📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 374

บทที่ 374 - ทบทวนความจำ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

หลังจากทราบเรื่องสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ทางตอนเหนือ ข้าก็เกิดความคิดขึ้นมา จึงแปลงเป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน เดินทางไปยังฉู่โจวอย่างลับๆ เผชิญความทุกข์ยากต่างๆ นานา จนในที่สุดก็ได้พบกับสมุหเทศาภิบาลเจิ้งซิ่งไหวที่โชคดีหลบหนีออกมาได้

ใครเลยจะรู้ว่าตอนนั้นเอง จู่ๆ สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือก็บุกเข้ามาหมายสังหารอาตมาและสมุหเทศาภิบาลเจิ้งเพื่อปิดปาก ที่แท้ศัตรูก็สะกดรอยตาม รอจังหวะซุ่มโจมตีตั้งแต่แรกแล้ว

ทว่าพวกมันต้องเจอกับกระบวนท่าโต้กลับอันดุเดือดของข้า ข้าคนเดียวสู้พวกมันร้อยคน ไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว เช่นเดียวกับสวี่หนิงเยี่ยนเมื่อครั้งอวิ๋นโจว ในที่สุดก็จัดการสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือจนราบคาบ และยังได้ทราบเรื่องราวการสังหารหมู่ล้างเมืองโดยละเอียด

การโจมตีระลอกนี้ ข้าอยู่บนชั้นสิบ!

คำพูดข้างต้นเป็นบทละครที่หลี่เมี่ยวเจินครุ่งนคิดอยู่ในหัว นางคันปากอยากจะพูดเรื่องราวเหล่านี้ใจจะขาด แต่เพราะมีเหตุการณ์ที่สวี่ชีอันปราบกองทัพกบฏเรือนแสนคนอยู่ อีกทั้งเข็ดขยาดการได้เห็นสีหน้าที่แท้จริงของเหล่าผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่วงหนึ่งที่เคยลำพองใจในความสำเร็จของตน ได้เกิดประวัติศาสตร์อันน่าอับอายขึ้นในตอนที่นางพูดต่อหน้าสวี่ชีอันว่า ‘แม่ทัพคนนี้เชี่ยวชาญเรื่องการไขคดีมากเลยนะ’

หลี่เมี่ยวเจินผู้กระตือรือร้นในการคลี่คลายคดีอย่างไม่อาจหาใดเปรียบจึงกดข่มความอยากโอ้อวดของตนเอาไว้ และตอบไปตามความสัตย์จริง “ทั้งหมดนี้เป็นความดีความชอบของฆ้องเงินสวี่”

ฆ้องเงินสวี่หรือ?!

ทุกคนในคณะทูตต่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสวี่ชีอันตรงไหน

หลี่เมี่ยวเจินกล่าว “เป็นสวี่ชีอันที่เชิญข้าไปสอบสวนคดีที่ฉู่โจว”

‘ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง’ ผู้ช่วยศาลต้าหลี่ลูบเคราของตน พลางพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ

“หลี่เต้าฉางช่างเป็นผู้ประเสริฐโดยแท้ ถึงแม้ว่าลัทธิเต๋านิกายสวรรค์จะฝึกตนเพื่อให้สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง เฉยเมยต่อทุกสิ่งจนเป็นปกติ ต่อให้วิถีของท่านจะไม่สนลาภยศสรรเสริญก็ตาม พวกข้าก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อคุณงามความดีของท่านในครั้งนี้ได้ ท่านไม่จำเป็นต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้ฆ้องเงินสวี่ก็ได้”

ผู้ตรวจการหลิวได้ยินดังนั้น ก็กล่าวสำทับ “คณะทูตจะรายงานสถานการณ์ต่อราชสำนัก และร้องขอความดีความชอบให้กับท่านอย่างแน่นอน”

ฆ้องเงินสวี่เชิญเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์มาสืบคดีที่ฉู่โจว ก็ไม่ได้แปลว่าความพยายามทั้งหมดที่นางกระทำในฉู่โจว จะตกเป็นผลงานของฆ้องเงินสวี่ทั้งหมด

‘พวกปัญญาชนช่างพูดจาเสนาะหูเสียจริง’ หลี่เมี่ยวเจินแอบปลื้มใจนิดๆ นางแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ก็ยังละอายใจหน่อยๆ จึงพูดต่อ

“จากนั้นข้าก็มาถึงฉู่โจว และพยายามเสาะหาเบาะแสจากทุกหนทุกแห่ง แต่ก็คว้าน้ำเหลว…”

ทุกคนในคณะทูตตั้งอกตั้งใจฟัง เพราะรู้ว่าคดีนี้ยากเย็นสาหัส พวกเขาสงสัยอย่างยิ่งว่าหลี่เมี่ยวเจินค้นพบจุดพลิกผันของคดี จนค้นพบความจริงของคดีสังหารหมู่ล้างเมืองได้อย่างไร

“แต่อันที่จริงก็ยังพอมีร่องรอยให้ตามสืบได้ ศพที่เปิดเผยเรื่องราวการสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ เป็นศพที่ข้าพบข้างทางบนภูเขานอกเมืองหลวง เขาเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เหตุใดจึงกล้ามาร้องเรียนถึงเมืองหลวง เบื้องหลังอาจจะมีใครสักคนคอยบงการอยู่ก็เป็นได้ คนผู้นั้นเลือกที่จะไม่ส่งหนังสือรายงานหรือเอกสารใดมา แต่เลือกให้ชาวยุทธ์นำสาส์นมาส่ง ข้าเดาว่าเขาน่าจะทำเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง

“ดังนั้นข้าจึงไปเยือนฉู่โจวในฐานะจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน สังหารเผ่าอนารยชนผู้สูบเลือดสูบเนื้อประชาชน และช่วยเหลือทำทานให้ข้าวแก่ผู้คน ฮ่า ข้าก็พอมีชื่อเสียงในยุทธภพบ้างนะ คนจดจำข้าได้ก็มีไม่น้อย คนที่รู้จักข้าก็เพิ่มมากขึ้น…

“แล้วก็เป็นไปตามคาด อีกไม่กี่วันต่อมา ก็มีคนลอบตามหาข้าอย่างลับๆ โดยหวังให้ข้าออกตัวให้ความช่วยเหลือ”

ช่างอัศจรรย์!

ทุกคนในคณะทูตต่างพากันยกย่องสรรเสริญกึกก้อง “หลี่เต้าฉางช่างปราดเปรื่องเหลือเกิน สามารถหากุญแจคลี่คลายคดีจากจุดนี้ได้ ข้าขอยกย่องอย่างสุดหัวใจ”

หัวหน้ามือปราบเฉินกล่าวด้วยความละอาย “ข้าอยู่ในที่ทำการปกครองมาหลายปี ช่างเสียเวลาเปล่าโดยแท้ น่าละอาย น่าละอาย”

ผู้ตรวจการหลิวกล่าวด้วยความชื่นชม “เดิมทีข้าคิดว่าคดีนี้จะคลี่คลายได้หรือไม่ สุดท้ายก็ต้องรอดูฆ้องเงินสวี่ คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่เต้าฉางจะมีความสามารถเหนือกว่าถึงขั้นนี้”

ขุนนางบุ๋นไม่เคยตระหนี่ในคำยกยอปอปั้นของตน ครึ่งหนึ่งมาจากใจจริง ส่วนอีกครึ่งมาจากความเคยชินในพิธีรีตองในวงข้าราชการ

มุมปากของหลี่เมี่ยวเจินกระตุกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เผยให้เห็นความพึงใจเล็กๆ จากนั้นนางก็กระแอมไอ และกล่าวว่า “ข้ามิได้ถ่อมตัวแต่อย่างใด อันที่จริงก็เป็นเพราะข้าได้คำชี้แนะจากสวี่หนิงเยี่ยนทั้งสิ้น พวกเราติดต่อกันลับๆ มาโดยตลอด”

เสียงหัวเราะและคำชื่นชมหยุดชะงัก ราวกับว่ามีคนกดปุ่มหยุดชั่วคราว สีหน้าของเหล่าคณะทูตนิ่งค้าง มองเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ด้วยสายตามึนงง

เหตุใดหลี่เมี่ยวเจินจึงเอาเรื่องสำคัญที่สุดมาเล่าในตอนท้ายสุดด้วย

นี่เป็นนิสัยเสียของนางหรือ?

นี่มันชวนให้กระอักกระอ่วนใจอยู่นะ…

‘มิน่าเล่าฆ้องเงินสวี่ถึงได้ทิ้งคณะทูตไปกลางคัน และเดินทางขึ้นเหนืออย่างลับๆ ที่แท้ก็มีผู้ช่วยมือดีตั้งแต่แรกนี่เอง ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทมีรับสั่งแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบสวนหลัก เขาก็ได้วางแผนทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว’ หัวหน้ามือปราบเฉินแห่งกรมอาญารู้ซึ้งความน่ากลัวของสวี่ชีอันจนสุดใจ

ความรู้สึกอับอายในความปราชัยครั้งแล้วครั้งเล่าของเจ้ากรมซุน โทสะพวยพุ่งแต่ไม่อาจทำอะไรได้ หาใช่สิ่งที่ไร้เหตุผลรองรับไม่ ‘เป็นเพราะข้าประมาทเกินไป ตั้งแต่คดีเงินภาษี คดีซังผอ คดีอวิ๋นโจว ตลอดจนคดีของพระสนมฝูในภายหลัง ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าฆ้องเงินสวี่เป็นคนที่มีประสบการณ์โชกโชน สุขุมรอบคอบ ไม่อาจปรามาสได้ ข้าอุตส่าห์คิดว่าครั้งนี้จะสามารถฝังเขาให้จมดินได้แล้วแท้ๆ’

ผู้ช่วยศาลต้าหลี่ยิ้มขื่นๆ และส่ายหน้า ‘ที่แท้ทั้งหมดนี้ก็เป็นแผนการของฆ้องเงินสวี่ตั้งแต่ต้น เป็นข้าเองที่ไร้เดียงสาเกินไป’

‘สมแล้วที่เป็นใต้เท้าสวี่’ ผู้บังคับบัญชาการเฉินเซียวรู้สึกตื่นตะลึง ความชื่นชมแสดงผ่านสีหน้า

เหล่าทหารรักษาวังเองก็หัวเราะร่าอย่างมีชัย

หยางเยี่ยนพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด คล้ายจะคิดว่าก็สมเหตุสมผลดี

จากนั้นหลี่เมี่ยวเจินก็รายงานเรื่องที่เจิ้งซิ่งไหวยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ผู้ตรวจการหลิวดีใจอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะว่ายังหลงเหลือพยานอยู่ แต่ยังมาจากสาเหตุที่ว่าเขาและเจิ้งซิ่งไหวมีความสัมพันธ์ฉันมิตรอันแน่นแฟ้น เมื่อได้ทราบว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ จึงดีใจไปโดยปริยาย

“สวี่หนิงเยี่ยนน่าจะอยู่ในระหว่างทางมายังเมืองฉู่โจว กระบี่บินของข้าเดินทางมาเร็วกว่าเขา” หลี่เมี่ยวเจินอธิบายเล็กน้อย ก็ถามขึ้นอีกว่า

“ยอดฝีมือลึกลับคนนั้นหายไปไหนเสียแล้วล่ะ”

หยางเยี่ยนระลึกความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยด้วยความตกใจ “ทิศทางที่เขาจากไป เป็นทางเดียวกับที่เผ่าอนารยชนหลบหนีไป”

ผู้ช่วยศาลต้าหลี่หัวใจสั่นสะท้าน ความคิดอันน่าเหลือเชื่อผุดขึ้นมาในหัว ลมหายใจของเขากระชั้นขึ้นในฉับพลัน “หรือว่า หรือว่า…”

ผู้ตรวจการหลิวตอบสนองโดยไม่มีรีรอ “หรือว่าเขาจะตามไปสังหารจี๋ลี่จือกู่ เขากลัวว่ากองกำลังทางเหนือจะเสียสมดุล เกรงว่าหลังจากสงครามครั้งนี้ ชาวเมืองฉู่โจวจะต้องทุกข์ทนกับการรุกรานของเผ่าอนารยชน ไม่มีใครคานกับอำนาจกับเผ่าอนารยชนอีกต่อไป”

หยางเยี่ยนและหลี่เมี่ยวเจินมองหน้ากันและพูดขึ้นพร้อมกัน “ไปดูกันเลย”

ฝ่ายหลังกล่าวเสริม “ขึ้นมา”

หยางเยี่ยนกระโดดขึ้นไปบนสันดาบเบาๆ และยืนเอามือไพล่หลัง

แม้ว่าทหารขั้นสี่จะเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ความเร็ว ระดับความสูง และพลังของเขาไม่อาจเทียบได้กับวิชากระบี่บินของลัทธิเต๋า ถ้าจะให้อธิบาย ก็คงเหมือนมอเตอร์ไซค์กับรถไฟฟ้าความเร็วสูงอย่างไรอย่างนั้น

แต่เปลี่ยนจากวิ่งบนพื้นดิน เป็นการบินอยู่บนอากาศ

ส่วนทหารจะเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม หากทางข้างหน้าเป็นพื้นที่ราบไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีภูเขาลำธารมาขวางกั้น

เมื่อบินไปทางเหนือเป็นเวลาหนึ่งเค่อ หลี่เมี่ยวเจินและหยางเหยี่ยนก็มองเห็นจี๋ลี่จือกู่ ซึ่งหาไม่ยากเย็นนัก เพราะอีกฝ่ายยืนอยู่บนถนนสายหลัก

หลังจากการรบที่ด่านซานไห่ ผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าอนารยชนก็หลงเหลือเพียงร่างผ่ายผอมเหี่ยวแห้ง

ศีรษะของเขาถูกกระชากออกมาอย่างโหดเหี้ยม โดยมีกระดูกสันหลังส่วนเล็กๆ ติดอยู่ และโยนทิ้งไว้ข้างถนน

หลี่เมี่ยวเจินหยุดและกวาดตามองรอบๆ จากมุมสูง พลางกล่าวพึมพำ “สงครามครั้งนี้ ทหารขั้นสามสองคนตกตาย เรื่องนี้จะเลื่องลือไปทั่วจิ่วโจว ต้องเกิดความปั่นป่วนขึ้นเป็นแน่”

หยางเยี่ยนเหม่อลอยเล็กน้อย แท้จริงแล้วระดับขั้นที่เขาใฝ่ฝันจะไปถึง ในสายตาของผู้แข็งแกร่งระดับสูงนั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

ไม่ว่าจะระบบฝึกตนใด ใช้พลังแบบไหน ขั้นสามก็ถือว่าเป็นบุคคลระดับผู้นำ

หยางเยี่ยนกระโดดลงจากสันดาบ คว้ากระดูกสันหลัง และอุ้มศีรษะของหัวหน้ากลุ่มชิงเหยียนกลับไปที่เมืองฉู่โจว

เมื่อเขานำศีรษะกลับมายังเมืองฉู่โจว และแขวนไว้บนยอดกำแพงเมือง ทหารสองหมื่นนายมองขึ้นด้วยความเงียบงัน พลางหลั่งน้ำตา

ยอดฝีมือแห่งเผ่าอนารยชนที่ข่มเหงเมืองฉู่โจวมากว่ายี่สิบปี ในที่สุดก็ดับชีพลงเสียที

ในขณะเดียวกัน ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็ตั้งคำถามในใจ ใครคือผู้แข็งแกร่งลึกลับคนนั้น

ห่างจากเมืองฉู่โจวออกไปหลายร้อยลี้ สวี่ชีอันที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนอย่างแผ่วเบาบนโขดหินยักษ์ที่ถูกกระแสน้ำกัดเซาะขอบมุมจนเกลี้ยงเกลาโนเวลกูดอทคoม

หลังจากชิงแก่นแท้แห่งชีวิตของอ๋องสยบแดนเหนือและจี๋ลี่จือกู่มาแล้ว เสินซูก็เข้าสู่นิทราเนิ่นนาน คราวนี้คงไม่ตื่นขึ้นมาแล้วกระมัง

นอกเสียจากว่าเขาจะตื่นขึ้นมาได้อีกเหมือนตอนที่อยู่ในสุสานโบราณ แต่คงต้องใช้โชคช่วยอีกรอบ

พอไม่มีภิกษุกล้ามโตให้เป็นที่พึ่งก็ไม่อุ่นใจเลย…สวี่ชีอันสำรวจร่างกายของตนเอง เขาค้นพบว่าหลังจากที่เสินซูแสดงร่างธรรมแห่งความมืดแล้ว ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง

เปรียบเหมือนลำคลองที่ขยายกว้างออกเนื่องจากอุทกภัย แม้มวลน้ำจะไหลผ่านไปแล้ว แต่ร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่อาจจางหายไป

หลู่ชู่เหรินผู้อาภัพน่าจะเคยกล่าวไว้ว่า เราแสดงความขอบคุณกับผู้สร้างอุโมงค์ก็จริง แต่เราจะกกกอดความเคารพอย่างสูงส่งต่อผู้ขยายอุโมงค์ตลอดไป …สวี่ชีอันทราบซึ้งในประโยคนี้ยิ่งขึ้น

“หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าก็เข้าใจการสลายแรงลึกซึ้งกว่าเคย ได้สัมผัสการต่อสู้ระหว่างทหารระดับสูง และวิถีการใช้พลังของพวกเขาด้วยตัวเอง สำหรับข้าแล้วมันช่างเป็นประสบการณ์ที่แสนล้ำค่า…”

เขารวบรวมสติ นั่งขัดสมาธิฝึกลมหายใจ หลังจากครุ่นคิดอะไรในใจอยู่พักหนึ่ง เขาก็เริ่มทบทวนความจำตามความเคยชินจากการทำงาน “คดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้

“อ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ล้างเมืองด้วยจุดประสงค์สองประการ หนึ่ง เพื่อกลั่นยาโลหิต บรรลุความสมบูรณ์แบบ จากนั้นดูดกลืนวิญญาณของพระมเหสี และก้าวสู่ขั้นที่สองอย่างเป็นทางการ สอง เพื่อวางแผนไล่ล่าจี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่ว

“การปรากฏของดาบสยบดินแดน แปลว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งรับรู้ถึงการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือเป็นอย่างดี และมีส่วนร่วมด้วย มิฉะนั้น ดาบสยบดินแดนก็ไม่อาจปรากฏที่ฉู่โจวได้”

เมื่อได้เห็นดาบสยบดินแดนปรากฏขึ้น สวี่ชีอันก็เดือดดาลจนสุดจะบรรยาย เพียงแต่ในเวลานั้นมีศัตรูคอยอยู่เบื้องหน้า ไม่มีเวลาให้คิดมาก

จักรพรรดิหยวนจิ่ง ไอ้จักรพรรดิชาติหมา…สวี่ชีอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกไป และบอกตัวเองให้ระงับโทสะเอาไว้

“ไอ้จักรพรรดิชาติหมารู้เรื่องนี้ด้วย อืม มันก็ช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าไปได้อย่างหนึ่ง ว่าทหารที่เสียชีวิตอยู่นอกเมืองหลวงนั้น เป็นฝีมือจักรพรรดิหยวนจิ่งสั่งคนไปเก็บ มีแต่เขาเท่านั้นแหละ ที่สามารถหว่านแหดักตาข่าย คัดคนหาเป้าหมายรอบเมืองหลวงได้

“เพราะแบบนี้นี่เอง ถึงได้แต่งตั้งข้าเป็นผู้สืบสวนหลัก เหตุใดถึงไม่ยกให้ผู้ตรวจการเป็นคนทำ เรื่องพวกนี้สามารถอธิบายได้ทั้งหมดเลย…เนื่องจากพวกคณะทูตเดิมทีก็ทำงานกันแบบขอไปทีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมอบหมายให้คนที่มีอำนาจล้นมืออย่างผู้ตรวจการไปคานอำนาจกับอ๋องสยบแดนเหนือ และหากถึงคราวสุดวิสัยจริงๆ อ๋องสยบแดนเหนือก็สามารถฆ่าปิดปากได้”

“นอกจากนี้ คณะทูตยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คือการพาพระมเหสีเดินทางขึ้นเหนือ แม้ว่าจักรพรรดิชาติหมาจะไม่ใช่มนุษย์ แต่เขาก็ยังเป็นพวกเฒ่าเหรียญปากผี แต่รู้สึกว่าเขาเชื่อใจและตามใจอ๋องสยบแดนเหนือเกินไปตลอดเลยแฮะ”

สวี่ชีอันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดต่อไปโดยอาศัยแนวคิดนี้

“จักรพรรดิหยวนจิ่งรับรู้เรื่องการสังหารหมู่ แล้วเว่ยกงรู้เห็นกับเรื่องนี้บ้างหรือไม่ ดูจากการตอบรับตอนที่ข้าให้เศษซากวิญญาณกับเขา ก็คงจะไม่รู้… เอ๊ะ แต่เฒ่าเหรียญปากผีอย่างเว่ยกง สิ่งที่แสดงออกมาไม่จำเป็นต้องเป็นปฏิกิริยาที่แท้จริง แต่เป็นปฏิกิริยาที่เขาต้องการแสดงให้ข้าเห็นก็ได้นี่

“สมมติว่าเว่ยกงรู้เรื่องนี้ เขาจะทำอย่างไร ด้วยนิสัยของเขา คงไม่อาจทนเฉยให้อ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ล้างเมืองได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นสองเพียงหนึ่งเดียวของต้าฟ่งก็ตาม

“แต่จนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่เห็นเบาะแสที่หลุดรอดออกมาจากเว่ยกงเลย อืม ขอย้อนกลับไปก่อน ถ้าสมมติว่าเว่ยกงรับรู้เรื่องนี้ ด้วยนิสัยของเขายังไงก็ต้องจัดการแน่”

แต่อ๋องสยบแดนเหนือเป็นทหารขั้นสาม ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง จะหยุดยั้งเขาอย่างไร หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่มียอดฝีมือระดับนี้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นคนที่จะหยุดยั้งอ๋องสยบแดนเหนือเมื่อครู่คงไม่ใช่ข้า

“แล้วจะหยุดอ๋องสยบแดนเหนือได้อย่างไร”

ประกายแสงวาบผ่านขึ้นในใจของสวี่ชีอัน เขาคิดถึงคำพูดหนึ่ง ‘ขี่เสือตะครุบหมาป่า’

ในแดนเหนือแห่งนี้ คนที่สามารถทำลายภาพลักษณ์อันดีงามของอ๋องสยบแดนเหนือได้ มีเพียงจี๋ลี่จือกู่และจู๋จิ่วเท่านั้น หากเป็นข้า ข้าคงจะเปิดเผยสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือทำการสังหารหมู่ให้กับศัตรูของเขา

“แต่เว่ยกงรู้ได้อย่างไรว่าเกิดการสังหารหมู่ขึ้นที่ฉู่โจว” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็นึกถึงรายละเอียดที่ไม่สมเหตุสมผลขึ้นมาได้ข้อหนึ่ง

ก่อนออกจากเมืองหลวง เว่ยเยวียนบอกกับเขาว่าเนื่องจากโยกย้ายบุตรในเงามืดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด การรายงานสถานการณ์ของชายแดนทางเหนือจึงล่าช้า ทำให้เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการสังหารเลือดหมู่สามพันลี้เลย

“ด้วยสติปัญญาของเว่ยกง ต่อให้โยกย้ายบุตรในเงามืด แต่ก็ไม่น่าจะย้ายทั้งหมดออกไปจากแดนเหนือ เขาจะต้องเหลือเบี้ยไว้ในเมืองที่สำคัญ มีมั่นคงสักสองถึงสามเมือง ไม่อย่างนั้น ก็ไม่ใช่เว่ยชิงอีแล้ว”

เจอหลักฐานข้างเคียงซึ่งพิสูจน์ว่าเว่ยเยวียนปกปิดบางสิ่งบางอย่างอีกแล้ว

หลังจากแตกแขนงความคิดนี้ ความคิดของสวี่ชีอันก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น “เว่ยกงเจาะจงเรียกข้าไปพูดคุยด้วย และไถ่ถามว่าข้าวางแผนจะไขคดีอย่างไร ข้าจึงบอกเขาว่าจะไปจากคณะทูตระหว่างทาง แล้วมุ่งหน้าขึ้นเหนือตามลำพัง”

จากนั้นเขาก็ให้ข้อมูลติดต่อแม่นางไฉ่เอ๋อร์มา ทันทีที่ได้พบนาง ข้าได้รับรู้ถึงสถานการณ์สำคัญของเขตซีโข่วจากปากนางทันที ทุกอย่างมันราบรื่นเกินไป

“นอกจากนี้เขตซีโข่วเพิ่งแยกตัวออกจากฉู่โจวพอดี ก็หมายความว่าเว่ยกงจงใจให้ข้อมูลเท็จกับข้า เพื่อส่งข้าไปทางทิศตะวันตก เขาไม่ต้องการให้ข้าเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้”

“หากเป็นเช่นนี้ ก็แสดงว่าเขารู้สถานการณ์ในแดนเหนือเป็นอย่างดี”

เพียงเสี้ยวขณะ สวี่ชีอันก็รู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะเล็กน้อย ความรู้สึกในใจสลับซับซ้อน มีทั้งความซาบซึ้งในบุณคุณ และสัญชาตญาณความหวาดกลัวต่อเฒ่าเหรียญปากผี

“หลังจากที่ไปรับพระมเหสีเข้าร่วมเดินทางกับคณะทูตแล้ว ข้าจะกลับไปที่ซานหวงอีกครั้ง”

รุ่งอรุณในวันต่อมา

สวี่ชีอันผู้หล่อเหลาจนสะเทือนไปถึงพรรครัฐบาล หล่อจนกู่เทียนเล่อในชาติที่แล้วยังต้องอับอาย เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม และเคาะประตูห้องของพระมเหสี

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset