หลังจากการฝึกฝนช่วงที่ผ่านมา ฉินอี้ก็เชี่ยวชาญเรื่องการบังคับบัญชา
เขาใช้แผงควบคุมส่งคำสั่งไปยังแต่ละหน่วยอย่างช่ำชอง เขาสื่อสารกับ AEEIS เกี่ยวกับข้อมูลสนามรบในปัจจุบัน และคุมให้กองทัพมนุษย์ดำเนินการตามแผนที่อ้างอิงจากข้อมูล AEEIS และประสบการณ์การสั่งการรบที่ผ่านมา
ในห้วงอวกาศ กองทัพมนุษย์และกองทัพเซิร์กปะทะกันราวกับเป็นใบไม้ที่ปลิวว่อนในพายุ พื้นผิวของดาวเคราะห์ถูกกวาดล้างด้วยอาวุธหนักของยานรบ แต่พวกเซิร์กผุดออกจากผืนดินเรื่อยๆ กองกำลังหลักของกองทัพมนุษย์และกองกำลังพิเศษที่ออกปฏิบัติภารกิจเข้าโจมตีเซิร์กจากทิศทางต่างๆ โดยพยายามเต็มที่ในการระบุตำแหน่งราชินีเซิร์ก
ตอนนั้นเอง สัญญาณเตือนสีแดงก็กะพริบไปทั่วอวกาศ เสียงของ AEEIS ดูจริงจังกว่าปกติ “ผู้บัญชาการ กองทัพเซิร์กจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามายังยานบัญชาการ”
ฉินอี้รีบเลื่อนกล้องบนแผงควบคุม ไม่นานเขาก็เห็นกองทัพแมลงในอวกาศมืดมิด
เหตุการณ์นี้ดูคุ้นเคย
ฉินอี้เคยเลือกเส้นทางเดียวกับผู้บัญชาการคนก่อนในการรบจำลอง ตอนนี้เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง
รูปแบบการทำสงครามของมนุษย์และเซิร์กนั้นเหมือนกันมาก มนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพาระบบสื่อสารแอนซิเบิลและ AEEIS เพื่อให้คำสั่งของผู้บัญชาการสูงสุดเข้าถึงแต่ละหน่วยได้รวดเร็วที่สุด และปฏิบัติตามคำสั่งให้เสร็จด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด กองทัพเซิร์กมีจิตใต้สำนึกของรัง ราชินีเซิร์กสามารถสั่งการเซิร์กผ่านโทรจิตได้ หลักการคล้ายกันกับระบบสื่อสารแอนซิเบิล
สเกลการรบใหญ่เกินไป ข้อมูลมีเยอะเกินไปและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดังนั้น วิธีสั่งการแบบดั้งเดิมของมนุษย์จึงไม่เหมาะสำหรับการทำสงครามกับเซิร์ก ผู้บัญชาการคอยสั่งการเพียงคนเดียว และปัญญาประดิษฐ์จะคอยแยกแยะคำสั่งและส่งตรงไปยังแนวหน้าของกองทัพ วิธีสั่งการแบบเรียลไทม์ผ่านระบบสื่อสารแอนซิเบิลกลายเป็นวิธีสั่งการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในกรณีนี้ การสังหารผู้บัญชาการของแต่ละฝ่ายคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเซิร์กและมนุษย์
ถ้าเซิร์กจัดการผู้บัญชาการฝั่งมนุษย์ได้สำเร็จ AEEIS จะเข้าควบคุมการสั่งการทั้งหมดแทนจนกว่าจะแต่งตั้งผู้บัญชาการมนุษย์คนใหม่ ระหว่างช่วงเวลานั้นจะไม่มีการโจมตีทีเผลอหรือกลยุทธ์ที่แยบยลกว่า กลับกัน ถ้ามนุษย์ตัดหัวราชินีเซิร์กได้สำเร็จ พวกเขาก็จะมีเวลาพักหายใจไปช่วงหนึ่งและเดินหน้ากวาดล้างเซิร์กจำนวนมากในวงกว้างได้
ดังนั้นฉินอี้จึงรู้ว่าตอนนี้ควรเลือกยังไง
เขารีบเปลี่ยนมุมมองบนจอและสั่งการทุกยูนิต
กองทหารแนวหน้าเร่งความเร็วโจมตีและบุกไปด้านบนสุดของรังเซิร์กแห่งใหม่ กองกำลังหลังดาวรั้งเซิร์กที่เหลือไว้ หลังจากใช้อาวุธส่วนใหญ่จนหมด ยานรบก็พุ่งใส่เซิร์กและระเบิดทำลายตัวเองเพื่อถ่วงเวลา…
ฉินอี้เห็นคำขอกำลังเสริมจำนวนมากจากทีมอื่นๆ เขาไม่รู้จักคนเหล่านี้และไม่เคยเห็นหมายเลขประจำตัวพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ
กลางอวกาศมืดมิดที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว บนพื้นผิวดาวเคราะห์และในรังแมลง เขาเห็นเพียงคำขอกำลังเสริมกะพริบไม่หยุดราวกับดวงดาวส่องแสงนับไม่ถ้วน
ศึกครั้งนี้แตกต่างจากการจำลองที่ผ่านมา แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคย
ฉินอี้ไม่รู้ว่าการปฏิบัติการนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เขาได้แต่ทำตามการฝึกซ้อมที่ผ่านมาและเลือกตัวเลือกที่ตัวเองคิดว่าถูก
“ตายไป วิญญาณของฉันจะพบความสงบสุขบนฟ้าพร่างพราวนี้ไหมนะ”
ไม่มีใครตอบคำถามของเขา มีเพียงเสียงเยียบเย็นของ AEEIS ดังขึ้น “ระวัง! ยานบัญชาการกำลังถูกคุกคามหนัก เมื่อยานบัญชาการโดนทำลาย AEEIS จะเข้าควบคุมทุกยูนิต ผู้บัญชาการ โปรดเตรียมการให้พร้อม!”
ครั้งนี้ AEEIS ไม่ต้องเตือน ฉินอี้ก็เตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว
เขาซูมเข้าเพื่อดูยานรบลำแล้วลำเล่าพุ่งเข้าสู่จุดที่แมลงรวมตัวกันหนาแน่น ก่อนดอกไม้ไฟจะส่องประกายสว่างไสวในห้วงอวกาศมืดมิด เขารู้ว่าอีกไม่นาน ตัวเองก็จะกลายเป็นดอกไม้ไฟที่สุกสว่างที่สุด
“AEEIS ฉันจะเป็นผู้บัญชาการคนสุดท้ายรึเปล่า”
ฉินอี้แปลกใจที่ AEEIS ไม่ตอบ
หลังจากยานรบที่เหลือไม่กี่ลำเข้าใกล้ยานบัญชาการ ฉินอี้ก็กดปุ่มระเบิดสุดท้าย จากนั้นก็หลับตาลงด้วยความโล่งอก
ที่น่าแปลกคือ เขาไม่รู้สึกอะไรมากนักแม้จะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิต
ราวกับว่าเขารอช่วงเวลานี้มานาน
เขาไม่รู้เลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
ปฏิบัติการตัดหัวครั้งนี้อาจจะประสบความสำเร็จกว่าครั้งที่แล้ว กองกำลังที่มีชีวิตอยู่ของเซิร์กได้รับความเสียหายหนัก และกองทัพมนุษย์เอาชนะด้วยกำลังพลที่มากกว่า หรือปฏิบัติการตัดหัวครั้งนี้อาจเหมือนครั้งก่อนที่ช่วยให้มนุษย์มีเวลาได้พักหายใจนิดหน่อย ทหารคนอื่นจะขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการและสั่งการแทนฉินอี้ เวียนซ้ำเป็นวังวน หรือสงครามครั้งนี้อาจล้มเหลวครั้งใหญ่จนมนุษยชาติล่มสลาย…
แต่ฉินอี้ไม่มีทางรู้เลย เขาได้แค่ทำทุกอย่างและเสี่ยงชีวิตเพื่อพยายามคว้าชัยชนะมาให้ได้มากที่สุด
แสงจ้าสว่างวาบขึ้น จุดที่ฉินอี้อยู่ขาวโพลน จากนั้นก็กลายเป็นความมืดไร้ที่สิ้นสุด
ฉินอี้หลับตารอความตาย แต่หลังสัมผัสได้ถึงความเย็นอยู่สองวินาที ก็พบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
ตอนนั้นเอง แสงรอบกายก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง กองทัพแมลงและมนุษย์หายวับไป ทุกอย่างกลับคืนสู่ห้วงอวกาศอันเงียบสงบที่เต็มไปด้วยดวงดาวก่อนเริ่มศึก
เสียงของ AEEIS ดังขึ้น “น่าเสียดายที่ผู้บัญชาการไม่ผ่านภารกิจทดสอบสุดท้าย
“มองในแง่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จำลองขึ้นมาหมด ไม่มีใครตาย
“มองในแง่ร้าย โอกาสชนะศึกตัดสินระหว่างมนุษย์และเซิร์กคือศูนย์ ɴᴏᴠeʟɢu.ᴄᴏm
“แม้ในกรณีที่ดีที่สุด ผู้บัญชาการก็จะตายพร้อมราชินีเซิร์ก จากนั้นก็จะมีการเลือกผู้บัญชาการคนใหม่ขึ้นมาเตรียมพร้อมสำหรับศึกชี้ชะตาครั้งต่อไป
“แต่ศึกต่อๆ ไปจะยิ่งยากขึ้น เพราะการมีอยู่ของจิตสำนึกในหมู่เซิร์ก ระดับสติปัญญาของราชินีเซิร์กจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และความสามารถในการเสริมกำลังรบของเซิร์กก็สูงกว่ามนุษย์
“ถ้าเราตัดสินผลไม่ได้ในศึกนี้ มนุษยชาติอาจโดนกวาดล้างในสงครามระหว่างเซิร์กอันยืดเยื้อยาวนาน”
ดวงตาของฉินอี้ว่างเปล่า เขาไม่รู้จะตอบโต้ยังไง
เขาเตรียมใจตายเรียบร้อยแล้ว เขาทำดีที่สุดแล้วและคิดว่าได้เลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดจากข้อมูลในสนามรบที่ได้จาก AEEIS
ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง ในเมื่อเขาตายไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับความรับผิดชอบ
เขาจะได้หลุดพ้นจากภารกิจหนักอึ้งนี้สักที
แต่ AEEIS กลับบอกเขาว่าทุกอย่างจำลองขึ้นหมด เขาไม่ได้ตาย สงครามไม่ได้เกิดขึ้นจริง!
หมายความว่าผู้บัญชาการยังคงเป็นฉินอี้เหมือนเดิมและเขาต้องรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ในสงครามนี้
หลังเงียบไปครู่ใหญ่ ฉินอี้ก็ถามขึ้น “สถานการณ์หลังสงครามเป็นยังไง”
ภาพการรบปรากฏขึ้นอีกครั้ง เป็นฉากการรบหลังฉินอี้ ‘ตาย’
แผนที่เขาทิ้งไว้ ‘ก่อนตาย’ ไม่ได้ผล กองกำลังแนวหน้าต้องเผชิญหน้ากับกองทัพแมลงและไม่สามารถไปถึงตำแหน่งที่ระบุได้ กองยานสกัดฝูงแมลงไว้ได้ แต่ทีมปฏิบัติภารกิจตัดหัวในส่วนลึกของรังใหม่โดนล้างบางหมด ไม่มีใครเหลือรอด…
สุดท้าย กองยานมนุษย์ที่เหลืออยู่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนีกลับห้วงอวกาศพร่างพราวอันกว้างใหญ่อย่างลนลาน ฐานที่มั่นและกองทัพมนุษย์บนดาวโดนกวาดล้างหมด พวกเซิร์กเข้ายึดดาวเป็นฐานเพื่อเตรียมทุ่มโจมตีมนุษยชาติเต็มกำลัง…
หลังจากความล้มเหลวในศึกครั้งนี้ ความหวังของมนุษยชาติในการโค่นเซิร์กก็หายวับไป AEEIS จึงบอกว่าโอกาสชนะศึกตัดสินระหว่างมนุษย์กับเซิร์กคือศูนย์
ฉินอี้หลับตาพร้อมกับสูดหายใจลึก
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็พูดขึ้น “เริ่มใหม่”
ภาพรอบกายถอยกลับอย่างรวดเร็ว การรบที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เล่นย้อนกลับอยู่เบื้องหน้าฉินอี้
เขาตรวจสอบทุกการตัดสินใจอีกครั้ง ฉากเหตุการณ์ต่างๆ หยุด ย้อนกลับ และเล่นช้าลงสลับไปมาไม่หยุด…
แต่ไม่ว่าจะเค้นหัววิเคราะห์และเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ยังไง ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าศึกตัดสินนั้นต้องพบกับความล้มเหลว
ฉินอี้แทบทนต่อไปไม่ไหว รอยคล้ำใต้ตาหนักขึ้น จิตใจย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เขาอาศัยความศรัทธาในการไปต่อ แต่ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ไหน ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือความล้มเหลวอยู่ดี
สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดไม่ใช่ความตาย แต่เป็นชะตากรรมของมนุษย์ที่ต้องแบกไว้บนบ่า ซึ่งชะตากรรมนี้คือความตาย
เขาไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยว่าที่อดทนทำอยู่นี้มีความหมายอะไรรึเปล่า ความรู้สึกนี้เหมือนเขาถูกทรมานโดยมองไม่เห็นอนาคต แม้แต่ทหารอย่างฉินอี้ที่เคยเห็นความเป็นความตายต่อหน้าก็ยังไม่สามารถทานทนความกดดันมหาศาลและความสิ้นหวังนี้ได้ไหว…
…
ลู่จือเหยารู้สึกกดดันมากหลังได้อ่านบท
เนื้อเรื่องส่วนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเหตุการณ์หักมุม อารมณ์ของฉินอี้เปลี่ยนไปมาอย่างเห็นได้ชัดอยู่หลายครั้ง ลู่จือเหยาพยายามวิเคราะห์อยู่ทุกวันเพื่อที่จะแสดงความแตกต่างทางอารมณ์เหล่านี้ออกมาให้ได้ ในที่สุดเขาก็วิเคราะห์ได้จนเกือบหมด
ตอนแรก ลู่จือเหยาคิดว่าเนื้อเรื่องส่วนต่อไปน่าจะเป็นศึกครั้งสุดท้าย ฉินอี้จะสละชีพตัวเองเพื่อจัดการเซิร์ก จากนั้นก็จะมีฉากเร้าอารมณ์นิดหน่อยเพื่อรำลึกถึงทหารที่เสียชีวิต ก่อนเรื่องราวจะจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ
สุดท้าย เขาไม่คิดเลยว่าความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาจะศูนย์เปล่า สุดท้าย AEEIS ก็สรุปว่าอัตราชนะศึกคือศูนย์ ไม่ว่าฉินอี้จะพยายามหนักขนาดไหนและศึกที่ผ่านมาจะราบรื่นเพียงใด จากรูปแบบการทำศึกในตอนนี้ ยังไงผลลัพธ์ของการต่อสู้ก็มีแค่ความล้มเหลว
ในเนื้อเรื่อง อารมณ์ของฉินอี้เปลี่ยนไปมาก แตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
พอรู้ว่าศึกตัดสินใกล้เข้ามา ฉินอี้ก็มีท่าทีสงบมากๆ เพราะเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว แต่พอได้รู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ทุกอย่างเป็นแค่การประมวลผลของปัญญาประดิษฐ์ ฉินอี้ก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจเท่าไหร่นักกับการรอดตายจากหายนะครั้งนี้ เขากลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะตอนแรกคิดว่าภารกิจของตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว แต่ตอนนี้มาพบว่าทุกอย่างยังไม่ทันเริ่มด้วยซ้ำ
หลังจากเล่นซ้ำและพยายามอยู่หลายหน ฉินอี้ก็ตระหนักว่าไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่ชนะ เขาต้องยอมรับชะตากรรมการสูญพันธุ์ของมนุษย์ที่ใกล้เข้ามาเพียงลำพัง แม้แต่นักรบที่มีคุณสมบัติทางจิตใจที่แข็งแกร่งอย่างฉินอี้ยังแบกรับไม่ไหวจนจิตใจแทบพังทลาย
ลู่จือเหยารู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของฉินอี้รอบนี้ยังคงเป็นการทดสอบทักษะการแสดงของตัวเอง เขาอาจจะต้องต่อบทกับเครื่องทะเลาะอัจฉริยะอีกสามร้อยรอบหลังกลับไปถึงโรงแรม