ลู่เซิ่งเพ่งมองหมอกหนาด้านหน้า ทดลองมาแล้วสี่ครั้ง เขาล้วนคว้าน้ำเหลว ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าตนใช้ทางตรงแล้ว แต่ก็ถูกส่งกลับมาที่เดิมอย่างอธิบายไม่ได้อยู่ร่ำไป
“พวกเจ้ามีใครเชี่ยวชาญค่ายกลบ้าง” เขาถามวิญญาณคุ้มครองทั้งสิบกว่าตน
ไม่มีคนตอบ แสดงให้เห็นว่าไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่อย่างนั้นตามข้อตกลงที่ได้ทำกันไว้ พวกมันคงจะเสนอตัวตอบแต่แรก หลังจากทำสัญญากับลู่เซิ่งแล้ว เขาก็กลายเป็นคนเพียงคนเดียวที่มอบพลังวิญญาณให้พวกมันได้ นอกเสียจากปลดสัญญา ไม่อย่างนั้นต่อให้พลังวิญญาณสลาย พวกมันตกตาย ก็ไม่มีทางได้รับพลังวิญญาณเพิ่มเติมมาชดเชย
ดังนั้นการทำดีกับลู่เซิ่งจึงเป็นสิ่งสำคัญในสิ่งสำคัญ
‘ยอมแพ้เถอะ ต่อให้ปล่อยพวกเราออกมาทั้งหมดเพื่อกระจายกันตรวจสอบ ก็ไม่มีความหมายสำหรับค่ายกลระดับนี้’ เสียงซันปู้ลอยออกมาเตือนเบาๆ
‘ตามการจัดแบ่งของพวกเจ้าเหล่ามนุษย์ เจ้ามีวิญญาณคุ้มครองสิบกว่าตนเช่นพวกเรา แม้พวกเราจะเป็นวิญญาณคุ้มครองระดับอ่อนในหมู่บ้าน แต่ว่าพอใช้จำนวนก็ชดเชยคุณภาพ ก็ทำให้เจ้ามีแรงกดดันวิญญาณเท่ากับประมุขตระกูล นี่ก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว ส่วนค่ายกลตรงหน้านี้ อย่างน้อยก็รับมือทูตวิญญาณคุ้มครองที่มีแรงกดดันวิญญาณระดับประมุขตระกูลได้สิบคน ถ้าหากว่าผู้อาวุโสใหญ่ของหมู่บ้านมาด้วยตัวเอง และให้วิญญาณคุ้มครองระดับสูงส่งท่านนั้นลงมือ อาจจะทะลวงได้ แต่พวกเราทำไม่ได้’ จิตของซันปู้ดังเข้าสู่สมองของลู่เซิ่ง
‘จะยอมแพ้หรือ’ ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก ดวงตากร้าวขึ้น ‘แค่ค่ายกลค่ายเดียว สิ่งของเพียงอย่างเดียว’
เขาเพ่งสมาธิเรียกใช้จิตวิญญาณระดับอริยะเจ้า ก่อนจะเดินเข้าหมอกสีขาวอีกรอบ
ครั้งนี้เขาเดินอย่างเชื่องช้ายิ่ง ทุกๆ ก้าว จิตวิญญาณอริยะเจ้าจะคอยวิเคราะห์สัญญาณและการสัมผัสแต่ละชนิดที่ร่างกายแตะโดนอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองถูกลวงความรู้สึกด้านทิศทาง
ครั้งนี้มีผลจริงๆ ลู่เซิ่งปรับแก้สัญญาณแสงและเสียงจำนวนมากที่จงใจชักนำตนไปผิดทางใหม่อีกครั้ง
ดูเหมือนเขาจะเดินเป็นเส้นโค้ง ถึงขั้นมีบางครั้งที่ถอยหลัง แต่พลังสัมผัสของจิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าทำให้เขาเหมือนเดินเป็นเส้นตรง
นอกจากนี้หลังจากเดินเช่นนี้สักพัก การลอบโจมตีจากค่ายกลที่พบก็ไม่ได้มีมากเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ลู่เซิ่งมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าตนน่าจะเดินถูกทางแล้ว
เขาเร่งความเร็ว ค่อยๆ มุ่งหน้าไปให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ
พรึ่บ!
ในที่สุดเขาก็พุ่งออกจากหมอกหนา
“ข้าทำสำเร็จแล้ว!”
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขา คือเปี๋ยเฟยเฮ่อที่ยังคงนั่งทำหน้านิ่งอึ้งอยู่บนพื้น
“อาจารย์…”
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่งแข็งค้างโดยสมบูรณ์
“น่าจะไม่ใช่ผลกระทบทางประสาทสัมผัสเท่านั้น ต้องมีการชักนำทางมิติด้วย…การชักนำทางมิติ…” ลู่เซิ่งที่ผุดสีหน้านิ่งงันหมุนตัวจะเดินเข้าหมอกขาวอีกครั้ง
“การชักนำทางมิติ…การชักนำทางมิติ…การชักนำทางมิติ…การชักนำทางมิติมารดาเจ้า! ย้าก! ไม่ไหวแล้วโว้ย ไปตายให้หมดเสียเถอะ!”
ตูม!
กระแสธารสีทองทะลักออกมาจากบนร่างของลู่เซิ่ง พลังวิญญาณที่เกรี้ยวกราดบ้าคลั่งกลายเป็นพายุปราณวิญญาณอันยิ่งใหญ่พร้อมกับม้วนซัดไปทั่วทุกทิศทาง!
เมฆรูปเห็ดสีทองขนาดยักษ์ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายร้อยหมี่ระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นโดยมีลู่เซิ่งเป็นจุดศูนย์กลาง
ค่ายกลหมอกขาวถูกเจาะเป็นรูใหญ่ ลวดลายค่ายกลสะกดกั้นนับไม่ถ้วนพังทลายลง โซ่ปราณวิญญาณระเบิดกระจัดกระจาย ค่ายกลแดนมายามลายหายสิ้นเพียงชั่วพริบตา
…
แดนมายาเชิญวิญญาณ
จางเจาเม้มมุมปากแน่น เห็นฉากที่ลู่เซิ่งนึกว่าตัวเองผ่านแล้วก็หัวเราะลั่น
“เจ้าหนูนี่ น่าสนใจเกินไปแล้ว ฮ่าๆๆ!” เขากุมท้องหัวเราะลั่น
“อะไรกัน ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ” จางมู่วางหมากไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว พอได้ยินเสียงก็มองมาทางด้านนี้
“ยัง แต่ใกล้แล้ว ข้าว่ามันใกล้จะทนไม่ไหวแล้วล่ะ” จางเจาส่ายหน้าพร้อมกับกลั้นหัวเราะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ค่ายกลแตกต่างที่เรียบง่ายอย่างเดียวก็ขวางคนผู้นี้ได้แล้ว ทูตวิญญาณคุ้มครองของตระกูลลู่รุ่นนี้ไม่เห็นจะเท่าไหร่ ยังสู้เจ้าคนป่าเถื่อนของตระกูลชิวไม่ได้ด้วยซ้ำ” พอเห็นลู่เซิ่งหมุนตัวจะเข้าค่ายกลอีก เขาก็คร้านจะชมดูการขัดขืนที่ไร้ความหมายของอีกฝ่ายอีกต่อไป จึงหันไปรับชมสถานการณ์หมากของจางหมู่และจางเฉินซัน
“กล้าลอบเข้าสถานที่ลึกลับของตระกูลจาง ครั้งนี้นับว่าให้บทเรียนกับมันแล้ว เอ๋? ตานี้ลองเดินแบบนี้ดูสิท่านตา”
“ชมหมากห้ามปากมาก!” จางมู่เป่าหนวดถลึงตา
“หลานช่วยผู้เป็นตา ถูกต้องตามประสงค์ฟ้าดิน!” จางเฉินซันไม่ปฏิเสธ รับไว้อย่างยินดี
“ถึงอย่างไรข้าก็พูดไปแล้ว ความจริงต่อให้ข้าไม่พูด ด้วยมันสมองของท่านตา อย่างไรก็คิดตาเดินนี้ออกได้อย่างง่ายดายอยู่ดี ผู้เฒ่ามู่อย่าได้ถือสาๆ” จางเจากล่าวอย่างหน้าด้าน
“อย่างนั้นหรือ ถ้าข้าถือสาเจ้าจะไม่พูดสินะ ถือโอกาสถามเลยก็แล้วกัน ไอ้สีทองตรงนั้นมันคืออะไร” จางมู่ชี้ท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปด้านหลังจางเจาด้วยสีหน้าอึ้งงัน
“สีทองหรือ” จางเจาหันไปมองอย่างสับสน “เหมือนกระบองท่อนหนึ่ง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาหันกลับมาด้วยสีหน้างุนงงเช่นกัน
“กระบองหรือ แดนมายาของเรามีกระบองสีทองที่สูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” จางเฉินซันถามอย่างสับสน
“ใช่แล้ว มีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ในที่สุดจางเจาก็ผุดสีหน้าทุกข์ระทมแล้ว
ตูม!
ในที่สุดพายุสีทองอ่อนก็ม้วนพัดมาถึง คลื่นยักษ์โปร่งแสงที่สูงสิบกว่าหมี่กลุ่มหนึ่งกระแทกใส่ร่างคนทั้งสามที่อยู่บนพื้นอย่างรุนแรงจากด้านหลัง
ฟู่ว!
กระแสปราณวิญญาณที่บ้าคลั่งพัดเสื้อคลุมคนทั้งสามจนปลิว เส้นผมของจางเจาปลิวไปด้านหน้าอย่างยุ่งเหยิง
ชั่วขณะนั้นจิตใจของคนทั้งสามรวมถึงจางหงที่อยู่ด้านข้างต่างว่างเปล่า
เป็นเพราะพวกเขาเดาออกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น การที่แดนมายาเชิญวิญญาณที่มีค่ายกลคุ้มครองจะเกิดสถานการณ์อลังการแบบนี้ได้ มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น
ความเป็นไปได้ที่ทั้งสี่คนไม่อยากจะเชื่อ
ค่ายกลแตกแล้ว
ปราณวิญญาณสีทองที่บ้าคลั่งกระแทกกระทั้นอาณาเขตทั้งหมดอย่างเกรี้ยวกราด ผู้อาวุโสสองคนเป็นยอดฝีมือระดับสูงส่ง ต่อให้จะเป็นในสี่ตระกูลคุ้มครอง ยอดฝีมือระดับสูงส่งก็ยังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสมกับคำร่ำลืออยู่ดี นี่เป็นตำแหน่งที่แท้จริงซึ่งได้จากการฝึกฝนปราณร้อยวิญญาณถึงขอบเขตสูงสุดโนเวลกูดอทคoม
แม้ปราณร้อยวิญญาณจะอ่อนแอกว่าปราณวิญญาณไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการกลายพันธุ์ของปราณวิญญาณ ร่างกายจึงสัมผัสได้ เมื่อฝึกฝนปราณร้อยวิญญาณถึงระดับสูงสุด อานุภาพก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับปราณวิญญาณฉบับดั้งเดิมแล้ว
จางมู่ยกมือขึ้นกดลง
แสงสีทองอ่อนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นรอบข้างอย่างฉับพลัน แล้วห่อหุ้มคนทั้งสี่ไว้หลายชั้น ตัดขาดกระแสพายุปราณวิญญาณที่บ้าคลั่งจากโลกภายนอกออกไป
“ค่ายกลพังทลายได้อย่างไร!?” เขามองจางเจาอย่างจริงจัง “เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลยมิใช่หรือ”
ตอนนี้จางเจากำลังสัมผัสร่องรอยที่เหลืออยู่เมื่อครู่อย่างละเอียด ยิ่งสัมผัสเขาก็ยิ่งคลางแคลงใจ
“ข้าไม่รู้…ไม่รู้…ขอเวลาให้ข้าหน่อย ข้าจะต้องตรวจสอบค่ายกลทั้งหมดไปทีละค่าย อาจเป็นเพราะมีจุดใดจุดหนึ่งที่เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ก็ได้ ต้องใช่แน่!” เขามีสีหน้ากระสับกระส่าย พร้อมกับหลับตาสัมผัสร่องรอยของพลังวิญญาณที่เหลืออยู่จากค่ายกลในขณะที่จับผมเอาไว้
“จะเป็นเพราะคนที่ทะลวงค่ายกลเมื่อครู่หรือไม่…” จางหงกลืนน้ำลายเอื๊อกพร้อมกับกล่าวเบาๆ
“ข้าจะตรวจสอบทันที!” จางเจาใช้จิตเชื่อมกับอักขระค่ายกลที่เหลืออยู่อย่างรวดเร็ว เขากำลังจะตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่โดยการคืนสภาพเมื่อก่อนหน้า
ทว่าจางเฉินซันที่ตาดีเห็นพายุสีทองที่อยู่ไกลออกไปค่อยๆ มืดสลัวลง คนหนุ่มสาวสองคนซึ่งเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่ดูท่าทางเหมือนคนธรรมดาค่อยๆ เดินมาทางด้านนี้
“เป็นพวกเขาหรือ คนที่ทะลวงค่ายกล” จางเฉินซันถามเบาๆ
จางเจาเงยหน้ามองไป สีหน้าพลันชะงัก ทั่วทั้งตัวแข็งทื่ออยู่บ้าง
“ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องตรวจสอบแล้วว่าค่ายกลพังได้อย่างไร…”
จางมู่มองตามสายตาของผู้เป็นหลาน เห็นบุรุษมัดผมหางม้ายกสูงที่มีร่างสูงใหญ่กำยำกำลังมองมาทางด้านนี้พอดี
ดวงตาที่มีจุดแสงสีทองในสีดำสนิทคู่นั้นทิ่มแทงจนสองตาของเขาเกิดความเจ็บปวดเลือนรางแทบจะในพริบตาเดียว
แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคลื่นพลังวิญญาณที่ไหลเชี่ยวบนร่างคนผู้นั้น ซึ่งปล่อยแรงกดดันวิญญาณอันยิ่งใหญ่ออกไปรอบๆ ตลอดเวลาเหมือนกับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง
คนผู้นี้มีแรงกดดันวิญญาณยิ่งใหญ่เกินไปจนทำให้ระดับของพลังชีวิตแตกต่างกันมหาศาล จึงกระตุ้นให้เกิดแรงกดดันโดยสัญชาตญาณเหมือนที่สิ่งมีชีวิตระดับสูงมีต่อสิ่งมีชีวิตระดับต่ำ
ทุกๆ ครั้งที่แรงกดดันวิญญาณซึ่งเหมือนห้วงมหาสมุทรเคลื่อนไหว จะชักนำให้พลังวิญญาณในร่างสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งอยู่รอบๆ หลุดออกจากร่างได้ตลอดเวลา
สิ่งที่ยังดีอยู่ก็คือ คลื่นพลังวิญญาณบนร่างบุรุษผู้นั้นหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเปลือกนอกของคนธรรมดาซึ่งกำลังพาหญิงสาวรูปร่างร้อนแรงที่พันผ้าพันแผลบนใบหน้าเข้ามาใกล้ที่นี่อย่างช้าๆ
“เป็นพิธีต้อนรับที่ยิ่งใหญ่จริงๆ” ลู่เซิ่งเดินมาถึงจุดที่อยู่ห่างจากคนทั้งสี่สิบกว่าหมี่แล้วหยุดยืนนิ่งพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใต้เท้า…มายังสถานที่ลับของตระกูลจาง มีธุระอะไรหรือ” ความจริงจางเจาเป็นผู้ควบคุมตัวจริงของแดนมายาเชิญวิญญาณ ดังนั้นคนที่เอ่ยปากเป็นคนแรกในตอนนี้จึงเป็นเขา
เขาจับจ้องดวงตาอีกฝ่ายเขม็ง แม้อีกฝ่ายจะเก็บพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่สายนั้นไปแล้ว แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่ควบคุมไม่ได้ นั่นคือสัญชาตญาณในส่วนลึกสุดที่ผุดขึ้นในใจเขา
จางมู่กับจางเฉินซันที่อยู่ด้านหลังเขาลอบผนึกรวมปราณร้อยวิญญาณในร่างกาย พร้อมจะลงมือเข่นฆ่าอีกฝ่ายทุกเวลา แม้คลื่นพลังวิญญาณของลู่เซิ่งจะแข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาก็ทำลายค่ายกลของแดนมายาเชิญวิญญาณได้ตรงๆ เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ตกใจอะไรนัก
เมื่อมาถึงระดับของพวกเขา ประสบการณ์การเข่นฆ่ากับทักษะการต่อสู้ที่มีล้วนอยู่ในจุดสูงสุดของเหล่ามนุษย์ สิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปอีกคือระดับปรมาจารย์ที่สลักจิตจริงแท้เข้ากับสัญชาติญาณโดยสมบูรณ์
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองตื่นตระหนกก็คือ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้ามีช่องโหว่น้อยจนน่าสงสาร คล้ายกับฝึกจนเคยชินแล้ว ทำให้ลงมือไม่ได้สักที
พอได้ยินคำถามของจางเจา ลู่เซิ่งซึ่งเพิ่งระบายอารมณ์ไป เลยมีอารมณ์ไม่เลวจึงตอบอย่างไม่นำพาว่า
“ข้ามาหาเสาสีทองขาวต้นหนึ่ง ถ้าหากพวกเจ้ามีใครค้นพบ อย่าลืมแจ้งข้าด้วย”
“เสาสีทองขาวหรือ” พวกจางเจาผุดสีหน้างุนงง ตอนแรกนึกว่าลู่เซิ่งจะมาทวงถามแค้นหรือหาเรื่องยั่วยุเสียอีก
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาตามหาของจริงๆ
ครั้งนี้จางเจาหน้าซีด มีความคิดอยากตายขึ้นมาแล้ว ถ้าหากเขาถามดีๆ ตั้งแต่แรก ไม่ใช้ค่ายกลลงมือ เรื่องนี้คงจบไปแล้ว
ตอนนี้ยุ่งยากแล้ว ค่ายกลไปยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้า จึงเกิดความวุ่นวายใหญ่โต ความเสียหายของตระกูลไม่อาจประเมินได้
“ในเมื่อเป็นทูตวิญญาณคุ้มครองของตระกูลลู่ มายังแดนมายาเชิญวิญญาณของตระกูลจางเรา พวกเราย่อมต้องทำหน้าที่ของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ เพียงแต่แสงสีทองเมื่อครู่นี้…” จางเฉินซันโพล่งขึ้น
ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม
“ตอนแรกเพียงจะมาเยี่ยนเยียนเฉยๆ เท่านั้น นึกไม่ถึงว่าประตูจะไม่เปิด ทดลองหลายครั้งก็ยังเข้ามาไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ลงมือเอง พวกท่านไม่ถือสากระมัง”
“เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเราเอง แต่ว่าพวกเราเป็นผู้คุ้มครองสถานที่ลับของตระกูล หากท่านคิดจะเข้าไปหาสิ่งของในสถานที่ลับ จำต้องผ่านการทดสอบสองอย่างก่อน” จางมู่ดวงตาฉายแววกลอกกลิ้ง เริ่มหันเหหัวข้อ