์และหลานคนเดียวของเธอกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแสงเงิน
ควอนเจอินคงมาโรงเรียนทุกวันไม่ได้ แต่ถ้ามาครั้งคราวเพื่อพบปะควอนเลนากับเพื่อนๆ ล่ะ?
นั่นจะช่วยเสริมเขี้ยวเล็บให้โรงเรียนแสงเงินได้มากทีเดียว
‘อีกไม่นานคงได้เห็นนักเรียนคลานเข่าทั้งน้ำตา…’
เมื่อลองตรวจสอบเวลา ตอนนี้ผ่านไปสักระยะแล้วหลังจากช่วงพักเที่ยงเริ่มขึ้น
นักเรียนม.ปลายทั่วประเทศคงกินข้าวเสร็จในเวลาที่ไม่ต่างกันมาก
‘งั้นลองดูหน่อย…’
ฉันเปิดหน้าต่างข้อความแล้วลากนักเรียนม.ปลายสองคนในบัญชีผู้ติดต่อมาสร้างเป็นกลุ่มแชต
[โชอึยชินเชิญชวน ‘อูซังฮุน’ กับ ‘โดซีฮู’]
[ฉัน] นี่…
อีกฝ่ายอ่านแล้วตอบทันที
[อูซังฮุน] ?
[ฉัน] มีข่าวจางนัมอุกบ้างไหม ฉันติดต่อไม่ได้เลย
[อูซังฮุน] ㅇㅇ
เครื่องหมายคำถามแรกของเขาสื่อได้ว่า ‘มีอะไร?’ ส่วนการพิมพ์ว่า ‘ㅇㅇ’ คงหมายถึง ‘ตอนนี้ฉันก็รอข่าวจางนัมอุกอยู่เหมือนกัน’
ข้อความนิ่งไปสักพักจนกระทั่งขึ้นว่ามีคนอ่านเพิ่ม
[โดซีฮู] เอ่อ… เดี๋ยวหมอนั่นคงติดต่อกลับไป พอดีว่าเขาเพิ่งได้ดีไวซ์คืนน่ะ
จางนัมอุกโดนยึดดีไวซ์?
นี่สินะ สาเหตุที่พ่อหนุ่มนักอธิบายคนนั้น ไม่ยอมอ่านข้อความหรือตอบอะไรกลับมาเลย
[ฉัน] เกิดอะไรขึ้นกันแน่
[อูซังฮุน] ㅡㅡ?
โดซีฮูเงียบไปสักพัก
ไม่นานก็ส่งข้อความกลับมา
[โดซีฮู] นัมอุกเผชิญมรสุมครั้งใหญ่
เขาเล่าสรุปสถานการณ์มาดังนี้:
เมื่อกลับไปถึงโรงเรียนเตรียมทหาร ครูฝึกวินัยได้รอพวกตนอยู่ที่ค่าย
‘ครูฝึกวินัย? ต่ำๆ ก็ต้องร้อยเอกสินะ’
ฝ่ายคุมวินัยมีหน้าที่คอยดูแลวินัยของนักเรียนนายร้อย
ฝ่ายคุมวินัยจะแบ่งออกเป็น ‘นายทหารวินัย’ กับ ‘ครูฝึกวินัย’
นายทหารวินัยต้องมียศพันตรีเป็นอย่างน้อย ส่วนครูฝึกวินัยต้องมียศร้อยเอก
[โดซีฮู] มีเด็กบางคนไม่ชอบหน้าฉัน หมอนั่นฉวยโอกาสนี้แอบแทงข้างหลัง
ตามปกติแล้ว นักเรียนนายร้อยทุกคนในโรงเรียน ต้องผ่านหลักสูตรฝึกทหารขั้นพื้นฐานร่วมกันก่อนจะเปิดภาคเรียนม.ปลายปีหนึ่ง
ส่วนใหญ่จึงรักใครกลมเกลียวกัน แต่แน่นอน ทุกที่ย่อมมีพวกผ่าเหล่า
‘ถึงโดซีฮูจะเกเร แต่เขาก็ของจริง ซึ่งนั่นอาจไปจุดประกายความริษยาในตัวนักเรียนที่ด้อยกว่า… แต่ตามปกติแล้ว เด็กแบบนั้นมักไม่กล้าเสี่ยงแทงข้างหลังใคร…’
อย่างไรก็ดี บุคคลที่เล็งแทงหลังอันดับหนึ่งของรุ่นอย่างโดซีฮู เลือกเป้าแทงได้อย่างชาญฉลาด
จางนัมอุกผู้เป็นหัวหน้ากองร้อย ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียน ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยเลยสักครั้ง
และพวกครูฝึกวินัยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกชอบทำลายขวัญกำลังใจของกลุ่มนักเรียนหัวกะทิ
เมื่อนายทหารวินัยถามลอยๆ เพื่อวัดใจ จางนัมอุกที่ปิดปากเงียบเหมือนเพื่อนคนอื่น ตัดสินใจชิงยกมือสารภาพ
—ผมกดดันซีฮูที่มาปรึกษาหลักสูตรการเรียน ส่งผลให้เขาเครียดจนตัดสินใจหนีออกจากโรงเรียนโดยไม่ได้รับอนุญาตครับ และเมื่อตระหนักว่าตัวเองที่เป็นเพื่อนร่วมหอพักอาจโดนหางเลขไปด้วย ผมก็เลย…
จางนัมอุกโกหกอย่างสมเหตุสมผล อีกทั้งยังพยายามทำให้ตัวเองดูแย่
เขาจงใจใช้น้ำเสียง จังหวะการพูด และภาษากายให้ดูเหมือนเป็นวายร้าย
ลงเอยด้วย หัวหน้ากองร้อยอย่างจางนัมอุก ถูกลงโทษตามลำพังต่อหน้านักเรียนเตรียมทหารเกือบทั้งรุ่น
‘ไหนโดซีฮูบอกว่าจะรับผิดชอบ!’
ดูเหมือนว่าจางนัมอุก ผู้เคยยืนกรานว่าจะเป็นพยานให้กับความชั่วช้าในคดีซนมินกิ จะไม่เกรงกลัวกระแสสังคมเท่ากับที่กลัวเอนามี
[โดซีฮู] สุดท้ายเขาก็ถูกลากตัวไปขังในห้องธำรงวินัย…
ถูกลงโทษต่อหน้าธารกำนัลไม่พอ จางนัมอุกยังถูกลากไปขังเดี่ยวในห้องที่ผนึกพลังวิเศษ
นักเรียนในกองร้อยเดียวกัน รวมถึงโดซีฮู พยายามเปิดเผยข้อเท็จจริงเพื่อต่อต้านการลงโทษที่รุนแรงเกินเหตุ แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นการข่มขู่ว่า ฝ่ายควบคุมวินัยจะส่งนักเรียนที่ประท้วงเข้าฝึกอบรมวินัยสูตรพิเศษ
เวลาล่วงเลยมาถึงวันจันทร์ จางนัมอุกก็ยังไม่ออกจากห้องธำรงวินัย
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดเมื่อชื่อของคนขี้ฟ้องแดงขึ้นในหมู่นักเรียนนายร้อย จนนำไปสู่การท้าดวลด้วยความเดือดดาล
อย่างไรก็ดี
[โดซีฮู] ท่านจิตรกรช่วยเราไว้
[อูซังฮุน] ?
ก่อนจะเริ่มคาบแรกในวันจันทร์ มีคนพบเห็นจางนัมอุกในสภาพทรุดโทรมเดินออกจากห้องขัง
บุคคลที่พาตัวเขาออกมา คือนายพลผู้มีดาวสามดวงประดับบ่า รวมถึงผู้อำนวยการโรงเรียนเพลเยอร์เตรียมทหารที่มียศเท่ากัน
‘ในเกาหลีมีเพลเยอร์ยศพลเอกไม่ถึงห้าคน… แต่มีสองคนช่วยพาจางนัมอุกออกจากห้องขัง?’
ไม่ว่านายทหารวินัยจะมีอำนาจกับนักเรียนนายร้อยแค่ไหน แต่ถ้าระดับนายพลสื่อเป็นนัยว่า ‘อย่ารุนแรงกับเขานักเลย’ แม้แต่ยศพันตรีก็ยังต้องยอมถอย
พลเอกสองคนที่ช่วยจามนัมอุกออกมาเล่าว่า พวกเขาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากจิตรกรฮงคยุงบ๊กแล้ว และกล่าวชมนักเรียนปีหนึ่งสำหรับการเดินสวนสนามอันยอดเยี่ยมในวันครู ก่อนจะแยกย้ายกลับไปทำงานของตัวเอง
‘ระดับนายพลใส่ใจนักเรียนนายร้อยขนาดนี้เชียว… ต้องเป็นเพราะน้ำใจของฮงคยุงบ๊กแน่’
เห็นทีฉันก็ต้องหาโอกาสขอบคุณท่านจิตรกรเหมือนกัน
เมื่อเรื่องเล่าของโดซีฮูจบลง
[อูซังฮุน] นายขอโทษเขาหรือยัง
อูซังฮุนสื่อสารด้วยประโยค…!
หากคำนึงว่าจางนัมอุกเกือบตายเพราะความเอาแต่ใจของโดซีฮู เป็นธรรมดาที่อูซังฮุนจะตอบสนองแบบนี้
[โดซีฮู] ยังเลย… เขาพักผ่อนอยู่ที่ห้องพยาบาล
[อูซังฮุน] ㅡㅡ
[โดซีฮู] ㅠㅠ….
โดซีฮูคงสัมผัสถึงบางอย่าง หลังจากเห็นว่าอูซังฮุนออกตัวปกป้องจางนัมอุก
ถ้าโดซีฮูยังไม่เลิกถามจางนัมอุกว่า ‘ทำไมถึงไม่ให้กำลังใจฉันบ้าง’ อยู่อีก คราวนี้ฉันจะตามไปซัดหน้าถึงโรงเรียนเตรียมทหารเลยคอยดู
* * *
หลังเลิกเรียน, ชมรมหนังสือพิมพ์
ขณะพวกเรากำลังยุ่งอยู่กับการเขียนบทความถึงจิตรกรฮงคยุงบ๊กและผู้บำเพ็ญทัก
“คิดไม่ถึงเลยว่าสองปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จะมาเป็นครูที่โรงเรียนเรา”
วังจีโฮพึมพำอย่างอารมณ์ดี
“และฉันคิดว่านายคือสาเหตุ”
“งั้นหรือ…”
ในเมื่อเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีในเกม มันก็คงเป็นเพราะฉันจริงๆ
เหตุผลสำคัญที่พวกเขาเคลื่อนไหว คนหนึ่งทำไปเพื่อมินกือริน อีกคนก็ทำเพื่อเม็งเฮียวทง ดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา
ราวกับคาดเดาท่าทีของฉันได้ วังจีโฮยังคงยิ้มแย้ม
“แล้วก็… ฉันตัด ‘มัน’ แล้วอย่างราบรื่น และยืนยันว่าหมอนั่นไม่มีเงินหรือเครดิตมากพอที่จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูอวัยวะ… การจัดฉากก็เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ คดีนี้จะถูกสรุปว่าเป็นแค่ ‘อุบัติเหตุ’ เท่านั้น”
เขาตัดมือของไอ้เวรนั่นแล้วสินะ
ขณะวังจีโฮพูดว่าตนเพิ่งตัดมือของมนุษย์และเก็บกวาดอย่างเรียบร้อย เขามิได้แสดงท่าทีรู้สึกผิดแต่อย่างใด
“ทำดีมาก”
…หรือว่าเราเองก็มีกระบวนการความคิดผิดเพี้ยนไปจากมนุษย์ปกติ?
ความรู้สึกของฉันมีแค่ ‘โล่งใจ’ และ ‘ขอบคุณ’
“ขอบใจที่ชม”
เมื่อวังจีโฮเห็นท่าทีของฉัน เขาทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
คงคาดไม่ถึงว่าฉันจะเอ่ยคำชม
การตัดมือไอ้ระยำมิได้สร้างประโยชน์อันใดแก่เผ่าเสือหรือวังจีโฮโดยตรง
สื่อได้ว่าเขาทำไปด้วยความหวังดี เป็นธรรมดาที่ฉันต้องขอบคุณ
ฉันกล่าวกับวังจีโฮ ผู้ดูเหมือนจะยังตกใจไม่หาย
“วันนี้ฉันไปติวสายนะ”
“ทำไม”
“มีนัดน่ะ”
ก่อนจะเข้าสู่เทศกาลสอบปลายภาคเต็มตัว ฉันอยากไล่สะสางคำท้าแข่งหมากรุกให้เรียบร้อย
‘สำหรับแบคโฮกุน เราควรเตรียมตัวให้มากกว่านี้’
แบคโฮกุนผู้ดวลหมากรุกชนะวังจีโฮมาได้
ครั้งแรกที่ได้ยินว่าเสือขาวเชี่ยวชาญหมากรุกมาก ฉันประหลาดใจไม่น้อยทีเดียว
‘นี่ไม่ใช่ทักษะที่ถูกขัดเกลาภายในหนึ่งหรือสองวัน… แม้แต่เราก็ห้ามประมาท’
ฉันยังติดหนี้แบคโฮกุน ผู้ช่วยฝึกฝนเพื่อเพิ่มความชำนาญให้คราดซ่างเป่าซินจิน จึงมีหน้าที่ต้องตอบแทนอีกฝ่ายด้วยการทุ่มเทแข่งหมากรุกอย่างสุดฝีมือ
ได้ทั้งเติมเต็มคำขอร้องและทดแทนบุญคุณ เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
หลังจากเสร็จกิจกรรมชมรม ฉันเดินทางไปยังห้องชมรมกลุ่มย่อยหมากรุกเพื่อรอพบคู่แข่ง
แต่คงมาถึงเร็วไป มีสมาชิกของกลุ่มย่อยสเทลเมตบางคนยังไม่ออกจากห้อง
“หือ… อึยชินมาทำอะไร?”
“สวัสดี”
ซาวอลเซอึมกับฮันอีกำลังเก็บกระดานหมากรุก
ดูเหมือนทั้งคู่จะเข้าร่วมการอบรมหมากรุกสำหรับมือใหม่อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อฉันอธิบายว่ามีนัดแข่ง พวกเขาดูจะสนใจขึ้นมาทันที
“นั่นสินะ… กลุ่มย่อยสเทลเมตอนุญาตให้จองสถานที่ล่วงหน้าเพื่อการแข่งขันได้”
“ขออยู่ดูได้ไหม”
“ฉันก็อยากดูเหมือนกัน! วันนี้ไปติวช้าหน่อยดีไหม”
“ได้สิ ค่อยไปพร้อมกันหลังอึยชินแข่งเสร็จนี่แหละ”
หลังจากเตรียมสถานที่แข่งเสร็จ ฉันนั่งรอให้คู่แข่งเดินทางมาถึง
คู่ต่อสู้ในวันนี้คือกวักคยุงกู นักเรียนปีสองจากสภานักเรียน
“ขอโทษที่มาสาย!”
กวักคยุงกูมาสายเล็กน้อย คงเพราะติดงานของสภานักเรียน
“มีเพื่อนอยู่ดูได้ไหมครับ”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา ฝั่งฉันก็มีคนตามมาดูเหมือนกัน…”
ด้านหลังเขาคือใบหน้าที่ฉันคุ้นเคย
ศิษย์ของฉันเอง ย็อมจุนยอล
พวกเรามีนัดแข่งกันพรุ่งนี้ แปลว่าวันนี้ย็อมจุนยอลมาศึกษาแผนการเล่นของฉันในบทบาทผู้ชม
ขณะอีกฝ่ายเตรียมทักทายแล้วนั่งลง
ซาวอลเซอึมเดินไปหาย็อมจุนยอลแล้วทักทายอย่างร่าเริง
“สวัสดีครับ รุ่นพี่ย็อมจุนยอล!”
“…อา สวัสดี”
ใบหน้าย็อมจุนยอลแข็งกระด้างเล็กน้อยเมื่อหันไปเห็นซาวอลเซอึม
‘ทำไมถึงมีปฏิกิริยาแบบนั้น…’
แม้จะไม่ได้โฉ่งฉ่าง แต่ไม่มีทางที่สวะติดเกมอย่างฉันจะพลาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในระยะใกล้