📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 470.1

บทที่ 470.1 - เด็ดหัวผู้นำจากกองทัพนับหมื่น เร็ว! (1)
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

เสียงคำรามดังก้องฟ้าจนทำให้ทหารคุ้มกันบนกำแพงเมืองพากันตื่นตะลึง

เหล่าทหารและทหารอาสาผู้ถือไม้ซุงและหน้าไม้อยู่บนกำแพงเมืองพากันโยนอาวุธในมือทิ้งไป แล้วพุ่งไฟหาเชิงเทินโดยไม่สนสิ่งใด

‘ฆ้องเงินสวี่จะทะลวงทัพข้าศึก?’

ทหารศัตรูกว่าเจ็ดหมื่นนายยกพลมาอย่างน่าเกรงขาม ต่อให้สังหารสามวันสามคืนก็ยังไม่หมด ถึงแม้ว่าเหล่าทหารจะมองว่าฆ้องเงินสวี่เป็นดั่งเทพเจ้าก็ตาม

แต่พวกเขาแตกต่างจากคนทั่วไปในท้องตลาด พวกเขามีประสบการณ์ในสนามรบมานานและรู้ขีดจำกัดของมนุษย์ดี คนธรรมดาจะไปขวางกั้นคนกว่าเจ็ดหมื่นด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร

ต่อให้ยืนนิ่งๆ แล้วยอมให้ฆ่าก็ยังทำให้มืออ่อนล้าไร้กำลัง แล้วนับประสาอะไรกับศัตรูที่เป็นกองทหารชั้นยอดเล่า

“อย่ายื่นหัวออกไป พวกเจ้าอยากตายหรือ!”

เมื่อแม่ทัพผู้หนึ่งเห็นเช่นนี้ก็คำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาตะโกนออกมาว่า “ป้องกันเมือง! นี่คือภารกิจของพวกเจ้า ยิงปืนใหญ่ซะ ไสหัวมายิงปืนใหญ่เดี๋ยวนี้ อย่ามัวนิ่ง ฆ้องเงินสวี่ทะลวงทัพศัตรูก็เพื่อลดแรงกดดันให้กับพวกเจ้า ต่อให้พวกเจ้าตายก็ต้องป้องกันเมืองให้ได้”

“ขอรับ!”

เสียงตอบรับดังกระหึ่มสะเทือนพสุธามหาสมุทร

เหล่าทหารล้วนแต่กัดฟันขอบตาแดงก่ำ

ได้ติดตามฆ้องเงินสวี่มาปกป้องดินแดน ถึงตายก็ไม่เสียใจ

สมัยโบราณมีโอรสสวรรค์คุ้มกันด่านเข้าอาณาจักร ตอนนี้มีสวี่ชีอันทะลวงทัพข้าศึกอยู่คนเดียว ล้วนแต่เป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่สมควรบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

ขวัญกำลังทหารผนึกแน่นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

‘ตู้ม!’

ร่างสีทองสว่างเปล่งปลั่งโผล่พรวดขึ้นมาแล้วกระแทกกับพื้นด้านล่างกำแพงเมืองด้วยท่าทางหยาบกระด้างไม่สนใจใคร พื้นดินสั่นสะเทือน คลื่นกระแทกจากการระเบิดทำให้กองทัพศัตรูภายในรัศมีสิบเมตรล้วนกลายเป็นชิ้นเนื้อ

ทั้งชุดเกราะที่แตกเสียหายและมีดดาบที่หักโค่น พวกมันล้วนแต่ถูกกระแทกจนลอยคว้างกลางอากาศ

มือซ้ายของสวี่ชีอันกดพวกมันเอาไว้ พลังปราณเข้าครอบงำเศษเกราะและมีดดาบพวกนั้น เมื่อเหลือบมองไปที่ทหารข้าศึกที่กวัดแกว่งดาบอยู่ข้างหน้า เขาก็โบกสะบัดแขนเสื้อเต็มแรง

ชุดเกราะ มีดเหล็ก หอกยาว และชิ้นส่วนอื่นๆ ถูกยิงออกไปทั่วทุกทิศทาง

ทหารที่พุ่งจู่โจมเข้ามาด้านหน้าบ้างก็หัวระเบิดทันใด บ้างก็ถูกตัดแขนขาจนเรียบ บ้างก็เกิดรูใหญ่ขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมาบนทรวงอก…สาเหตุการตายล้วนแตกต่าง

แต่เพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้ทหารข้าศึกหวาดกลัวได้ พวกเขายังคงบุกฆ่าฟันเข้ามาโดยไม่สนแม้แต่ตัวเอง

สวี่ชีอันเริ่มกวัดแกว่งประกายดาบของตนเข้าฟาดฟันทหารข้าศึกที่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทางราวกับหั่นแตงหั่นผัก จนกระทั่งไม่มีใครสามารถเข้ามาใกล้ตัวได้เลย

ไม่นานเขาก็เปลี่ยนวิธีการ เขาเก็บงำพลังปราณเอาไว้ ก่อนจะนำร่างพลังเทพวชิระมาใช้ผสานกับทักษะของจอมยุทธ์และคมดาบของดาบไท่ผิง จากนั้นจึงเข้าตะลุมบอนกับศัตรู

เมื่อติดอยู่ในวงล้อมศัตรูและมองไปทางใดล้วนมีแต่ศัตรูเช่นนี้ หากสามารถประหยัดพลังปราณได้สักนิดก็ยิ่งดี ถึงอย่างไรขั้นสี่ก็ยังเป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็มีขีดจำกัด

เมื่อเข้าทะลวงทัพศัตรูด้วยการอาศัยกำลังคนเพียงคนเดียวเพื่อสังหารทหารข้าศึกหลายหมื่นคน สิ่งแรกที่จำเป็นต้องใส่ใจไม่ใช่ความแข็งแกร่งของศัตรู แต่เป็นกำลังกาย

เว่ยเยวียนเคยบ่นให้เขาฟังว่าในยุทธการด่านซานไห่เมื่อปีนั้น ความจริงแล้วจอมยุทธ์ขั้นสูงส่วนใหญ่ล้วนแต่ตกตายเพราะหมดกำลัง

เมื่อวิธีการต่อสู้เปลี่ยนไป ในชั่วอึดใจก็พลันมีคมดาบเหล็กกล้านับพันเล่มฟาดฟันเข้ามาจากทั่วทุกทิศทาง สัญญาณเตือนอันตรายของจอมยุทธ์ทำให้สวี่ชีอันมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของทหารข้าศึกทุกนาย แต่เขากลับไม่อาจหลบหลีกได้เลย

นี่คือสนามรบที่แท้จริง เป็นสนามรบที่มีดดาบโกลาหลจนพอจะฆ่ายอดฝีมือได้

‘ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ…’ สวี่ชีอันทั้งจ้วงทั้งแทง ทั้งฟาดทั้งฟัน เด็ดเอาชีวิตของทหารศัตรูไปด้วยคนแล้วคนเล่า

‘เคร้ง!’

ทหารข้าศึกคนหนึ่งกระโดดผลุงขึ้นมา ดาบเหล็กกล้าฟันตรงมาเน้นๆ ยังศีรษะของสวี่ชีอันจนดาบเหล็กที่ตีขึ้นอย่างประณีตคดงอทันที สวี่ชีอันจึงกวัดแกว่งดาบไท่ผิงกลับแล้วฟันที่เอวของทหารข้าศึกคนนั้นได้

เขาไม่ได้หันหลังกลับ แต่พุ่งเข้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคงโดยอาศัยร่างกายของจอมยุทธ์เป็นตัวรับหอกดาบที่แทงเข้ามา

ตายไปสองสามร้อยคน พวกทหารข้าศึกก็ยังไม่กลัวตาย ข้างหน้าล้มข้างหลังพุ่งเข้าใส่

ตายไปอีกห้าหกร้อยคน ทหารข้าศึกล้วนตาแดงก่ำ มันกลับเป็นการกระตุ้นความดุร้ายยิ่งกว่าเดิม

ตายไปเจ็ดแปดร้อยคน ก็เริ่มมีคนเริ่มรบแบบกองโจรโดยการปลดหน้าไม้ที่เอวแล้วยิงออกไป แทนที่จะเป็นการจับมีดดาบฟาดฟันแล้ว

“หลีกไป!”

หัวหน้าหน่วยปืนใหญ่พลันฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด เขาใช้มือหนึ่งผลักทหารปืนใหญ่ออก จากนั้นก็ใช้เท้าเตะกระบอกปืน จนทำให้ปืนใหญ่หนักหลายร้อนจินหันหัวไปอีกทาง

หัวหน้าหน่วยผู้นี้ใส่กระสุนปืนด้วยตัวเอง จากนั้นจึงจัดทิศทางแล้วจุดชนวน

ปืนใหญ่มีลายอักขระบิดเบี้ยวส่องสว่างวาบตั้งแต่ตัวปืนไปจนถึงปากกระบอกปืน จากนั้นก็เกิดเสียง ‘ตู้ม’ ปืนใหญ่ทั้งลำถอยมาข้างหลังตามแรงยิง

กระสุนปืนถูกยิงออกไป ฉีกทึ้งร่างกายของทหารมากมาย

สวี่ชีอันรับรู้ถึงอันตรายนี้ล่วงหน้าแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้หลบ มือของเขากวัดแกว่งดาบไท่ผิงไปยังกระสุนปืนใหญ่

เสียงระเบิดดังสะเทือนแก้วหูจนทำให้ทหารที่ล้อมรอบสวี่ชีอันถูกคลื่นพลังอันน่าสะพรึงนี้ฉีกทึ้งร่างกายเป็นเสี่ยงๆ

ท่ามกลางฝุ่นตลบ ฆ้องเงินแห่งต้าฟ่งในชุดสีครามที่อาบย้อมไปด้วยเลือดยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน นอกจากรอยไหม้ที่ชายเสื้อผ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใดอีก

เขากุมดาบเดินไปข้างหน้า ทหารข้าศึกข้างหน้าเผยสีหน้าหวาดผวาออกมา กลัวเสียจนไม่กล้าพุ่งเข้าใส่

พวกเขาพากันหลบเพื่อเปิดทางให้ ไม่กล้าเข้าไปขวางหน้าเขา

สวี่ชีอันสะบัดรอยเลือดบนคมดาบออกแล้วหัวเราะเยาะ “พวกขี้ขลาดจากคังกั๋วเหยียนกั๋ว พวกเจ้าไม่มีสักคนที่เป็นลูกผู้ชายเลยหรือ”

บนกำแพงเมือง แม่ทัพจากต้าฟ่งเลือดลมพลุ่งพล่าน พวกเขาต่างก็ตะโกนดังลั่น คำรามเสียจนใบหน้าแดงก่ำไปถึงใบหู เส้นเลือดเขียวต่างปูดโปนขึ้นมา

ทันใดนั้นจิตวิญญาณแห่งทหารก็พุ่งพรวด พวกเขาพากันโยนซุงไม้เต็มแรง พร้อมทั้งยิงหน้าไม้ป้องกันเมือง ธนู และปืนใหญ่กันให้ควั่ก เมื่อเทียบกับเมื่อวาน วันนี้พวกเขามีสวี่ชีอันมาบุกทะลวงทัพข้าศึกด้วยตัวคนเดียว ทำให้แรงกดดันของเหล่าทหารลดลงไปได้มากทีเดียว จนถึงตอนนี้ จำนวนบาดเจ็บล้มตายนั้นถือว่าน้อยยิ่งนัก

ณ ที่ไกลๆ หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียที่นั่งมองการต่อสู้อยู่บนหลังม้าก็ขมวดคิ้วแน่น ใต้กำแพงเมืองมีร่างกายที่ไร้เทียมทานพุ่งทะลวงทัพศัตรูอยู่คนเดียว บนกำแพงเมืองก็มีทั้งปืนใหญ่และหน้าไม้ป้องกันเมืองคอยช่วยเหลือ ในเวลายังไม่ถึงหนึ่งเค่อ ฝ่ายของตนกลับมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากเกินกว่าที่เขาคาดไว้เสียแล้ว

‘การบุกเมืองเดิมก็เป็นเรื่องลำบากประเภทใช้สิบชีวิตเพื่อแลกหนึ่งชีวิตอยู่แล้ว ยิ่งมีเจ้าเด็กนี่ออกมาไล่สังหารอีก ต่อให้บาดเจ็บล้มตายหนักหนาสาหัสอย่างไรก็ช่างเถอะ แต่นี่พวกทหารดันถูกฆ่าตายจนจิตใจถูกโจมตีอย่างหนักไปเสียแล้ว’

‘ไม่รู้ว่าไพ่ลับของเขายังมีอีกมากเท่าใด…’ หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียมองไปรอบตัวแล้วตะโกนลั่น “เหล่าทหารหาญแห่งคังกั๋วและเหยียนกั๋ว ใครจะเป็นผู้ตัดหัวเจ้าสัตว์ร้ายผู้นี้?”

“หน่วยบุกทะลวงที่สองขอออกไปสังหารศัตรูขอรับ!”

ท่ามกลางหน่วยทหารราบทั้งหลาย มีแม่ทัพผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมา

แม่ทัพผู้นี้สวมชุดเกราะหนักสีแดงดำ ในมือถือดาบโม่เตาหนักแปดสิบจินเล่มหนึ่ง แม่ทัพของคังกั๋วล้วนแต่ชอบใช้อาวุธเช่นนี้กันทั้งนั้น

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเอ่ยถาม “เจ้ามีนามว่าอะไร”

“อาหลี่ไป๋ขอรับ”

แม่ทัพผู้นั้นตะโกนบอก

“ดี เตรียมนำกองพลสองหน่วยออกรบ แล้วตัดหัวเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นกลับมาให้ข้า” หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียตะโกนบอก

อาหลี่ไป๋ผู้เป็นแม่ทัพหัวหน้าหน่วยกระทุ้งท้องม้าออกมา เขาหันหัวม้าแล้วมองดูทหารที่อยู่ด้านหลังก่อนตะโกนขึ้น

“พวกเจ้าเป็นพวกตาขาวหรือไม่”

ทหารจากคังกั๋วที่ได้เห็นความโหดเหี้ยมของสวี่ชีอันกับตา ย่อมไม่อาจเลี่ยงความหวาดกลัวในใจ แต่เมื่อได้ยินคำถามนั้น ในใจก็เกิดไฟโทสะลุกโชนขึ้นมา

คนที่มีประสบการณ์ในสนามรบล้วนไม่ขาดความกระหายเลือดอยู่แล้ว

อาหลี่ไป๋ถือดาบโม่เตาแล้วตะโกนต่อ

“แม่ทัพใหญ่สิ้นบนกำแพงเมือง หากพวกเจ้าไม่บุกยึดเมืองนี้ เมื่อกลับไปย่อมมีแต่ต้องตายสถานเดียว แต่หากทำลายเมืองและสังหารจอมยุทธ์ต้าฟ่งขั้นสี่จอมเย่อหยิ่งผู้นั้นได้ เมื่อกลับไปย่อมได้เลื่อนขั้น”

ความกระตือรือร้นของพลทหารพุ่งพรวดขึ้นมาทันที

อาหลี่ไป๋ยังคงไม่พอใจ เขาตะโกนลั่น “แม่ทัพใหญ่ตายด้วยน้ำมือของเจ้าสัตว์ร้ายนั่น ความอัปยศอดสูครั้งใหญ่นี้ต้องล้างด้วยเลือด มิอาจไม่แก้แค้น”

ทหารสองพันคนร้องตะโกนขึ้นมาราวกับจะพลิกภูเขาทั้งลูก

“ความอัปยศนี้ มิอาจไม่แก้แค้น”

เมื่อเห็นดังนั้น อาหลี่ไป๋ก็ไม่พูดสิ่งใดอีก เขากระทุ้งม้าแล้วพุ่งไปข้างหน้า!

ทหารสองพันนายตามไปข้างหลัง เสียงร้องตะโกนสะเทือนเลื่อนลั่น การใช้ความแค้นมาผูกมัดกำลังทหารนั้น จะทำให้ได้ขวัญกำลังใจประเภทที่ไม่กลัวความตายใดๆ ทั้งสิ้น

บนกำแพงเมือง จางไคไท่และพวกแม่ทัพนายกองต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี จนเกิดความกังวลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“ข้าต้องไปช่วยเขา จะให้เขากันข้าศึกอยู่คนเดียวไม่ได้” จางไคไท่ปืนขึ้นไปยืนบนกำแพงเมืองอย่างง่ายดาย

ความกังวลของเขานั้นมีเหตุผล

ระดับขั้นทหารในกองทัพของสำนักพ่อมดนั้นไม่แตกต่างจากของต้าฟ่งนัก สิบคนต่อหนึ่งกลุ่ม และหัวหน้ากลุ่มต้องอยู่ในขั้นหลอมจิต สิบกลุ่มต่อหนึ่งกอง และผู้บังคับบัญชาการจะต้องอยู่ในขั้นหลอมปราณ สิบกองหนึ่งหน่วย ส่วนแม่ทัพหัวหน้าหน่วยนั้นจะแตกต่างกันไปตามประเภทของหน่วยและจำนวนกำลังพล

ส่วนหน่วยปืนใหญ่เช่นนี้ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องให้ทหารออกหน้า ระดับขั้นของหัวหน้าหน่วยจึงมักจะอยู่แค่ขั้นหลอมวิญญาณและสิ้นสุดที่ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงเท่านั้น

หัวหน้าหน่วยทหารม้าและแม่ทัพระดับสูงของหน่วยทหารราบต่างหากที่จะเน้นเรื่องระดับขั้นการฝึกตน เนื่องจากเป็นหน่วยที่ทหารต้องเข้าร่วมรบและเสียสละชีวิตตนได้ง่ายที่สุด

โดยที่ทหารราบนั้นต้องเจอกับอันตรายมากกว่าใคร

ดังนั้น แม้ว่าอาหลี่ไป๋จะเป็นหัวหน้าหน่วย แต่ระดับการฝึกตนกลับอยู่ที่ขั้นห้าสลายแรงอย่างแท้จริงโuเวลกูดoทคoมฺ

เพียงนึกดูก็รู้ว่าสวี่ชีอันจะต้องเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีแบบไหน และต้องเจอกับยอดฝีมือที่เป็นอย่างไร

ยิ่งบวกกับกลุ่มทหารโจมตีเมืองระลอกแรกที่ถูกเขาทำให้หวาดกลัวพวกนั้นแล้ว พวกเขาจะต้องฉวยโอกาสนี้โจมตีกลับอย่างแน่นอน ถือเป็นการแข่งขันชิงความดีความชอบทางทหาร

“เจ้าไปไม่ได้”

หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วแล้วขวางหน้าจางไคไท่ที่จะพุ่งไปเอาไว้ ก่อนส่ายหน้าเอ่ย

“ถ้าเจ้าไป แล้วหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียส่งยอดฝีมือมาทำลายเมืองจะทำอย่างไร ข้าไม่มีแก่นปราณ ไม่อาจสกัดกั้นเขาได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องวกกลับมาช่วยอยู่ดี อีกอย่าง ทัพข้าศึกยังมีทหารราบอีกสามหมื่นที่ยังไม่เคลื่อนไหว กับพวกทหารม้าที่ยังนิ่งอยู่อีก ถ้าเจ้าไป แม้ว่าหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียจะต้องสูญเสียมากมายเพื่อสังหารเจ้า แต่ก็ยังทำประโยชน์ให้เขาอยู่ดี”

สวี่ชีอันลงไปบุกทะลวงข้าศึกด้วยตัวคนเดียว เดิมทีก็เป็นการรนหาที่ตายอยู่แล้ว

กองทัพพันธมิตรเหยียนกั๋วและคังกั๋วต้องการให้ยอดฝีมือของต้าฟ่งลงจากกำแพงเมือง นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขายินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดความยุ่งยากในการตีเมืองของพวกเขาไปได้

หลี่เมี่ยวเจินกล่าวต่อ “สวี่ชีอันลงไปฟาดฟันศัตรูคนเดียวเพราะเหตุใด เพื่อให้เจ้าลงจากกำแพงเมืองเช่นนั้นหรือ เขาทำไปเพื่อสกัดกั้นกองทัพศัตรูด้านล่างและลดแรงกดดันของพวกเจ้า ลดการบาดเจ็บล้มตายของพวกเจ้าอย่างไรเล่า แต่หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียกลัวไพ่ลับของเขา เขาจะต้องวางแผนทุ่มเต็มกำลังบีบให้เขาเปิดไพ่ลับออกมาแน่นอน เขาบุกทะลวงฟาดฟันศัตรูเช่นนี้ต่างหาก จึงจะทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่ เขากำลังใช้ความอันตรายที่ตนต้องเจอมาลดการบาดเจ็บล้มตายของพวกเจ้า อย่าได้ทำเสียเรื่อง”

ผ่านไปพักหนึ่ง หลี่เมี่ยวเจินก็เอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้ทหารคุ้มกันเมืองต่างก็คิดว่าเขาอยู่ยงคงกระพัน ขวัญกำลังใจก็พุ่งสูง แต่ถ้าเจ้าไป แม้จะไปช่วยเหลือ แต่ในสายตาของเหล่าทหารคุ้มกันเมือง ความน่าเกรงขามไร้เทียมทานของสวี่ชีอันก็จะพังทลายลงนะ”

เมื่อกล่าวจบ นายพลที่วิ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ ก็หยุดฝีเท้า เขาคิดจะติดตามจางไคไท่ลงจากกำแพงเมืองไปช่วยรบพุ่ง แต่ประโยคนี้ของหลี่เมี่ยวเจินกลับตีเข้าตรงประเด็นยิ่ง

หลี่เมี่ยวเจินหันไปมองนายพลทุกคน “พวกเจ้าปกป้องเมืองให้ดีเถิด หลังจากเขาหมดแรงเหนื่อยล้าแล้วย่อมกลับมาเอง พอถึงตอนนั้น ก็ต้องให้พวกเจ้าช่วยรับมือยอดฝีมือทั้งหลายของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียแล้ว”

จางไคไท่ค่อยๆ กวาดสายตามองทหารรอบๆ สีหน้าของพวกเขาตื่นเต้น จิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาก็พุ่งพรวด เลือดอันร้อนระอุพลุ่งพล่านขึ้นมาพร้อมความอยากจะต่อสู้ร่วมกับคนที่อยู่ล่างกำแพงเมือง

เมื่อปณิธานอันไร้เทียมทานนี้พังทลายลง หากคิดอยากตั้งตรงขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเรื่องยากราวปีนขึ้นฟ้า

หลี่เมี่ยวเจินกล่าวจนโน้มน้าวจางไคไท่ได้แล้ว

‘จะต้องกลับมาได้แน่นอน…’ นายพลสองสามคนต่างพากันหันหน้าไปมองเงาร่างสีทองเจิดจรัสนั้น คนเพียงคนเดียวกลับพุ่งทะลวงเข้าหากองกำลังหลายพันหลายหมื่นนาย

สวี่ชีอันกำลังอยู่ท่ามกลางความบ้าคลั่ง เขากวัดแกว่งดาบไท่ผิง ประกายดาบสีทองมืดหม่นกลายเป็นเส้นสาย และตัดผ่าชุดเกราะหลายสิบชุดในคราวเดียว สุดท้ายก็ถูกผู้บังคับบัญชาการขั้นหลอมวิญญาณคนหนึ่งฟันกระเด็นออกไป

ดาบไท่ผิงหมุนคว้างรอบหนึ่ง ก่อนจะตกลงบนมือของสวี่ชีอันอีกครั้ง เขาพุ่งเข้าไปหลายสิบก้าวแล้วกระโดดขึ้นมาทันใด ก่อนกลายเป็นลำแสงใบมีดที่หมุนคว้างจนขดเกลียวราวกับสว่านไฟฟ้า แล้วโจมตีใส่ทหารทั้งสองพันนาย

‘ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!’

‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง!’

ร่างกายของเหล่าทหารที่ในมือถือโล่หนักถูกบดขยี้ไปพร้อมกับโล่เหล็กของตน สวี่ชีอันใช้ท่วงท่าเย่อหยิ่งไม่สนเหตุผลฟันล้างจนเกิดเป็นเส้นทางสีเลือด เขาไล่สังหารไปจนถึงแดนหลังของทัพข้าศึก

จากนั้นก็หันกายกลับมาตวัดดาบเป็นวง ประกายดาบรูปคลื่นซัดสาดไปฟาดฟันร่างแต่ละร่างจนมีแต่เลือดกับเนื้อ เพื่อกวาดให้เป็นพื้นที่ไร้มนุษย์อีกครั้ง

เหล่าทหารจากคังกั๋วถอยร่นอย่างรวดเร็ว

อาหลี่ไป๋หันม้าศึกพุ่งเข้าไป ขอบของดาบโม่เตาชี้ลงล่าง แล้วอาศัยแรงพุ่งทะยานของม้ากระแทกดาบโม่เตาเข้าไปอย่างดุเดือด

‘เคร้ง!’

เสียงหนักแน่นดังขึ้น ดาบโม่เตาหักกลายเป็นสองท่อน ครึ่งหนึ่งก็กระเด็นขึ้นไปบนฟ้า

ผู้บังคับบัญชาการสองคนรุดหน้าเข้ามา คนหนึ่งถือหอกยาวแทงตรงเข้าไปที่ด้านหลังของสวี่ชีอัน อีกคนพุ่งเข้ามาจากข้างหน้าและกวัดแกว่งดาบฟันดวงตาทั้งสองของเขา

นั่นคือมุมหลอก

แม้ว่าจะเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดง แต่ก็มิได้คงกระพันอย่างแท้จริง ทั่วทั้งร่างจะมีจุดบอดที่การป้องกันอ่อนแออยู่เสมอ

สวี่ชีอันเหยียบปลายหอกด้วยเท้าข้างหนึ่ง เขาใช้มันเป็นฐานหมุนตัวไปเตะผู้บังคับบัญชาการคนนั้นจนหัวหลุดจากบ่าแล้วกระเด็นลอยไป จากนั้นก็อาศัยแรงหมุนฟันดาบไท่ผิง

ปราณดาบส่องวาบในชั่วพริบตา

ผู้บังคับบัญชาการคนนั้นร่างแยกเป็นสองท่อนทันที ทั้งลำไส้และอวัยวะล้วนไหลลงมากองกับพื้น

ที่ด้านหลังของเขา ร่างกายของทหารหลายคนก็ถูกฟันแยกพร้อมกัน

ทหารรุมเข้ามาราวกับคลื่นทะเล มีดดาบฟาดฟันสับสนวุ่นวาย เห็นเพียงแสงสีทองส่องประกายและเสียงกวัดแกว่งดาบที่ดังไม่หยุด

หัวหน้ากลุ่มสามคนซ่อนตัวอยู่ในหมู่ทหารทั่วไปแล้วอาศัยช่วงที่สวี่ชีอันเปลี่ยนลมหายใจพุ่งเข้าไปหาโดยไม่กลัวตาย คนหนึ่งจับสองขาของเขาเอาไว้ คนหนึ่งกอดลำตัวของเขา ส่วนอีกคนก็จับแขนขวาที่ถือดาบของเขาแน่น

ตอนนี้เอง สัญชาตญาณเตือนอันตรายของจอมยุทธ์ราวกับไร้ผลเพราะมีอันตรายมากเกินไป มีดดาบนับร้อย หอกยาวนับสิบเล่ม และลูกธนูดอกแล้วดอกเล่า ทั่วทุกตารางนิ้วล้วนเป็นศัตรู

อันตรายไม่จบไม่สิ้นทำให้สวี่ชีอันไม่อาจล่วงรู้ถึงการลงมือของหัวหน้ากลุ่มทั้งสามคนได้ล่วงหน้า จึงถูกพวกเขาจับเอาไว้ในชั่วพริบตา

‘ฮู่ว ฮู่ว ฮู่ว….’

ทหารหลายสิบนายเหวี่ยงเชือกมายังสวี่ชีอัน โดยมัดที่ลำคอและสองมือของเขาเอาไว้

ทหารมากมายล้วนเหวี่ยงเชือกมาหาตัวสวี่ชีอัน

เชือกเหล่านี้ล้วนแต่ถักทอขึ้นจากวัสดุที่มีความทนทานสูง มันถูกใช้สำหรับงานหนักๆ เช่นลากดึงรถศึกล้อมเมืองและดึงปืนใหญ่ขึ้นกำแพงเมือง เป็นต้น

ทหารที่อยู่ต่ำกว่าขั้นห้าสลายแรงคิดจะใช้พลังอันดุร้ายตัดพวกมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

และต่อให้เป็นขั้นห้าสลายแรง ก็ไม่อาจตัดเชือกที่มีอยู่หลายสิบเส้นเช่นนี้ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้สวี่ชีอันก็ถูกมัดไว้ทั้งลำคอและสองมือ

“ไท่ผิง!”

สวี่ชีอันตะโกนไป

ดาบไท่ผิงคำรามลั่น มันบินเข้ามาและพยายามตัดเชือกออก แต่ก็ถูกหัวหน้ากลุ่มคนหนึ่งกันไว้ จากนั้นก็ต่อด้วยคนที่สอง สาม สี่…ทหารหลายคนต่างใช้ร่างกายของตนมาสยบอาวุธวิเศษนี้เอาไว้

“ตัดหัวของเขามา!” ผู้บังคับบัญชาการคนหนึ่งตะโกนสั่ง

เหล่าทหารพากันทิ้งมีดดาบแล้วดึงเชือกสุดกำลัง เชือกแต่ละเส้นล้วนมีทหารดุร้ายหลายสิบคนดึงรั้งเอาไว้

จะล้อมสังหารจอมยุทธ์ขั้นสูงคนหนึ่งได้อย่างไร ทหารที่ผ่านมานับร้อยสนามรบกลุ่มนี้ล้วนมีประสบการณ์มากมายอยู่แล้ว

คอของสวี่ชีอันโน้มไปข้างหลังอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง กล้ามเนื้อแต่ละเส้นนูนเด่นขึ้นมา ลำคอหนาขึ้น

เขาโคจรพลังปราณและรวบพลังไว้ที่แขนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกด้านหนึ่งของเชือกคือทหารชั้นยอดหลายสิบนายที่พยายามกัดฟันสู้แรงกับเขา

ชั่วขณะนี้เอง สวี่ชีอันที่ถูกมัดด้วยเชือกสามเส้นก็กำลังสู้แรงกับทหารชั้นยอดร้อยกว่านาย

พวกทหารกัดฟันแน่น เส้นเลือดเขียวบนใบหน้าปูดโปนขึ้นมาและเค้นกำลังสุดชีวิต แต่แม้จะทำเช่นนี้ สองขาก็ยังไถลลื่นไปข้างหน้าทีละนิดๆ

น่ากลัวยิ่งนัก

กำลังกายของชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว

อาหลี่ไป๋ชักดาบพกออกมาแล้วโคจรพลังปราณอันน่าเกรงขาม จากนั้นจ้องเขม็งไปยังฆ้องเงินแห่งต้าฟ่งที่ดึงรั้งอยู่กับทหารทั้งหลายพร้อมเอ่ยเย้ยหยันว่า

“เจ้าสุนัข ฆ่าพี่น้องของข้าไปตั้งมากขนาดนี้ คนแซ่สวี่อย่างเจ้าคงเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียนสินะ ร่ำเรียนวิธีการสวมชุดครามของเขามาด้วยหรือ? ตอนนี้ข้าจะใช้ดาบเล่มนี้เชือดเจ้าเสีย ข้าจะทะลวงร่างทองของเจ้าแล้วทำให้เจ้ากลายเป็นสุนัขหมันอย่างเขา”

ดวงตาของสวี่ชีอันแดงก่ำทันใด

เขาคำรามลั่นเสียงต่ำ ลำคอหนาขึ้นอีกรอบ กล้ามเนื้อบนร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นตามไปด้วยจนทะลวงชุดคราม พลังปราณพลันเอ่อล้นออกมา

‘ปังปังปัง…’ เชือกสามเส้นขาดผึงอย่างแรง ทหารทั้งหลายพากันล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นไปตามๆ กัน

ชุดสีครามเตะอาหลี่ไป๋จนกระเด็นออกนอกวงล้อมของทหาร คนทั้งคนบินลอยออกไป

ใบหน้าของอาหลี่ไป๋เผยให้เห็นความหวาดกลัว หมัดของเขาชกไปที่หน้าของสวี่ชีอัน ขณะที่เท้าก็เตะออกไปพร้อมกันเพื่อต่อต้านสุดแรงเกิด

แต่สิ่งที่ทำให้เขาจนปัญญาก็คือ ร่างกายของอีกฝ่ายแข็งเกินไปจริงๆ

“เจ้าคู่ควรดูหมิ่นเขาหรือ?”

สวี่ชีอันถอนหัวของเขาออกมาถือไว้ในมือ

ดวงตาของอาหลี่ไป๋เบิกโพลง ริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อย ราวกับก่อนตายเขาอยากจะเอ่ยขอให้ไว้ชีวิตอย่างไรอย่างนั้น หรือไม่ก็อยากจะก่นด่า แต่สวี่ชีอันไม่คิดจะให้โอกาสเขา

หัวหน้าหน่วยบุกทะลวง อาหลี่ไป๋ เสียชีวิตแล้ว!

ทหารจากหน่วยบุกทะลวงล้มตายกันไปกว่าครึ่ง ที่เหลือต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว ต่างเลือกที่จะวิ่งหนีและไม่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ใดๆ หลงเหลืออยู่แม้แต่นิด

สวี่ชีอันกุมดาบหอบหายใจอย่างหนัก

ด้านหลังของเขา บนกำแพงเมืองมีเสียงร้องตะโกนของทหารต้าฟ่งทั้งหลาย

“ฆ้องเงินสวี่ ไร้พ่าย!”

“ฆ้องเงินสวี่ ไร้พ่าย!”

“ฆ้องเงินสวี่ ไร้พ่าย…”

เมื่อกี้ตอนที่เห็นสวี่ชีอันถูกเชือกรัด จิตใจของพวกเขาก็พลันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อครู่ตื่นตระหนกมากเท่าใด ตอนนี้ก็ดีใจมากเท่านั้น

สมกับที่เป็นฆ้องเงินสวี่ สมแล้วที่เป็นวีรบุรุษแห่งต้าฟ่ง เขาช่างเป็นผู้ไร้พ่ายจริงๆ

บนกำแพงเมืองในตอนนี้ นอกจากจะมีไม่กี่ที่ที่ทหารข้าศึกปีนขึ้นมาทำลายแนวป้องกันไปนิดหน่อยแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ล้วนได้รับการป้องกันอย่างมั่นคง

โดยไม่รู้ตัว สวี่ชีอันและทหารคุ้มกันเมืองราวกับได้ก่อ ‘ความรู้ใจโดยปริยาย’ ซึ่งกันและกันขึ้นมา คนที่บุกทะลวงอยู่ตรงหน้ายังไม่ล้มลง คนด้านหลังก็มั่นคงราวกับภูเขาไท่ซาน

ถึงตาย ก็ต้องป้องกันเมืองให้มั่น

ฆ้องเงินสวี่เผชิญหน้ากับทหารข้าศึกอยู่คนเดียว แล้วพวกเขามีเหตุผลอะไรที่จะกลัวตายกันเล่า

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset