📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 457

บทที่ 457 - หวนคิดถึง
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

หลังจากถ่ายเทพลังปราณ เศษชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีก็ส่องประกายระยิบระยับขมุกขมัว พร่างพรายราวกับสายน้ำไหล จุดชนวนการร่ายมนตร์ให้ดำเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่า

สวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงกระโดดขึ้นไปบนแผ่นหินโดยปริยาย ครู่ต่อมาประกายแวววาวพลันแผ่ขยายกว้างไร้สุ้มเสียง กลืนกินคนทั้งสองและพาพวกเขาเข้าไปยังห้องศิลา

อีกครั้งแล้วที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง ร่างกายของสวี่ชีอันตึงเครียดขึ้นมาเงียบๆ ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ จึงอดนึกถึงฉากการ ‘ตาย’ ที่ไร้สุ้มเสียงครั้งก่อนของตัวเองอย่างเสียไม่ได้

ครั้นคิดถึงความน่าสะพรึงกลัวนั่น สถานการณ์คับขันตรงหน้าก็เริ่มคงตัว

ในเวลานี้เขารู้สึกคล้ายกับถูกตีน้อยๆ ที่แขน ก่อนเสียงของลั่วอวี้เหิงจะดังขึ้นที่ข้างหู “ตามหลังข้ามา!”

แส้ขนจามรีหวดตีเขาอีกครั้งราวกับสื่อว่าให้เขาตามมา

มืดเกินไปแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลย ข้าต้องคอยเอื้อมมือคลำไปข้างหน้า จะจับโดนบั้นท้ายของน้าเล็กหรือเปล่าล่ะนี่? มีหวังถูกฆ่าตายคาที่แน่…เขาขบคิดขณะก้าวเดินช้าๆ

ทางเดินนั้นเงียบสงัดทอดยาวไร้ที่สิ้นสุด หลังจากเดินไปได้สักพักหนึ่ง สวี่ชีอันก็แน่นขนัดภายในอก เตรียมพร้อมเผชิญกับเสียงลมหายใจอันน่าสะพรึงกลัวนั่นและแรงกดดันอันหนักหน่วงของภูเขาไท่

แต่ทว่าเบื้องหน้ากลับไม่มีอะไรรอคอยอยู่ ทั้งลมก็สงบนิ่ง

หืม?

เขาเดินตามลั่วอวี้เหิงต่อไปอย่างข่มอารมณ์ ผ่านไปไม่กี่นาทีก็มีแสงสีทองนวลอ่อนแต่บริสุทธิ์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

คราวที่แล้วข้าก็ ‘ตาย’ ที่นี่ สวี่ชีอันพึมพำในใจ หยุดนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อนใดๆ

เชื่อเหลือเกินว่าด้วยวิธีการและการฝึกฝนของลั่วอวี้เหิง ไม่จำเป็นต้องพึ่งคำเตือนชี้แนะของเขาให้มากความ หากเกิดอันตรายขึ้นมาจริงๆ น้าเล็กย่อมจัดการได้อย่างไร้ที่ติอยู่แล้ว

ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นเพียงร่างอวตารของน้องสะใภ้เท่านั้น…เฮ้ หากร่างอวตารของนางเกิดจัดการไม่ได้ ร่างจริงนี้ของข้าจะไม่ถูกบดจนป่นปี้เป็นผุยผงเหมือนยาเม็ดหรือ? ครั้นครุ่นคิด สวี่ชีอันก็ตะลึงงันครู่หนึ่ง

ขณะที่จินตนาการกำลังโลดแล่น ทันใดนั้นเขาก็เห็นแสงสีทองสะท้อนออกมาจากร่างของลั่วอวี้เหิง มันสว่างแต่ไม่พร่างพราย ส่องสว่างออกไปในความมืดรอบตัว

น้องสะใภ้หันหน้ากลับมา บัดนี้ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและงดงามของนางราวกับรูปปั้นทองคำเจิดจ้า ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ที่นี่ไม่มีสิ่งผิดปกติ มีเพียงพระภิกษุหนึ่งรูป”

ไม่มีสิ่งผิดปกติ?! สวี่ชีอันตกตะลึงอีกครั้ง

แล้วแรงกดดันอันหนักหน่วงเล่า ทั้งเสียงหายใจที่น่าสะพรึงกลัวอีก?

ด้วยความสงสัย เขาและลั่วอวี้เหิงหันเหไปทางแสงสีทองที่แผ่กลิ่นอายสำนักพุทธออกมา

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาพลันเห็นห้องลับกว้างขวางอยู่เบื้องหน้า ตรงกลางของห้องลับมีเตียงหินและเตายาทองสัมฤทธิ์ ที่ด้านข้างของเตียงหินเป็นเหวลึกลงไป

บนเตียงหิน ปรากฏพระภิกษุร่างสูงกำยำกำลังนั่งอยู่ พร้อมด้วยลูกประคำสีทองขนาดเท่ากำปั้นที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะของเขา

ดวงตาของเขาปิดสนิท แสดงถึงการไร้ชีวสัญญาณมานานแล้ว

ไต้ซือเหิงหย่วน…ภายในอกของสวี่ชีอันเจ็บปวดเหลือแสน เจ็บปวดเสียจนเจียนขาดใจ

ในชั่วพริบตาภาพต่างๆ ในอดีตของเหิงหย่วนพลันผุดขึ้นมาในหัว ทั้งความคับใจที่อีกฝ่ายเคยถามตัวเขาถึงความต้องการทางการเงินหรือความขยันขันแข็งที่อีกฝ่ายคอยดูแลหญิงหม้ายผู้โดดเดี่ยวในสถานรับเลี้ยงเด็ก…

ลั่วอวี้เหิงจ้องไปที่ลูกประคำขนาดเท่ากำปั้นครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อัฐิธาตุและระดับเต๋าอรหันต์ขั้นสองควบแน่นกัน”

หลังจากหยุดชะงัก นางก็มองไปที่สวี่ชีอัน “เขาแค่แกล้งตายเท่านั้น”

แค่แกล้งตาย…ความโศกเศร้าที่ปั่นป่วนของสวี่ชีอันยังคงติดค้างอยู่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางหันไปถาม

“อัฐิธาตุเป็นระดับเต๋าของอรหันต์ก็จริง แต่เหิงหย่วนไม่สามารถเป็นยอดฝีมือขั้นสองได้”

เว้นแต่ว่าเหิงหย่วนจะเป็นภิกษุขั้นสองของสำนักพุทธที่ซ่อนตัวอยู่ ทว่าสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด

ลั่วอวี้เหิงบ่นพึมพำ

“เมื่อห้าร้อยก่อน สำนักพุทธเคยรุ่งเรืองในที่ราบตอนกลาง คิดๆ ดูแล้วอาจยังคงเหลือพระภิกษุในสมัยนั้นอยู่ เหตุผลที่เขามีอัฐิธาตุ มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นพระอรหันต์กลับชาติมาเกิดหรือไม่ก็ได้อัฐิธาตุมาโดยบังเอิญ”

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินมาว่าพระอรหันต์เป็นอมตะนี่”

หลังกล่าวจบ เขาก็พร่ำบ่นในใจ แนวทางบำเพ็ญของสำนักพุทธนั้นเสถียรกว่าลัทธิเต๋าของเจ้ามากโข ลัทธิเต๋าสามนิกายของพวกเจ้าล้วนไปในทางอบายมุข

ลั่วอวี้เหิงเหล่มองเขา เอ่ยเสียงเบา

“ตามแนวทางฉานซือของสำนักพุทธ นักพรตระดับสี่คือผู้ที่อยู่ในสภาวะสร้างรากฐาน นักพรตต้องมีความมุ่งมั่น ยิ่งปณิธานมากเท่าไร ระดับเต๋าก็จะยิ่งสูงเท่านั้น ระดับเต๋าที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ เมื่อระดับเต๋าถูกควบแน่นเป็นหนึ่ง จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพระอรหันต์ย่อมเป็นพระอรหันต์สืบไป ไม่มีคุณสมบัติเป็นพระโพธิสัตว์ ด้วยเหตุนี้จึงมีวิถีการกลับชาติมาเกิดใหม่ หากพระอรหันต์ต้องการบรรลุระดับหนึ่งก็ต้องกลับชาติเพื่อบำเพ็ญใหม่และสละทุกอย่างในชีวิตนี้ สำหรับการกลับชาติมาเกิดของพระอรหันต์ในแต่ละครั้ง สำนักพุทธจะพยายามค้นหาพวกเขาอย่างสุดกำลัง จากนั้นก็จะนำอัฐิธาตุจากชาติที่แล้วมาสถิตไว้ในร่างกายของคนพวกนั้นเพื่อคุ้มครองรักษา เมื่อห้าร้อยปีก่อน ลัทธิขงจื๊อได้ส่งเสริมการขจัดศาสนาพุทธและบังคับให้สำนักพุทธกลับคืนสู่ดินแดนประจิมทิศ จึงมีความเป็นไปได้ยิ่งว่าอัฐิธาตุนี้อาจหลงเหลือมาจากในปีนั้น ด้วยเหตุนี้พระรูปนี้จึงอาจได้รับอัฐิธาตุมาโดยบังเอิญ ไม่จำเป็นต้องเป็นการกลับชาติมาเกิดของพระอรหันต์”

นี่สินะคือความลับของเหิงหย่วน นี่สินะคือเหตุผลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีให้กับเขา…ไม่ว่าเหิงหย่วนจะพระอรหันต์ที่กลับชาติมาเกิดหรือได้รับอัฐิธาตุมาโดยบังเอิญ ความสำเร็จในภายภาคหน้าของเขาย่อมไม่ต่ำต้อยอย่างแน่นอน…อัฐิธาตุมีจิตวิญญาณจึงปกป้องไต้ซือเหิงหย่วนให้เขาพ้นจากวิกฤติงั้นสินะ? ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักได้

ขณะนั้นเองเขาพลันนึกถึงพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่เคยเรียกเขาว่าพุทธบุตร

การที่เขาแคล้วคลาดจากภัยเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาคือพระอรหันต์คนใดคนหนึ่งที่กลับชาติมาเกิด?

ในขณะที่ความคิดของเขากำลังลอยล่อง ลั่วอวี้เหิงพลันเหยียดนิ้วออกและแตะเบาๆ ที่บนอัฐิธาตุ

นางใช้วิธีลับของลัทธิเต๋าในการปลุกจิตเดิม ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่รุกล้ำ

อัฐิธาตุค่อยๆ เปล่งรัศมีอันนุ่มนวล

ไม่กี่วินาทีต่อมาสวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงหัวใจที่ตายแล้วเต้นกระเพื่อมอีกครั้งในอกของเหิงหย่วน เลือดลมเริ่มไหลเวียน สิบวินาทีต่อมาเปลือกตาของภิกษุผู้ยิ่งใหญ่ก็เบิกโพลงด้วยความสั่นสะท้าน

“คุณชายสวี่? ราชครู?”

หลังจากมองไปรอบๆ อย่างงุนงง เหิงหย่วนก็เห็นสวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงเปล่งแสงสีทองอร่าม

“ไต้ซือไต้ซือ ชีวิตของท่านช่างยิ่งใหญ่จริงๆ!” สวี่ชีอันหัวเราะออกมา

ขณะที่เหิงหย่วนกำลังจะเอ่ย อีกฝ่ายกลับมีท่าทีตื่นตกใจ ให้ความรู้สึกราวกับแมวที่พองขนฟูฟ่อง ทันใดนั้นเขาก็มองไปยังทิศทางของเตายาทองสัมฤทธิ์ ก่อนพบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น

‘ขนแมว’ ที่ตั้งตรงค่อยๆ ลู่ลงบรรจบกัน เหิงหย่วนถอนหายใจแผ่วเบา หว่างคิ้วผ่อนคลายมากขึ้น

ปฏิกิริยาของเหิงหย่วนทำให้สวี่ชีอันหวาดหวั่นพรั่นพรึงเล็กน้อย เขาพูดครู่หนึ่งและอธิบายสั้นๆ ว่าเขาค้นพบทางลับและวิธีช่วยเหลือราชครูได้อย่างไร

จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับท่านที่นี่?”

ในเวลานี้หลังจากที่ฟังคำอธิบายของสวี่ชีอันและตรวจสอบรายละเอียดแล้ว เหิงหย่วนก็เชื่อว่าทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นของจริง

เขากลืนอัฐิธาตุในทันที ประนมมือทั้งสองแล้วพูดว่า “หลังจากที่ข้าถูกสายลับของไหวอ๋องนำตัวไปในวันนั้น พวกเขาก็ส่งข้ามาที่นี่ผ่านค่ายกลลำเลียงของจวนผิงหย่วนป๋อ ที่นี่ ที่นี่…”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างยิ่งยวด “มีสิ่งชั่วร้ายอาศัยอยู่ที่นี่”

สิ่งชั่วร้าย?!

ใบหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล้ามเนื้อหลังบิดเกร็งจนบิดเบี้ยว ทั้งเส้นขนก็ลุกซู่

“เขาต้องการกลืนกินข้า แต่เพราะอัฐิธาตุจึงทำไม่สำเร็จ แต่อัฐิธาตุไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ไม่ช้าก็เร็วสักวันมันอาจจะถูกเขาสังเคราะห์ เพื่อที่จะต่อสู้กับเขา ข้าจึงตกอยู่ในภวังค์ พยายามปลุกกระตุ้นอัฐิธาตุสุดแรงเกิด” เหิงหย่วนมีสีหน้าขมขื่น

“เขามีลักษณะอย่างไร?” สวี่ชีอันถามอย่างรวดเร็ว

“ความรู้สึกที่เขามอบให้นั้นคล้ายกับเต๋ามารนิกายปฐพีมาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยจิตมุ่งร้าย ราวกับเพียงมองแวบเดียวก็สามารถดำดิ่งสู่ความชั่วร้ายของเขาได้เลย ความโหดร้าย ความโลภและตัณหา…ความคิดชั่วร้ายทุกชนิดก่อตัวขึ้น นี่เป็นเหตุผลที่ข้าเลือกเข้าสู่ ‘นิพพาน’ เพราะไม่เช่นนั้นข้าคงไม่อาจป้องกันตัวเองจากการต่อสู้กับเขาได้” เหิงหย่วนกล่าวทั้งที่ในใจยังคงหวาดกลัว

ต้องเป็นร่างอวตารของผู้นำเต๋าอีกคนแน่นอน! สวี่ชีอันมองไปที่ลั่วอวี้เหิงอย่างตระหนักได้ เมื่อเห็นว่านางกำลังมองเขาอยู่ ทั้งสองฝ่ายจึงเข้าใจตรงกันโดยทันที

“แล้วคนอื่นล่ะ?”

สวี่ชีอันกวาดสายตามองห้องหิน ก่อนจะพบสถานที่ผิดปกติหนึ่ง ห้องลับถูกปิดเอาไว้และมันก็ไม่มีทางเดินลงไปยังพื้น

เขามองไปยังเหวลึกทางด้านขวาของเตียงหินทันที ไม่แน่ว่าชายคนนั้นอาจอยู่ใต้เหวลึกลงไป

เหิงหย่วนขมวดคิ้ว “ไม่นานมานี้ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าแรงกดดันจากภายนอกหายไปแล้ว…”

เขายังคงทอดสายตาไปที่เหวลึก

ลั่วอวี้เหิงลอยขึ้นช้าๆ ก่อนกระโจนลงสู่ก้นเหว

เป็นเวลากว่าห้านาที ลั่วอวี้เหิงก็ขึ้นมาพร้อมกับแสงสีทอง เป็นครั้งแรกที่สวี่ชีอันเห็นความโกรธแค้นในดวงตาและการแสดงออกของนาง

“ราชครู?” เขาเรียกอย่างหยั่งเชิง

“ด้านล่างปลอดภัย” ลั่วอวี้เหิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

มีอะไรอยู่ใต้เหวลึกนั่นกัน นางถึงได้ดูย่ำแย่ขนาดนี้? ด้วยความสงสัยสวี่ชีอันจึงถามความคิดเห็นของนาง “ข้าอยากลองลงไปดู”

มุมปากเรียวบางของลั่วอวี้เหิงยิ้มยั่วเย้า “แล้วแต่เจ้า”

สวี่ชีอันพาร่างดำดิ่งลงไปในเหว เคลื่อนไหวร่างอย่างอิสระ หลังผ่านไปสิบวินาทีก็เกิดเสียงดังโครมคราม เขาพุ่งทะยานตัวเองไปที่ก้นเหว

‘ทหารช่างหยาบคายเสียจริง ห้าวหาญไม่เบาทีเดียว’…อีกฝ่ายพึมพำในใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ตู้ม’ มาจากทางด้านหลัง เป็นเหิงหย่วนที่พุ่งทะยานตัวเองลงมา

จอมยุทธ์ภิกษุหยาบคายพอกันเลย! สวี่ชีอันกล่าวเสริมในใจ

เหิงหย่วนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกใต้เท้าสวี่เยาะเย้ยพลันอ้าปากถุยน้ำลายออกมา แสงสีทองนุ่มนวลโอฬารส่องผ่านความมืดทำให้ทั้งสองมองเห็นบรรยากาศใต้ดินได้อย่างชัดเจนโนเวลกูดอทคoม

ใบหน้าของสวี่ชีอันหยุดชะงักทันที

จากวิสัยทัศน์ที่มองเห็นได้ มีกระดูกอยู่ทุกอาณาบริเวณ ทั้งกะโหลก ซี่โครง กระดูกขา และกระดูกมือ…พวกมันทับซ้อนกันจนกลายเป็นคำสี่คำ ‘พะเนินกระดูก’

เป็นการยากที่จะประเมินได้ว่าที่แห่งนี้มีผู้เสียชีวิตเท่าไร เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่กองกระดูกได้ถูกสะสม

คนเหล่านี้คือผู้ที่ผิงหย่วนป๋อลักพาตัวมาจากเมืองหลวงและบริเวณโดยรอบในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา

มีทั้งชายหญิงและแม้กระทั่งเด็ก

พวกเขาถูกส่งไปยังด้านล่างของพระราชวัง ภายใต้เขาอันคดเคี้ยวที่ซึ่งพวกเขาถูกสังหารและถูกพรากชีวิตไปด้วยเหตุผลบางอย่าง

สี่สิบปีมีคนตายที่นี่กี่คนแล้ว…กล้ามเนื้อแก้มของสวี่ชีอันกระตุกเล็กน้อย คำพูดสามคำเล็ดลอดผ่านไรฟัน “เดรัจฉาน!”

คล้ายกับว่าเขาได้กลับไปยังฉู่โจว กลับไปในความทรงจำของเจิ้งซิ่งไหว ภาพที่ผู้คนล้มตายลงเหมือนรากหญ้า

“อมิตตาพุทธ…”

เหิงหย่วนประนมมือ ก้มศีรษะสวดพระนามของพระพุทธเจ้า ร่างกำยำพลันสั่นสะท้าน

ด้วยเมตตาธรรมในใจของเขา ก้นบึ้งของจิตใจจึงเต็มไปด้วยความโกรธมหาศาล ความโกรธของมารระดับเพชรไร้พ่าย

เนื้อตัวที่สั่นเทาไม่ได้เกิดจากความกลัว แต่เกิดจากความโกรธ

หลังจากนั้นเป็นเวลานาน สวี่ชีอันก็สงบอารมณ์ที่ปั่นป่วนลง มองไปยังสถานที่ที่ซึ่งไม่มีกระดูกปกคลุมอยู่ นั่นคือแผ่นหินขนาดใหญ่ที่สลักอักขระบิดเบี้ยวพิสดาร

ค่ายกลลำเลียงนี้เป็นหนทางเดียวที่จะออกไปสู่โลกภายนอกสินะ?

ผู้นำเต๋านิกายปฐพีคงใช้มันผ่านออกไปแล้วงั้นเหรอ?

ทำไมต้องออกไป แล้วทำไมถึงเลือกออกไปในเวลานี้…การสำรวจครั้งก่อนของข้าทำให้อีกฝ่ายตื่นตระหนกหรือเปล่า?

“ราชครู”

เขาเงยหน้าขึ้นร้องเรียก

แสงสีทองโปรยลงมาเหนือศีรษะพร้อมกับลั่วอวี้เหิงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ทอดมองลงมายังพวกเขา หุบเหวและพะเนินกระดูก

ลั่วอวี้เหิงกล่าวเสียงเบา “คราวก่อนเจ้าอาจจะเข้ามาสร้างความตกใจ ทำให้เขาเลือกที่จะหนีจนเผลอทำหนังสือปฐพีหาย ข้าจะลองเคลื่อนย้ายไปตรวจสอบที่นั่น ตอนนี้พวกเจ้ากลับไปก่อน ไปรอข้าที่จวนผิงหย่วนป๋อ”

อีกฟากหนึ่งของค่ายกลอาจเป็นกับดัก

นางถือโอกาสใช้ร่างอวตารไร้ตัวตนทำตัวเป็นเบี้ย ตราบใดที่ตัดการเชื่อมต่อระหว่างร่างจริงกับร่างอวตารได้ทันเวลาก็จะสามารถหลีกเลี่ยภัยจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีได้

สวี่ชีอันหยิบชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีออกมา ก่อนจะควบคุมพลังปราณส่งไปที่แผ่นหิน จากนั้นความว่างเปล่าก็ถูกเติมเต็มด้วยพลังปราณ

แสงสลัวพลันสว่างวาบขึ้น จุดประกายให้อักขระเปิดกลไกค่ายกลลำเลียง

ลั่วอวี้เหิงกลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปทางค่ายกลลำเลียง หลังจากสัมผัสแสงนวลอ่อนร่างของนางก็หายไปถูกเคลื่อนย้ายไปยังปลายอีกด้านหนึ่งของค่ายกล

สวี่ชีอันหวนนึกถึงชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี ก่อนจะรีบอพยพออกจากห้องลับไปพร้อมกับเหิงหย่วน วิ่งเอาเป็นเอาตายไปตามทางเดิน จากนั้นก็เคลื่อนย้ายกลับไปยังจวนผิงหย่วนป๋อ

ทั้งสองออกจากถ้ำหิน เดินออกจากภูเขาเจี่ย สวี่ชีอันใช้เวลานี้บอกเหิงหย่วนเกี่ยวกับ ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างจักรพรรดิหยวนจิ่งกับผู้นำเต๋านิกายปฐพีและเล่าเรื่องราวของคดีลับชิ้นใหญ่นั้น

นอกจากนี้ยังบอกเขาถึงเรื่องที่นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นคนปลูกฝังผู้นำเต๋านิกายปฐพีด้วย

เหิงหย่วนพูดไม่ออกเป็นเวลานานพลางถอนหายใจ “เป็นเช่นนี้เอง อาตมาไม่คิดเลยว่านักบวชเต๋าจินเหลียนจะเข้าไปพัวพันกับแผนชั่วร้ายของยอดฝีมือขั้นสองได้ หืม ใต้เท้าสวี่มีชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีได้อย่างไร?”

ใบหน้าของสวี่ชีอันเรียบนิ่ง “ครั้นเอ้อร์หลางไปศึกทางตอนเหนือ ชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีหมายเลขสามจึงถูกส่งมาให้ข้าปกป้องเป็นการชั่วคราว”

ไต้ซือเหิงหย่วน ท่านคือความแข็งแกร่งสุดท้ายของข้า…

เหิงหย่วนที่ไว้วางใจใต้เท้าสวี่ไม่แพ้กันพลันพยักหน้าโดยไร้ข้อสงสัย

พวกเขารออยู่ที่หลังสวนเป็นเวลานาน จนกระทั่งแสงสีทองที่คนทั่วไปมองไม่เห็นบินโฉบลงมาบนหิน

ลั่วอวี้เหิงยืนอยู่บนหิน ส่ายหัวเบาๆ “อีกฟากเป็นจวนร้างหลังหนึ่งที่อยู่ในเมืองชั้นใน”

จวนร้าง? ปลายอีกด้านไม่ใช่พระราชวัง แต่เป็นจวนร้าง?

สวี่ชีอันตกอยู่ในความเงียบ

ผู้นำเต๋านิกายปฐพีถอนทัพไปแล้ว นี่…หนีได้แยบยลเกินไปแล้ว เขาไปที่ไหนกัน? เพียงถูกข้ารบกวนจึงตกใจจนวิ่งหนีหายไปงั้นหรือ?

หรือไปที่พระราชวัง?

แล้วท่านโหราจารย์ล่ะ? ท่านโหราจารย์รู้หรือไม่ว่าเขาจากไปแล้ว ท่านโหราจารย์จะนั่งดูดายปล่อยให้เขาเข้าไปในพระราชวังหรือเปล่า?

เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปนาน ลั่วอวี้เหิงจึงเอ่ยถาม “เบาะแสถูกตีแตกแล้วเหรอ?”

สวี่ชีอันส่ายหัวทั้งพยักหน้า “ร่างอวตารของผู้นำเต๋านิกายปฐพีถอนทัพไปแล้ว บางทีข้าอาจทำให้เขาตื่นตระหนกเมื่อครั้งแรกที่เข้าไปสำรวจที่นั่น แต่ที่ข้าไม่เข้าใจคือเขาไปโดยรีบเร่งเกินไป ทั้งที่หลบซ่อนก็จัดการได้ไม่ดีนัก”

เหิงหย่วนขมวดคิ้วและพูดว่า “บางทีสำหรับผู้นำเต๋านิกายปฐพี เป้าหมายอาจสำเร็จแล้ว ส่วนเมืองหลวงจะเป็นอย่างไรคงไม่เกี่ยวข้องกับเขากระมัง?”

สวี่ชีอันมองไปที่เขา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว? ต่อให้ผู้นำเต๋านิกายปฐพีจะไม่สนใจสถานการณ์ของจักรพรรดิหยวนจิ่ง เดิมทีเขาก็สามารถจากไปได้อย่างอิสระอยู่แล้ว”

สวี่ชีอันถูไถใบหน้า พ่นลมหายใจออกมา “เอาเถอะ ข้าจะไปหาท่านโหราจารย์เดี๋ยวนี้แหละ”

การที่ผู้นำเต๋านิกายปฐพีถอนทัพ ทำให้คดีนี้ไร้เบาะแสอีกครั้ง แม้ว่าผู้นำเต๋านิกายปฐพีจะไม่ได้ยอมรับกับปาก ทั้งการคาดเดาของเขาก็เป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น แต่นั่นไม่ได้สลักสำคัญอะไร

เพราะกองกระดูกใต้พื้นดินถือเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุด

เว่ยกงไม่อยู่แล้ว เรื่องนี้มีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้นที่จะจัดการได้ แต่เกรงว่าท่านโหราจารย์อาจไม่ยอมพบเขาเหมือนครั้งก่อน

“ตอนนี้พอมาลองคิดดู ท่านโหราจารย์คงรู้เรื่องพวกนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญแค่ไหน โชคดีที่เขาไม่ต้องการพบข้าครั้งที่ต้องไปสำรวจเขาคดเคี้ยวเมื่อคราวก่อน แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ด้วย?” เขาเอ่ยเสียงเบา

ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วและพูดว่า “ผิดปกติจริงๆ ด้วย”

ขณะที่สวี่ชีอันกำลังตอบกลับ เขาพลันรู้สึกราวกับมีคนตบเข้าที่ด้านหลังศีรษะ เขาลูบท้ายทอยตัวเองก่อนจะหยิบชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีออกมา

หมายเลขหนึ่งส่งข้อความลับถึงหมายเลขสาม

อยากจะตบกลับสักฉาดจริงๆ ท้ายทอยขององค์หญิงจะให้ความรู้สึกยังไงกันนะ…เขาพึมพำพลางกดตอบรับ

หมายเลขหนึ่ง ‘ข้าอยู่ที่จวนสกุลสวี่ รีบกลับมา’

หมายเลขสาม ‘เกิดอะไรขึ้น? จริงสิ ข้าช่วยเหิงหย่วนออกมาได้แล้วนะ’

ฮว๋ายชิ่งหายไปกว่าครึ่งค่อนวัน หลังจากนั้นนานนมก็ส่งสารกลับมาด้วยความสงสัย ‘ปลอดภัยไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?’

ที่นางหมายถึงคงเป็นผู้คนได้รับการช่วยเหลือโดยปลอดภัยไม่เป็นอะไรสินะ?

หมายเลขสาม ‘ไม่มีอันตรายจริงๆ ซักไซ้โดยละเอียดได้เลย ว่าแต่ท่านติดต่อข้ามามีเรื่องอะไร?’

หมายเลขหนึ่ง ‘คดีของเจ้ามีบางอย่างผิดปกติ ไว้กลับมาที่จวนค่อยพูดคุยกัน’

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset