สิบโมงเช้า
ชิวหงกับถังอี้ซู่แวะไปที่ร้านสาวหน้านิ่งแล้วนั่งในมุมที่ไม่ค่อยเด่นนัก
แม้จะยังไม่ถึงเวลาอาหารเที่ยง แต่ในร้านสาวหน้านิ่งก็มีลูกค้าค่อนข้างเยอะทีเดียว ที่นั่งประมาณ 60% มีคนนั่ง ช่วงเที่ยงต้องมีคิวยาวแน่นอน
ถังอี้ซู่มองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสน
ทุกอย่างดูปกติดี ไม่มีปัญหาอะไร
ก่อนมาที่นี่ เผยเชียนบอกให้เธอจับตาดูแบรนด์สาวหน้านิ่งเป็นพิเศษและกลับมารายงานสถานการณ์ตามความเป็นจริง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่เข้าใจ ไม่ต้องศึกษาอะไรทั้งนั้น แต่สังเกตดูจากความประทับใจแรกก็พอ
แต่ถังอี้ซู่ก็พบว่าไม่เห็นมีอะไรแปลกๆ เลยตั้งแต่เข้ามาในร้าน
ร้านสะอาดและเป็นระเบียบดี ดูเหมือนกิจการจะไปได้สวยทีเดียว พนักงานเสิร์ฟไม่กระตือรือร้นเหมือนร้านฟาสต์ฟู้ดที่อื่นๆ แต่ก็มีรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า พวกเขาใส่ใจและต้อนรับลูกค้าดีกว่าร้านฟาสต์ฟู้ดทั่วไปด้วยซ้ำ
ในสายตาของถังอี้ซู่ นี่เป็นร้านอาหารทั่วไปที่ทำกำไรได้เป็นอย่างดี
ทั้งสองสั่งเมนูประจำร้าน อาหารมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว
ถังอี้ซู่รู้สึกกลุ้มใจระหว่างกิน เธอไม่พบข้อบกพร่องหรือปัญหาร้ายแรงในร้านเลย
แน่นอนว่าร้านก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เพราะยังไงก็เป็นแบรนด์อาหารจานด่วน เรื่องรสชาติจึงคาดหวังอะไรไม่ได้มาก แต่ก็ถือว่าพอผ่าน
ขณะเดียวกัน เมิ่งชั่งกำลังรอนักลงทุนอยู่อีกมุมหนึ่งที่ไม่เด่นในร้าน
ถึงเมิ่งชั่งจะดูนิ่งในเบื้องหน้า แต่จริงๆ แล้วเขารู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะพวกเขานัดกันไว้ตอนสิบโมง แต่ตอนนี้เหล่านักลงทุนสายไปหลายนาทีแล้ว
ตอนนั้นเองสายตาของเมิ่งชั่งก็เป็นประกาย เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินไปทางประตู
ไม่นานเมิ่งชั่งกับนักลงทุนกลุ่มหนึ่งก็เดินพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกเข้ามาในร้าน
“ขอโทษจริงๆ ครับบอสเมิ่ง พอดีรถติดมากเลยมาสายไปหลายนาที ขอโทษที่ต้องให้รอนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรเลย เป็นเกียรติมากที่พวกคุณยอมแวะมาร้านผม ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”
เมิ่งชั่งดูนิ่งและใจเย็นเหมือนทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย เขาก็เริ่มอธิบายสถานการณ์ของแบรนด์สาวหน้านิ่งให้ทุกคนฟัง
เขาเล่าผลลัพธ์ของแผนการตลาดล่าสุดของสาวหน้านิ่ง การเตรียมการสำหรับร้านใหม่ กระแสตอบรับเมนูใหม่ รายละเอียดเรื่องบริการต่างๆ ของร้าน และอื่นๆ
แบรนด์สาวหน้านิ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โมเดลการบริหารและรสชาติดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเหล่านักลงทุนจะเคยแวะมากันแล้ว แต่พวกเขาก็เห็นถึงการพัฒนาอย่างชัดเจน
เพราะยังไงเมิ่งชั่งก็ผลาญเงินเพิ่มขึ้น คงจะแปลกถ้าร้านยังเหมือนเดิม
ถังอี้ซู่ที่นั่งอยู่มุมหนึ่งกำลังชิมบะหมี่เย็นย่างพลางเงี่ยหูฟังเนื้อหาการสนทนา
แต่เมิ่งชั่งไม่ได้พูดเสียงดังมาก ถึงจะตั้งใจฟังแต่ก็ได้ยินเป็นช่วงๆ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวล
ถ้าแวะมาร้านสาวหน้านิ่งแล้วไม่ได้อะไรกลับไปเลย จะไปรายงานอะไรให้รุ่นพี่ฟัง
เมิ่งชั่งแนะนำร้านกับนักลงทุนอย่างกระตือรือร้น
“เราปรับสไตล์การตกแต่งร้านนิดหน่อย มีเพิ่มของตกแต่งเข้ามา หลักๆ ก็เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างประเพณีดั้งเดิมและความทันสมัย ทุกคนจะเห็นว่านั่นคือองค์ประกอบสไตล์จีนดั้งเดิม ส่วนโปสเตอร์ตรงนั้นให้กลิ่นอายความเป็นศิลป์ องค์ประกอบเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์วัฒนธรรมของแบรนด์สาวหน้านิ่ง
“สไตล์ที่ผสมผสานกันทำให้ลูกค้าได้พบบรรยากาศการกินอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ สไตล์การตกแต่งนี้จะเป็นจุดที่ลูกค้ายินดีแชร์ลงเว่ยป๋อหรือวงโซเชียลต่างๆ ซึ่งทำให้ลูกค้าช่วยโปรโมตร้านให้เราฟรีๆ
“รายละเอียดพวกนี้สะท้อนให้เห็นในทุกแง่มุม ตัวอย่างเช่น โต๊ะและเก้าอี้ของเราสั่งทำพิเศษกับทางโรงงาน โดยออกแบบให้อยู่กึ่งกลางระหว่างความย้อนยุคและความทันสมัย อีกทั้งยังสวยงามและใช้ได้จริง ตามหลักการแล้ว น่าจะใช้ไปได้อีกสิบปีโดยไม่มีปัญหาอะไร…”
เมิ่งชั่งหมุนเก้าอี้ไปพร้อมกับอธิบาย แต่จังหวะนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียง ‘เอี๊ยด’ เบาๆ จากนั้นเก้าอี้ก็ค้างอยู่อย่างนั้น
เมิ่งชั่ง “?”
เขาคิดว่าตัวเองหมุนผิดทาง แต่พอพยายามหมุนไปอีกด้าน เขาก็พบว่ามันค้างไม่ยอมขยับจริงๆ!
บรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนใจสุดๆ
เมิ่งชั่งงง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย
เขาไม่ได้โกหก โต๊ะเก้าอี้พวกนี้สั่งทำพิเศษด้วยวัสดุคุณภาพดีจริงๆ ตามหลักการแล้ว น่าจะใช้ไปได้สบายๆ อีกสองสามปี
แต่มีบางอย่างผิดพลาด!
ถึงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่แกนหมุนเก้าอี้ค้างโดยไม่ทราบสาเหตุและไม่สามารถหมุนต่อได้ แต่ความรู้สึกที่เหมือนโดนตบหน้าเข้าอย่างจังก็ทำให้เมิ่งชั่งขายหน้าสุดๆ
ถึงนักลงทุนจะไว้หน้าเขาและพูดอะไร แต่เมิ่งชั่งก็รู้ว่าพวกเขาต้องคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจแน่นอน ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ที่สะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จะส่งผลต่อการประเมินของนักลงทุน เงื่อนไขการลงทุนที่จะได้รับอาจโหดขึ้น
แต่เมิ่งชั่งก็มีจิตใจที่แข็งแกร่ง อุปสรรคเล็กน้อยแค่นี้ไม่ทำให้เขาตื่นตระหนก เขายิ้มและพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าจะยังมีปัญหานิดหน่อยเรื่องการควบคุมคุณภาพของโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์แห่งนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เจอปัญหาจะได้รีบแก้ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรครับ
“เดี๋ยวผมจะบอกให้พวกเขาปรับปรุงเรื่องการควบคุมคุณภาพ
“นอกจากบรรยากาศในการกินอาหารแล้ว การคัดเลือกและสร้างวัฒนธรรมการทำงานในหมู่พนักงานเสิร์ฟของเราก็แตกต่างจากร้านอื่นด้วย…”
ขณะที่กำลังอธิบายอยู่ เขาก็เห็นลูกค้าคนหนึ่งลุกขึ้นอย่างหมดความอดทน ก่อนจะเดินไปต่อว่าที่เคาน์เตอร์ “ทำไมบะหมี่เย็นยังไม่ได้อีก ไหนว่าจะมาเสิร์ฟภายในสิบห้านาที นี่ยี่สิบนาทีแล้วนะ!”
พนักงานประจำเคาน์เตอร์ตอบกลับด้วยความลำบากใจ “ขอโทษด้วยค่ะ เดี๋ยวจะรีบเร่งครัวให้นะคะ”
ลูกค้ากลับไปนั่งที่โต๊ะโดยไม่พูดอะไร
เห็นได้ชัดว่าเหล่านักลงทุนก็เห็นเหตุการณ์นั้น สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมิ่งชั่งใจตกไปอยู่ตาตุ่มขณะก่นด่าคนในครัวนับร้อยครั้ง
ปกติก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ แถมตอนเช้าเขาก็ย้ำไปหลายรอบว่าให้เสิร์ฟอาหารให้เร็วที่สุด ทำไมถึงมาสร้างปัญหาในเวลาแบบนี้นะ!
เละเทะมาก!
แต่เขาจะมามัวจมกับเรื่องนี้ไม่ได้ ยิ่งหาทางแก้ ยิ่งจะมีข้อบกพร่องเพิ่มขึ้น เขาจึงแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและอธิบายข้อมูลให้นักลงทุนฟังต่ออย่างกระตือรือร้น
แต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งนาที ก็มีเรื่องเกิดขึ้นอีก nᴏveʟɢu.ᴄᴏᴍ
ชายร่างกำยำซึ่งดูเหมือนจะทนรออาหารมานานตะโกนขึ้นจากโต๊ะ “ทำไมฉันยังไม่ได้เครื่องเคียงอีก กินบะหมี่จะหมดแล้วเนี่ย! เครื่องเคียงมันไม่ต้องทำใหม่ทุกจานไม่ใช่เหรอ หรือมัวแต่ไปปลูกผักกันอยู่”
พนักงานเสิร์ฟรีบวิ่งเข้าไปขอโทษขอโพยด้วยเสียงแผ่วเบา
มุมปากของเมิ่งชั่งกระตุกเบาๆ รอบนี้เมินไม่ได้อีกแล้ว ครั้งเดียวยังพอถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่นี่ดันเกิดขึ้นสองครั้ง
สาวหน้านิ่งวางจุดยืนตัวเองเป็นแบรนด์อาหารจานด่วน ซึ่งอาหารจะจัดเสิร์ฟภายในสิบห้านาที ยิ่งเร็วกว่านั้นได้ก็ยิ่งดี แต่พอมีปัญหาเรื่องเวลาในการเสิร์ฟอาหาร นักลงทุนก็จะมองว่าการบริหารจัดการในครัวไม่ดี ส่งผลกระทบโดยตรงกับภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์สาวหน้านิ่ง
แถมตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงเที่ยงที่ลูกค้าแน่นร้านเลย ยังไงก็ไม่ควรมีปัญหาเรื่องการเสิร์ฟอาหารช้า
ไม่มีทางหลอกพวกเขาได้เลย
เมิ่งชั่งตั้งสติและสำรวมท่าที “ขอโทษด้วยครับ ดูเหมือนจะเกิดปัญหาขึ้นในครัว ขอเวลาสักครู่นะครับ ผมขอตัวเข้าไปจัดการก่อน”
เมิ่งชั่งรีบเดินเข้าไปในครัวแล้วกระซิบถามอย่างโกรธเคือง “เกิดอะไรขึ้น! ทำไมวันนี้เสิร์ฟอาหารช้าขนาดนี้!”
พนักงานเสิร์ฟกำลังยุ่งมือเป็นระวิง พอเห็นเมิ่งชั่ง ทุกคนก็รีบเข้ามาอธิบาย “บอสเมิ่ง! ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น แต่หนูดวงไม่ค่อยดีเลย เมื่อกี้เพิ่งเผลอทำบะหมี่ไหม้ แล้วก็ลื่นล้มตอนจะไปเสิร์ฟจานหลัก ลืมเสิร์ฟเครื่องเคียงด้วยค่ะ…”
เมิ่งชั่งกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ ทำไมต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้ในช่วงสำคัญด้วย!
แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ไปแล้วและไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ เขาก็ได้แต่ด่าพนักงานแล้วบอกให้รีบเสิร์ฟอาหารให้เร็วที่สุด
เมิ่งชั่งเดินออกจากครัวด้วยสีหน้าสงบอีกครั้ง
เขาเดินไปที่กลางร้านและปรบมือเบาๆ “ขออภัยลูกค้าทุกท่านเป็นอย่างยิ่งครับ วันนี้ในครัวมีปัญหานิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าใครไม่ได้อาหารภายในสิบห้านาที เราจะให้กินฟรีครับ!”
ในเวลาแบบนี้ วิธีเดียวที่จะดับความโกรธของลูกค้าได้คือการเอาเงินฟาดหัว
ถ้ามีปัญหาก็ต้องรีบแก้ไขทันที นักลงทุนพวกนี้จับตาดูเขาอยู่ ถ้าไม่รีบแก้ เดี๋ยวจะโดนหักคะแนนเอา
ลูกค้าที่กำลังรออาหารด้วยความหงุดหงิดสงบใจลงเมื่อได้ยินว่าจะได้กินฟรี
ชิวหงแปลกใจเล็กน้อยจึงกระซิบถาม “แปลกเนอะ ตอนเรามา อาหารก็มาเสิร์ฟค่อนข้างเร็ว ในครัวมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
ถังอี้ซู่ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่เย็นย่าง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอีกฝ่าย
เธอยังจำครั้งแรกที่ไปงานเลี้ยงที่ภัตตาคารบ้านหมิงฝู่ได้ขึ้นใจ ขนาดภัตตาคารระดับสูงของบอสหลี่ยังได้รับผลกระทบ มีปัญหามากมายเกิดขึ้นในครัว
สาวหน้านิ่งเป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดธรรมดา ครัวย่อมไม่ดีเท่าภัตตาคารบ้านหมิงฝู่ แล้วจะเอาอะไรไปต้านได้
ถังอี้ซู่รู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย วันนี้เธอมาโดยไม่ได้บอกใคร แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เธอก็กังวลขึ้นมาเล็กน้อยว่าจะทำให้แผนของรุ่นพี่พังรึเปล่า
ถังอี้ซู่หยิบทิชชูมาเช็ดปาก “บอสชิว ไปกันเถอะค่ะ”
ชิวหงผงะไป “อ้าว ไม่ดูต่อแล้วเหรอ”
ถังอี้ซู่ส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
เธอรู้ว่าเผยเชียนลงทุนในแบรนด์สาวหน้านิ่ง ถ้านั่งต่อไปแล้วสถานการณ์ในครัวแย่ลง ผลที่ตามมาคงไม่ดีแน่
รีบกลับให้เร็วที่สุดก่อนจะสร้างเรื่องไปมากกว่านี้น่าจะดีกว่า
ชิวหงไม่พูดอะไรมาก เพราะยังไงถังอี้ซู่ก็มาตรวจสอบโดยไม่บอกใคร ส่วนเขามีหน้าที่พาเธอมา ทั้งสองจึงลุกกลับออกไป
เมิ่งชั่งอธิบายข้อมูลต่างๆ ให้นักลงทุนฟังต่อ แต่ก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าเหล่านักลงทุนไม่ได้สนใจเท่าตอนแรกแล้ว
ทำอะไรไม่ได้แล้ว เคราะห์ซ้ำกรรมซัดวันนี้สร้างความเสียหายให้ร้ายแรงเกินไป นักลงทุนส่วนใหญ่ที่รู้สึกสนใจกลับไปอยู่ในสถานะรอดูไปก่อนเหมือนเดิม
“โอเคครับบอสเมิ่ง วันนี้พอแค่นี้ก่อน เราจะกลับไปคุยเรื่องการลงทุนแล้วจะให้คำตอบในอีกสองวันนะครับ”
เหล่านักลงทุนยังสุภาพเหมือนเดิม แต่ชัดเจนว่าทัศนคติเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากตอนที่เพิ่งมาถึงร้าน
เมิ่งชั่งตระหนักเรื่องนี้ดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาได้แต่กัดฟันทำทีเป็นไม่ใส่ใจและเดินไปส่งเหล่านักลงทุนด้วยรอยยิ้ม
เขาถอนหายใจอยู่ภายใน ก่อนจะกลับเข้าร้านแล้วไปนั่งซึมที่โต๊ะ
พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งวิ่งเข้ามากระซิบเสียงเบา “บอสเมิ่งคะ! ในครัวไม่มีปัญหาแล้วค่ะ ลูกค้าส่วนหนึ่งที่ได้อาหารช้าได้กินฟรี เรามั่นใจได้ว่าช่วงเที่ยงที่ลูกค้าแน่นร้านไม่น่าจะมีปัญหาอะไรค่ะ!”
เมิ่งชั่งหันมองเธอ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ท้อใจจริงๆ