วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์
ลู่จือเหยาที่อยู่ในโรงแรมเพิ่งกินอาหารจากโมหยูเดลิเวอรี่เสร็จ
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ กองถ่ายแยกย้ายกันพักผ่อน
โดยทั่วไปแล้วกองถ่ายหนังจะไม่หยุดช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เพราะหนังส่วนใหญ่มีตารางค่อนข้างเร่งรัด ทีมถ่ายทำยิ่งมีตารางงานรัดตัว อย่าว่าแต่หยุดสุดสัปดาห์หรือหยุดนักขัตฤกษ์เลย บางทีก็ต้องถ่ายงานกันจนดึกดื่น
แต่เพราะเป็นทีมถ่ายทำของเถิงต๋า พวกเขาจึงต้องยึดจิตวิญญาณเถิงต๋าและพักผ่อนกันในวันหยุดสุดสัปดาห์
โชคดีที่หวงซื่อปั๋วกับผู้กำกับจูเสี่ยวเช่อต่างก็เซียนเรื่องการจัดการเวลา ทั้งสองจัดตารางการถ่ายทำได้อย่างชัดเจนแม้จะมีวันหยุดพักผ่อน
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้โดยรวมแล้วเป็นการฉายเดี่ยวของลู่จือเหยา ฉากถ่ายทำนอกสถานที่ก็มีไม่เยอะ ส่วนใหญ่ใช้เอฟเฟ็กต์พิเศษ เลยไม่ต้องประสานเวลากับนักแสดง ติดต่อสถานที่ และใช้พร็อบจำนวนมาก การจัดแจงเวลาจึงมีความยืดหยุ่นกว่า
การถ่ายทำหนังคัตซีนเกม Mission & Choice เดินทางมาถึงส่วนสุดท้ายแล้ว
หลังจากถ่ายส่วนแรกไปบางส่วนก็อยู่ในขั้นตอนการตัดต่อและใส่เอฟเฟ็กต์พิเศษแล้ว เพราะถ้ารอให้ถ่ายทำจนครบทุกส่วนจะมีเวลาไม่พอสำหรับการตัดต่อและใส่เอฟเฟ็กต์พิเศษ
พล็อตของหนังคัตซีนแบ่งออกเป็นตอนๆ แต่ละตอนไม่มีจุดเชื่อมโยงกันมากจึงไม่เป็นปัญหาที่จะตัดต่อและใส่เอฟเฟ็กต์พิเศษแยกกัน
หลังจากถ่ายส่วนสุดท้ายเสร็จ การตัดต่อและใส่เอฟเฟ็กต์พิเศษส่วนแรกอย่างคร่าวๆ ก็น่าจะเสร็จแล้ว หลังตัดต่ออย่างพิถีพิถันและเก็บรายละเอียดเอฟเฟ็กต์พิเศษอีกสองสามเดือนก็น่าจะเสร็จสมบูรณ์
ตอนนี้งานหลักของลู่จือเหยาคือตีความบทตอนสุดท้าย แสดงเนื้อเรื่องส่วนสุดท้ายออกมาให้ดี และปิดฉากเนื้อเรื่องอย่างสมบูรณ์แบบ
เขาเพิ่งได้บทตอนสุดท้ายมาเมื่อคืน แต่กลับถึงห้องก็เหนื่อยเกินจะอ่านและเผลอหลับไป
หลังนอนหลับเต็มอิ่มและกินข้าวเช้าเสร็จลู่จือเหยาก็หยิบบทออกมาเตรียมอ่านเนื้อเรื่องส่วนสุดท้าย
เนื้อเรื่องตอนที่แล้วจบแบบสิ้นหวังมาก
ฉินอี้เป็นผู้บัญชาการใน ‘ศึกชี้ขาดครั้งสุดท้าย’ เขาพยายามกำกับการรบเต็มที่และคิดว่าในที่สุดก็สละชีพได้อย่างสมเกียรติและหนีจากชะตากรรมอันแสนยากลำบากนี้ได้
แต่หลังจบศึกเขาก็ได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นการจำลองการรบของ AEEIS
ข่าวดีคือทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นไม่จริง ไม่มีใครตายเลยสักคน
ข่าวร้ายคือ AEEIS จำลองผลลัพธ์ศึกครั้งสุดท้ายระหว่างมนุษย์กับเซิร์กซึ่งอัตราการชนะเท่ากับศูนย์ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือผู้บัญชาการตายไปพร้อมกับราชินีเซิร์ก พวกเขาต้องเลือกผู้บัญชาการคนใหม่และเตรียมพร้อมสำหรับศึกชี้ขาดครั้งต่อไป
แต่ศึกครั้งต่อๆ ไปมีแต่จะยากขึ้นเรื่อยๆ และโอกาสชนะของมนุษย์ก็จะลดน้อยลงไป สติปัญญาของราชินีเซิร์กจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากจิตใต้สำนึกของเซิร์ก ความสามารถในการกวาดล้างกองกำลังของเซิร์กจะยิ่งเหนือชั้นกว่ามนุษย์ขึ้นไปอีก
ถ้าคว้าชัยชนะขาดลอยในศึกชี้เป็นชี้ตายครั้งนี้และฉวยโอกาสส่งกองกำลังไปจัดการเซิร์กที่เหลืออยู่ทั้งหมดไม่ได้ ในอนาคตมนุษย์จะมีโอกาสน้อยลง
สิ่งที่ทำให้ฉินอี้สิ้นหวังยิ่งกว่าเดิมคือการทบทวนการตัดสินใจทั้งหมดของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเค้นหัวคิดและใช้กลยุทธ์ไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าศึกครั้งสุดท้ายนั้นคือความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ฉินอี้แบกรับชะตากรรมของมวลมนุษยชาติไว้บนบ่า แต่ชะตากรรมที่ต้องเผชิญคือความตาย
เขาไม่รู้ว่าวันนี้จะมาถึงเมื่อไหร่และไม่รู้ว่าการยืนหยัดของเขาจะมีความหมายหรือไม่ แม้แต่นักรบอย่างเขาที่เคยชินกับความเป็นความตายก็ไม่สามารถแบกรับทุกอย่างได้ไหว เขาจึงได้แต่จมอยู่กับความสิ้นหวัง…
ลู่จือเหยายิ่งอยากรู้ตอนจบมากกว่าเดิม เขารีบเปิดส่วนสุดท้ายของบทและเริ่มอ่านอย่างตั้งใจ
…
เริ่มฉากด้วยภาพระยะใกล้ของฉินอี้ในเคบินสำหรับนอน
ช่วงแรกของเรื่องก็มีการถ่ายภาพระยะใกล้แบบนี้ แต่ทั้งสองฉากแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ครั้งนี้ผมของฉินอี้กระเซอะกระเซิง หนวดเคราไม่ได้โกน ดวงตาหมองคล้ำ สีหน้าปราศจากความรู้สึก ใบหน้าซีดเซียวและรอยดำคล้ำใต้ตาแสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่ย่ำแย่อย่างยิ่งของเขา
ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่บนเพดานแม้จะอยู่ในแคปซูลสำหรับนอน ผ่านไปพักใหญ่เขาก็กะพริบตาหนึ่งครั้ง แสดงให้ทุกคนเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่
แม้จะอยู่ในแคปซูลสำหรับนอนแต่เขาก็หลับไม่ลง เห็นได้ชัดว่าความกดดันทางจิตใจของเขาเกือบถึงขีดจำกัดแล้ว
แคปซูลสำหรับนอนที่ขอบมุมพอดีสำหรับคนหนึ่งคนดูไม่ต่างอะไรจากโลงศพ
เสียง AEEIS ดังขึ้น “ผู้บัญชาการ สภาพจิตใจของคุณไม่มั่นคงอย่างมาก สภาพร่างกายก็ย่ำแย่เช่นกัน กรุณาพักผ่อน
“ฉันจัดเวลาพักผ่อนเพิ่มให้อีกสองชั่วโมง กรุณานอนให้เร็วที่สุด
“ร่างกายของคุณไม่ได้เป็นของคุณแค่คนเดียว แต่เป็นของมวลมนุษยชาติด้วย ถ้าคุณเสียชีวิตกะทันหันก่อนศึกตัดสิน มวลมนุษยชาติจะสูญเสียความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ไปอย่างสิ้นเชิง”
ฉินอี้ไม่ตอบแต่ยื่นมืออันสั่นเทาไปเกาะผนังเคบินเพื่อลุกขึ้น จากนั้นก็หันหลังพิงแคปซูลแล้วนั่งลงกับพื้น
เขาหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง
เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าศึกตัดสินระหว่างมนุษย์กับเซิร์กเปิดฉากขึ้นได้ทุกเมื่อ การเปิดศึกครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์แต่ขึ้นอยู่กับเซิร์ก
ฉินอี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้นอย่างตัดพ้อ “ชะตากรรมที่ขีดไว้ให้ต้องตาย ต่อให้มาถึงเร็วหรือช้าแล้วมันแตกต่างกันด้วยเหรอ
“อ๋อ ไม่สิ มีความแตกต่างอยู่ ถ้ามาถึงช้ากว่านี้ ฉันก็ต้องทนทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นอีกสองสามวัน”
AEEIS “ผู้บัญชาการ สภาพจิตใจของคุณไม่เอื้อต่อการรบที่กำลังจะมาถึง
“ถ้าคุณตกลง ฉันจะฉีดยาระงับประสาทและสารอาหารให้เพื่อที่จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และสงบสติอารมณ์ก่อนการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
“ฉันหวังว่าคุณจะกลับมาฝึกได้โดยเร็วที่สุดหลังจากพักผ่อนเต็มที่ ถ้าคุณไม่ฝึกจำลองเป็นเวลาห้าสิบสามชั่วโมงติดต่อกัน อาจนำมาซึ่งความสูญเสียที่มากขึ้นของมนุษย์ระหว่างการรบ…”
แต่ก่อน AEEIS จะทันได้พูดจบทั่วพื้นที่ก็ฉาบไปด้วยสัญญาณเตือนสีแดง!
“ผู้บัญชาการ เซิร์กจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ใต้ดิน การบุกโจมตีของเซิร์กกำลังจะเริ่มขึ้น!
“ไม่ว่าอย่างไรกรุณากลับไปคอนโซลควบคุมเพื่อกำกับการรบทันที!”
ฉินอี้หลับตาไม่สนใจ AEEIS หลังเงียบไปครู่ใหญ่เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ฉันอยากคุยกับทุกคนในกองกำลังสมาพันธ์”
ถึงฉินอี้จะเป็นผู้บัญชาการแต่ก็มีอำนาจแค่ออกคำสั่งโจมตีไปยังแต่ละขบวนรบ คำสั่งเฉพาะอื่นๆ AEEIS เป็นฝ่ายดำเนินการหมด
AEEIS เงียบไปสองวินาทีราวกับพยายามวิเคราะห์เจตนาที่แท้จริงเบื้องหลังคำขอของฉินอี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทำไม่ได้
“ผู้บัญชาการ ขอโทษด้วย คุณไม่มีอำนาจเช่นนั้น novelgu.com
“โปรดกลับไปที่คอนโซลควบคุมเพื่อกำกับการรบทันที มิเช่นนั้น AEEIS จะเข้าควบคุมกองกำลังเอง”
ฉินอี้ไม่หวั่นไหว สีหน้าของเขาดูเย็นชา “ถ้าคิดว่าการอยู่รอดของมนุษย์สำคัญกว่าการคุยครั้งนี้ก็เชิญตามสบาย
“ขอเวลาแค่ห้านาที”
AEEIS เงียบไปอีกครั้ง
ฉินอี้ไม่ได้เร่งเร้า เขายังคงมองไปยังเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าขณะไตร่ตรองบางสิ่ง
สัญญาณเตือนสีแดงยังกะพริบอยู่อย่างนั้น ฉินอี้เห็นกองทัพแมลงรวมตัวกันเหนือพื้นผิวโลกได้อย่างชัดเจนผ่านระบบสื่อสารแอนซิเบิล สงครามกำลังจะเปิดฉากขึ้น!
ครู่ต่อมาเสียงไร้อารมณ์ของ AEEIS ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ผู้บัญชาการ การกระทำของคุณไม่มีความหมาย ระบบสื่อสารเรียลไทม์ของ AEEIS สามารถส่งข้อมูลได้มากกว่าภาษามนุษย์หลายพันเท่า
“การส่งข้อมูลและการแสดงออกทางอารมณ์ที่ไร้ประสิทธิภาพของมนุษย์อาจส่งผลตรงกันข้าม เมื่อรู้ความจริงบางอย่าง มนุษย์อาจตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายและเกิดความขัดแย้งภายในได้ คณะกรรมการบริหารสูงสุดแห่งกองกำลังสมาพันธ์บลูสตาร์ไม่ยอมรับความเสี่ยงนี้
“ผู้บัญชาการ กรุณาตั้งสติให้ดีและหยุดความพยายามที่ไร้ความหมายนี้”
ฉินอี้พูดขึ้นอย่างเย็นชา “AEEIS ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ฉันต้องการใช้คอนโซลควบคุมและระบบสื่อสารแอนซิเบิลเพื่อพูดกับทหารทุกนายในกองกำลังสมาพันธ์ ถ้ายังคิดจะห้ามฉัน ทั้งฉัน แก และมวลมนุษยชาติทั้งหมดก็จะพินาศไปด้วยกัน
“แกเป็นแค่หุ่นยนต์โง่ๆ ที่พยายามจะแก้ปัญหาทั้งหมดด้วยข้อมูล ถ้าแกจัดการเซิร์กได้ กองกำลังสมาพันธ์ก็คงไม่เลือกฉันมาเป็นผู้บัญชาการ
“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ฉันเป็นผู้บัญชาการ ทำตามที่ฉันสั่งซะ!”
สัญญาณเตือนสีแดงยังคงกะพริบวาบ ผ่านไปเกือบนาที AEEIS ก็พูดขึ้น “ผู้บัญชาการ คุณสามารถใช้คอนโซลควบคุมสื่อสารกับทหารทุกนายในกองกำลังสมาพันธ์ได้
“ชะตากรรมของมวลมนุษยชาติอยู่ในมือคุณ ฉันหวังว่าคุณจะไตร่ตรองให้ดีก่อนจะพูดอะไร”
ฉินอี้พยุงตัวลุกยืนด้วยสองมือ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปนั่งตรงคอนโซลควบคุม
เขาเห็นการวางกำลังทหารทั้งหมดของกองกำลังสมาพันธ์ได้จากตรงนี้
ฉินอี้สุ่มดูสถานการณ์ของทหารในยานรบเพื่อยืนยันว่าทุกคนจะได้ยินสิ่งที่เขาพูดผ่านระบบสื่อสารแอนซิเบิล
เขาเห็นสีหน้างุนงง หวาดกลัว และตื่นตระหนกของทหารภายในยานรบ ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่เขาเห็นน่าจะเป็นภาพแบบเรียลไทม์ เพราะ AEEISไม่น่าจะสามารถจำลองสีหน้าของมนุษย์ได้เหมือนจริงทุกอย่าง
ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าทหารทุกนายต่างแปลกใจมากที่จู่ๆ ผู้บัญชาการอยากพูดกับทุกคน
เพราะตั้งแต่เริ่มทำสงครามมา ผู้บัญชาการทุกคนสั่งการกองกำลังผ่านปัญญาประดิษฐ์ AEEIS ฝั่งทหารก็สื่อสารได้แค่กับ AEEIS เท่านั้น พวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้บัญชาการคือใคร หน้าตาเป็นยังไง และอยู่บนยานรบลำไหน
แต่ครั้งนี้นอกจากจะได้ยินเสียงของผู้บัญชาการแล้ว พวกเขายังได้เห็นหน้าตาของอีกฝ่ายด้วย
มีคนในกองกำลังเอเชียไม่กี่คนที่รู้จักฉินอี้
ทหารส่วนใหญ่ในกองกำลังสมาพันธ์เห็นเพียงชายหนวดเคราไม่โกน ใต้ตาดำคล้ำ และสภาพจิตใจย่ำแย่สุดๆ บนหน้าจอ ซึ่งแตกต่างจากภาพลักษณ์ของผู้บัญชาการที่เคยคิดไว้ในหัวลิบลับ
ฉินอี้ไล่สายตามองเหล่าทหารอีกครั้ง
เขารู้ว่าทุกคนที่ตัวเองสั่งการในสงครามเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆ
ในอนาคตจะมีคนที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของเขาหลบหนีไปด้วยความตื่นตระหนก และทำผิดพลาดในศึกชี้ขาดระหว่างมนุษย์กับเซิร์ก คนพวกนี้อาจจะรอฟังเขาอยู่ในยานรบ อาจจะเป็นเด็กหนุ่มสักคนในนี้
ประโยคแรกของฉินอี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง
“ผมคือฉินอี้ เคยเป็นหัวหน้าทีม AS-371-45 ซึ่งปฏิบัติภารกิจตัดหัวได้สำเร็จ และเป็นผู้บัญชาการคนปัจจุบันของกองกำลังสมาพันธ์
“ผมหวังว่าจะได้บอกความจริงบางอย่างกับทุกคนก่อนที่มนุษยชาติจะสูญพันธุ์
“เซิร์กกำลังเตรียมตัวบุกโจมตีครั้งสุดท้าย
“ตามการคำนวณของ AEEIS โอกาสชนะของมนุษย์ในศึกชี้ขาดครั้งนี้คือศูนย์ แม้กรณีดีที่สุดจะมีแค่ผมที่ตายไปพร้อมราชินีเซิร์ก ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ก็จะโดนกวาดล้างในสงครามที่ยืดเยื้อ
“ตลอดห้าสิบชั่วโมงที่ผ่านมา ผมลองวิธีต่างๆ มานับไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง ก็เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์สุดท้ายไม่ได้
“ผมเชื่อว่าทุกคนเบื่อกับการปกปิดความจริงและการหลอกลวงไม่ต่างจากผม
“ในการต่อสู้กับเซิร์กผู้บัญชาการทุกคนพยายามเต็มที่เพื่อฝึกฝนให้มนุษย์กลายเป็นเซิร์กและหลอกล่อมนุษย์ให้ตายเหมือนเซิร์กด้วยวิธีการต่างๆ
“ถึงเราอาจจะได้ชัยชนะมาด้วยวิธีนี้ แต่มันไม่ใช่ความเชื่อและวิธีการเอาชนะของมนุษย์!
“ดังนั้นแม้ว่าสุดท้ายเราจะตาย ผมก็หวังว่าทุกคนจะตายอย่างมีศรัทธา!”
ฉินอี้เบิกตากว้าง เขาที่จมอยู่กับความสิ้นหวังมาตลอดเหมือนจะเปล่งประกายไปด้วยออร่าแสนเจิดจ้า “คุณเลือกได้ว่าจะหนีในวินาทีสุดท้าย ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสองสามชั่วโมง คุณหาพันหมื่นเหตุผลมากล่อมตัวเองว่าความตายของคุณไม่มีความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้ากองทัพแมลงนับล้านได้ คุณโบ้ยความผิดให้คณะกรรมการบริหาร ผู้บัญชาการ และทุกคนหลังจากล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าได้
“แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม
“บลูสตาร์จะถูกฝูงแมลงกลืนกิน คุณจะต้องมองบ้านเกิดโดนทำลายด้วยไฟสงครามและตกเป็นเหยื่อของฝูงแมลงอย่างไร้ซึ่งความหวัง! พวกคุณบางคนอาจจะหนีไปในยานรบและท่องไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่เหมือนสุนัขหลงทาง! เมื่อมองย้อนกลับมาก็จะเห็นบลูสตาร์ดวงสีน้ำเงินแสนสวยถูกทำลายล้างและเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ร่องรอยการดำรงอยู่ของมนุษย์ถูกกรงเล็บและคมเขี้ยวของเซิร์กกวาดล้างจนหมดสิ้น!”
เสียงของฉินอี้สูงขึ้นจากการตะโกนดังลั่นจนแทบสุดเสียง “ถึงตอนนั้นคุณจะนึกเสียใจว่าทำไมไม่ยอมตายในแนวหน้า ทำไมไม่ยอมพลีชีพในสนามรบไปพร้อมพวกเซิร์ก! พวกที่เลือกหน้าด้านมีชีวิตต่อไปจะต้องจมอยู่กับความเสียใจและความผิดหวังไปชั่วนิรันดร์!
“คุณจะนึกเสียใจว่าทำไมถึงไม่ยอมใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ยื้อให้ตัวเองมีชีวิตรอดเพื่อแลกกับโอกาสพิสูจน์ศรัทธาของมนุษยชาติ!
“ใช่ สำหรับทุกคนแล้วสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังความตายก็ไม่มีความหมายอีก เพราะสิ่งที่รอเราอยู่คือความว่างเปล่าชั่วนิรันดร์ แต่การตายของเรานั้นมีความหมายกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ กับครอบครัว กับมิตรสหาย และเพื่อนร่วมชาติของเรา!
“AEEIS คำนวณว่าอัตราการชนะศึกครั้งสุดท้ายคือศูนย์ แต่ผมไม่มีทางยอมรับผลลัพธ์นี้ เพราะปัญญาประดิษฐ์ไม่มีทางคำนวณคุณค่าศรัทธาของมนุษย์ได้!
“ถ้าเราแพ้ในศึกครั้งนี้มนุษยชาติก็จะพินาศ อารยธรรมของเราจะสูญหายจากจักรวาลตลอดไป และหลักฐานการดำรงอยู่ของเราทั้งหมดก็จะถูกลบล้างไปโดยสิ้นเชิง!
“แต่ถ้าเราชนะความตายของพวกคุณจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์!
“ข้างหลังเราคือบลูสตาร์!
“ในศึกครั้งสุดท้ายนี้ผมจะให้ความหมายกับการเสียสละของมนุษย์ที่ผ่านมาทั้งหมด! เราจะพลีชีพอย่างมีเกียรติ เราจะจมอยู่ในทะเลแมลงไร้ที่สิ้นสุด เราจะถูกกวาดล้างด้วยแรงระเบิด เราจะไม่เหลือแม้กระดูกภายใต้กรงเล็บของเซิร์กด้วยซ้ำ!
“แต่ศรัทธาของเราจะคงอยู่ในผืนอวกาศที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวพร่างพราวตราบนานเท่านาน เหมือนดังเช่นดวงดาวที่มีอยู่ตั้งแต่ครั้งกระโน้นและไม่มีวันเลือนหายไปไหน!
“ศรัทธาของมนุษยชาติจะไม่มีวันลบเลือน!
“ทหารทุกนาย ให้ความร่วมมือกับผมและเดิมพันทุกอย่างเพื่อชะตากรรมของมวลมนุษย์ เราจะยอมตายอย่างสมเกียรติ!”