เบื้องหน้ามีทางเดินยาวอีกทาง แต่ทางนี้ชำรุดทรุดโทรมดูแล้วชวนสยองกว่าทางที่แล้ว แถมยังคดเคี้ยวไปมามากกว่า
ทุกครั้งที่เลี้ยวทำเฉียวเหลียงใจสั่น
ทางเดินยาวเงียบเชียบจนดูเหมือนว่าจะไม่มีอสูรร้ายโผล่มา แต่สภาพแวดล้อมอึดอัดคับแคบแบบนี้ก็ทำให้เฉียวเหลียงรู้สึกกดดันทางจิตใจ
ตอนนั้นเอง เฉียวเหลียงก็นึกอะไรขึ้นได้
ฉันโดนเล่นงานเข้าแล้ว!
สาวซอมบี้ที่โต๊ะแผนกต้อนรับตอนแรกสุดดูน่าขนลุกแต่ก็ไม่ได้ทำให้ตกใจกลัว เธอค่อยๆ ยกระดับความกดดันทางจิตใจและทำให้เฉียวเหลียงเริ่มระแวดระวังตัว
จากนั้นจิตแพทย์ก็จัดแจงเตรียมการต่างๆ จนเฉียวเหลียงหลงคิดไปว่าสุดขีดสยองยังไม่ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ และจุดนี้เป็นการตรวจสภาพร่างกายและจิตใจตามปกติ
ซึ่งทำให้เฉียวเหลียงนึกระแวงน้อยลง
แน่นอนว่าเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจน่าจะเป็นของจริง การทดสอบสภาพจิตใจเองก็ด้วย การทดสอบทั้งสองอย่างระบุข้อมูลสุขภาพของผู้เล่นได้จริงๆ ถ้าผลออกมาไม่เหมาะกับการเล่น ผู้เล่นก็อาจโดนห้ามไม่ให้ไปต่อ
แต่เมื่อผลการทดสอบสุขภาพของผู้เล่นออกมาผ่านเกณฑ์ เกมสยองก็จะเริ่มต้นทันทีที่จิตแพทย์ประกาศ!
เฉียวเหลียงมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าน่าจะมีกลไกบางอย่างที่ควบคุมทุกอย่างในห้องอยู่ใต้โต๊ะ แต่เขาก็กลัวเกินกว่าจะรวบรวมความกล้าสำรวจทุกอย่างในห้อง
เขาได้แต่กำตะเกียงสีทองในมือแน่นแล้วเดินต่อไปอย่างระแวดระวังตัว
ต้องบอกเลยว่าช่วงต้นจัดเตรียมมาดีมาก โดยเฉพาะหมอที่ดูใจดีซึ่งหันมาหลอกเขาในชั่ววินาทีสุดท้าย เป็นอะไรที่ท้าทายเกราะป้องกันทางจิตใจของเฉียวเหลียงสุดๆ
เขาหนีออกมาได้ เส้นทางตอนนี้ดูปลอดภัย ทำให้เฉียวเหลียงสงบใจลงได้ ถึงจะยังตื่นกลัวอยู่ แต่เขาก็ไม่คิดยอมแพ้ทันทีเพราะเจอความสยองที่มากเกินไป
แน่นอนว่าเฉียวเหลียงกำลังคิดอยู่ว่าจะยอมแพ้ดีไหม แต่ระดับความสยองตอนนี้ก็อยู่ในระดับที่เหมาะสม ถ้าจะโหวกเหวกโวยวายบอกพนักงานว่าขอยอมแพ้ก็จะดูตีโพยตีพายไปหน่อย เขารู้สึกว่าตัวเองยังทนได้อยู่ แต่ก็รู้สึกว่ายิ่งเดินไปเรื่อยๆ ความสยองก็ยิ่งคืบคลานเข้ามารอบตัว และค่อยๆ กลืนกินเขาทีละนิด
เขาหันมองรอบๆ คิดว่าน่าจะมีไมค์ กล้อง และประตูลับอยู่ทุกที่ เมื่อไหร่ที่คิดอยากยอมแพ้ก็น่าจะมีพนักงานเข้ามาช่วย
แต่ก็เพราะจุดนี้เองที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังทนต่อไปได้อยู่
“เห็นว่ามีที่หลบภัยในนี้ด้วยนี่นา อย่างน้อยก็น่าจะทนไปได้จนถึงจุดเซฟแรกแหละ”
เฉียวเหลียงคงยอมแพ้อย่างสุดหัวใจถ้ารู้ว่าต้องทนไปอีกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง แต่พอมองตะเกียงสีทองในมือและนึกถึงที่หลบภัย เขาก็ล้มปีศาจในใจได้สำเร็จและตัดสินใจเดินหน้าต่อ
…
ผ่านไปพักใหญ่ ในที่หลบภัย
สุดขีดสยองเป็นโปรเจ็กต์ที่มีทางเป็นวงกลม โซนตรงกลางเป็นที่หลบภัย และมีประตูมากมายที่เชื่อมต่อกับหลายๆ ส่วนในโปรเจ็กต์
หลังประตูทุกบานมีพนักงานคอยบันทึกความคืบหน้าของผู้เล่น โดยจะต้องบันทึกไว้เสมอไม่ว่าผู้เล่นจะเข้าหรือออกที่หลบภัย
จำนวนครั้งในการเข้าที่หลบภัยและพร็อบที่ถือเข้ามามีผลกับการขอรีฟันด์ค่าตั๋วในตอนท้าย
ว่าง่ายๆ คือ ถ้าเล่นม้วนเดียวจบพร้อมใส่ที่คาดผมเขาปีศาจเข้ามาและไม่เข้าที่หลบภัยเลย ผู้เล่นก็จะได้เงินรีฟันด์เต็มจำนวน แถมยังได้ประกาศนียบัตรด้วย
ซึ่งก็ถือว่าเป็นจุดเซฟไปในตัวด้วย ตัวอย่างเช่น หร่วนกวางเจี่ยนที่เข้าเล่นสองรอบ จะได้ลัดไปยังที่หลบภัยของจุดเข้าเล่นรอบสองผ่านเส้นทางพิเศษ เพื่อเริ่มเล่นจากจุดที่บันทึกไว้
หลินหวาน หร่วนกวางเจี่ยน เฉินคังทั่ว และคนอื่นๆ รออาจารย์เฉียวอยู่ตรงที่หลบภัย
สไตล์การตกแต่งของที่หลบภัยนั้นธรรมดากว่าสไตล์ที่ใช้ในฉากสยองต่างๆ แต่ก็ให้บรรยากาศยุคเก่า เพื่อกันไม่ให้ผู้เล่นรู้สึกสุขสบายใจมากเกินไปจนกระทบกับการเล่นต่อ
พูดอีกอย่างคือ การเข้าที่หลบภัยนั้นช่วยให้ผู้เล่นได้พักใจ แต่สไตล์การตกแต่งในที่หลบภัยจะย้ำผู้เล่นอยู่ตลอดว่าพวกเขายังอยู่ในโปรเจ็กต์สุดขีดสยอง ที่นี่เป็นแค่ที่พักชั่วคราว ไม่ใช่ปลายทางของการผจญความกลัว
หร่วนกวางเจี่ยนมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ผ่านมาสิบนาทีกว่าแล้ว
เวลาที่แต่ละคนใช้ในโปรเจ็กต์สุดขีดสยองนั้นต่างกัน เพราะบางด่านต้องใช้เวลาในการสำรวจ
คนใจกล้าและเดินเร็วแบบหร่วนกวางเจี่ยนใช้เวลาน้อยกว่า แต่ถ้าเป็นคนขี้ระแวงและมัวลังเลก็จะใช้เวลานานกว่า
ขณะเดียวกัน พนักงานจะคอยจับตาดูทุกอย่างบนจอภาพผ่านกล้องวงจรปิดแบบเรียลไทม์
ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เล่นจะไม่เข้าไปชนกันเพราะบางด่านสามารถเข้าได้แค่ครั้งละคน โดยที่พวกเขาจะปล่อยผู้เล่นเข้าก็ต่อเมื่อผู้เล่นด้านในผ่านด่านนั้นไปแล้ว
อีกส่วนก็เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานจะสามารถเข้าไปช่วยผู้เล่นออกมาได้เร็วที่สุดเมื่อผู้เล่นขอยอมแพ้
“เขาคงไม่ยอมแพ้กลางทางหรอกใช่มั้ย” หร่วนกวางเจี่ยนกังวลเล็กน้อย
ทุกคนมายังที่หลบภัยเพราะอยากรอต้อนรับอาจารย์เฉียวผู้เหนื่อยล้า พออีกฝ่ายมาถึง พวกเขาจะได้เติมกำลังใจให้เพื่อที่จะเล่นเกมต่อไปได้จนจบ
แต่ก็จะดูเขินๆ หน่อยถ้าอาจารย์เฉียวทนเล่นมาไม่ถึงที่หลับภัย
เฉินคังทั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นหรอกครับ ผมปรับประสบการณ์การเล่นของสุดขีดสยองอยู่หลายครั้ง แล้วก็จำกัดการกระทำบางอย่างของพนักงานเพื่อให้ด่านแรกๆ ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ อาจารย์เฉียวถือตะเกียงสีทองเข้าไปด้วย ยังไงก็ไม่น่าจะมาไม่ถึงจุดเซฟแรก
“แต่ก็ดูจะใช้เวลานานไปหน่อย”
ระหว่างที่ทุกคนคุยกันอยู่ ประตูจุดเซฟที่สองของที่หลบภัยก็เปิดออก
ใบหน้าของเฉียวเหลียงซีดเผือด ในมือกำตะเกียงสีทองไว้แน่น เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นด้านในที่หลบภัย
ปลอดภัยแล้ว!
ทุกคงตะลึงไปตามๆ กัน พวกเขาไม่คิดว่าเฉียวเหลียงจะเข้าที่หลบภัยผ่านประตูจุดเซฟที่สองแทนที่จะเป็นจุดเซฟแรก!
จริงๆ เฉียวเหลียงอยากจะเข้าที่หลบภัยไปพักใจตั้งแต่จุดเซฟแรก
แต่สองด่านแรกนั้น ‘อ่อน’ เกินไป เขาจึงได้ใจ คิดว่าน่าจะทนต่อไปได้จนถึงจุดเซฟที่สอง
เพราะงั้นก็เลยข้ามจุดเซฟแรกไป
การตัดสินใจนี้ทำให้ท้องไส้ของเขาบิดไปมา หลังจากเล่นสองด่านถัดไปก็แทบเอาตัวไม่รอด
พอหนีออกจากห้องตรวจที่ใช้ในการทดสอบสภาพจิตแล้ว เฉียวเหลียงก็ไปโผล่ที่ห้องทดลองซึ่งมีชั้นวางของสูงวางอยู่ทั่ว บนชั้นมีโหลอวัยวะต่างๆ อย่างลูกตา ลิ้น และเหงือกแช่อยู่ในของเหลวสีเหลือง ถึงจะเป็นของปลอม แต่ก็น่ากลัวสุดๆ
ชั้นวางเหล่านั้นจัดวางเป็นเขาวงกต เมื่อเดินไปตามทางก็จะพบโต๊ะทำงานที่มีขวดยาและสารเคมีวางเกลื่อน เหมือนกับว่านักวิทยาศาสตร์โรคจิตที่กำลังทำการทดลองบางอย่างที่นี่ไม่อยู่ชั่วคราว
เฉียวเหลียงไม่กล้าอยู่ในห้องนี้นาน ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใดๆ ระหว่างคอยระแวดระวังตัวอยู่ตลอด เขาก็สอดส่องดูสถานการณ์โดยรอบไปด้วยเพราะกลัวนักวิทยาศาสตร์โรคจิตจะโผล่พรวดออกมาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงโนlวลกูดอทคoม
โชคดีที่ไม่มีปีศาจอะไรโผล่ออกมา และเขาสามารถผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
ด่านที่สองเป็นชั้นวางรองเท้าสองแถว หลังตรวจสอบอย่างละเอียดก็ไม่มีสิ่งผิดแปลกอะไร แต่พอเดินไปได้หนึ่งส่วนสามของห้อง เสียงซอมบี้ก็ดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของพนักงานทำความสะอาดจากด้านหลัง หมายจะเข้ามาจับตัวเขา
เฉียวเหลียงรีบออกวิ่งตามสัญชาตญาณ แต่ชั้นวางรองเท้ารอบๆ ก็เริ่มทยอยเปิดออกอัตโนมัติทีละชั้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ประตูตู้เหล็กตีกระแทกกันส่งเสียงปึงๆ ปังๆ ขณะที่ข้าวของร่วงกระจายลงมา
ชัดเจนว่าชั้นวางพวกนี้มีเซนเซอร์ติดอยู่ พอเดินผ่านก็จะเปิดออกอัตโนมัติส่งของด้านในออกมาหลอก จากนั้นก็กลับสู่สภาพเดิมหลังผู้เล่นเดินออกไป
ซอมบี้พนักงานทำความสะอาดที่ไล่หลังมาเดินค่อนข้างช้า มีไว้เพื่อให้ผู้เล่นกลัวล้วนๆ สิ่งที่ทำให้ตกใจจริงๆ คือชั้นวางรองเท้าที่เปิดออกอัตโนมัติเมื่อเดินผ่าน ยิ่งผู้เล่นวิ่งเร็วเท่าไหร่ ชั้นวางรองเท้าก็ยิ่งเปิดออกเร็วขึ้นเท่านั้น
พอวิ่งเร็วเข้าแล้วชั้นวางรองเท้าเปิดพร้อมกันหลายๆ ชั้นก็ยิ่งชวนตกใจเข้าไปใหญ่
ด่านที่สามเป็นห้องเรียนที่มีนักเรียนจำนวนหนึ่งนั่งสอบอยู่กับผู้คุมสอบหนึ่งคน
ผู้คุมสอบบอกให้เฉียวเหลียงนั่งลงตรงที่นั่งแถวหลังสุดและตอบคำถามบนกระดาษ แต่ระหว่างที่กำลังอ่านคำถามอยู่ นักเรียนที่นั่งอยู่ด้านหน้าทางซ้ายก็ยกมือขึ้นพร้อมบอกว่าปากกาเขียนไม่ออก ผู้คุมสอบเลยยื่นบางอย่างที่ดูเหมือนกับดักหมีซึ่งมีปากกาวางอยู่ด้านในให้
นักเรียนคนนั้นพยายามแกะกับดักแต่ระหว่างนั้นดันพลาด สองมือโดนหนีบเป็นแผลเหวอะเห็นกระดูกและเลือดพุ่ง เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่ยิ่งดิ้น กับดักก็ยิ่งหนีบแน่นขึ้น สุดท้ายข้อมือขวาก็หัก นิ้วมือสี่นิ้วหลุดออกจากมือซ้าย ก่อนที่เจ้าตัวจะสลบเหมือดลงไปกองกับพื้น
นักเรียนคนอื่นๆ กับผู้คุมสอบดำเนินการสอบไปตามปกติ ไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้น
เฉียวเหลียงรู้ว่าทั้งหมดเป็นพร็อบปลอมที่สร้างขึ้นมา แต่การแสดงของนักแสดงก็ทำได้สมจริงมากจนเขากลัวแทบจิตหลุด
หลังจากรออยู่พักหนึ่ง เฉียวเหลียงก็พบว่าตัวเองออกจากด่านนี้ได้แล้ว แต่นักเรียนที่ล้มลงไปกองเมื่อครู่ขวางทางอยู่ เขาจึงต้องก้าวขาข้าม ‘ศพ’ ไป
ด่านสี่มีพื้นที่กว้างมาก กว้างกว่าด่านอื่นๆ ที่ผ่านมา ด่านนี้เป็นห้องครัวขนาดใหญ่กว่าปกติที่มีการจัดวางซับซ้อน ทัศนวิสัยในห้องนี้ต่ำมาก เขาได้ยินเสียงมีดสับดังมาจากด้านหน้าตรงจุดที่สว่างที่สุดซึ่งมีประตูอยู่ตรงนั้น
แต่พอเดินเข้าไปใกล้ก็พบร่างกำยำของชายซึ่งมีหัวเป็นหมูถือมีดปังตอหั่นเนื้อ สิ่งที่เขากำลังสับอยู่คือแขนขามนุษย์ ถังที่วางอยู่รอบๆ เต็มไปด้วยเนื้อมนุษย์แดงสดชวนคลื่นไส้
เฉียวเหลียงไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ เขาถือตะเกียงเดินวนอยู่สองสามรอบแล้วพบว่าถึงห้องนี้จะกว้าง แต่ก็เหมือนมีทางออกอยู่แค่ทางเดียว ที่มืดมิดแห่งนี้เต็มไปด้วยฉากสยอง น่าจะทำไว้เพื่อคนขี้กลัวแบบเฉียวเหลียง
พอคนขายเนื้อหัวหมูเห็นเฉียวเหลียงเดินเข้ามาใกล้ เขาก็ย่อตัวลงไปตักน้ำซุปในหม้อใส่ถ้วยแล้วยื่นให้เฉียวเหลียง
โชคดีที่เป็นแค่ซุปไก่ธรรมดา
หลังจากแจ้นออกจากห้องเชือดคน ในที่สุดเฉียวเหลียงก็เห็นจุดเซฟที่สอง ซึ่งเป็นทางเข้าที่สองสู่ที่หลบภัย จึงเอื้อมไปเปิดโดยไม่ลังเล
เฉียวเหลียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นบรรยากาศในที่หลบภัย มือที่กำตะเกียงสีทองแน่นพลันคลายลง
รอดแล้ว!
ต้องบอกเลยว่าการจัดวางด่านต่างๆ นั้นร้ายกาจมาก
แต่ละด่านมีทางเชื่อมระหว่างกัน ทำให้ผู้เล่นมีเวลาได้พักหายใจ แต่ทางเชื่อมในด่านต่อๆ มาก็เริ่มน่ากลัวและคดเคี้ยวมากขึ้น
ระดับความน่ากลัวของแต่ละด่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ด่านแรกมีแค่ฉากน่ากลัว สร้างภาพให้คิดว่า ‘ปีศาจจะโผล่มาได้ทุกเมื่อ’ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกระแวง
ด่านที่สองมีซอมบี้ค่อยๆ เข้ามาใกล้จากด้านหลัง ทำให้ผู้เล่นต้องรีบวิ่งผ่านห้องที่ขนาบข้างด้วยชั้นวางรองเท้า โดยในชั้นวางเหล่านั้นมีสิ่งน่ากลัวซ่อนอยู่
ด่านที่สามเป็นการแสดงสด ถึงจะได้แค่นั่งดู แต่ความสยองก็ยกระดับไปอีกขึ้น
ด่านสี่นั้นหนักขึ้นไปอีก เพราะเริ่มให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมโดยการยื่นของให้ดื่มท่ามกลางบรรยากาศสุดสยอง
ทุกด่านไม่มีปีศาจโผล่พรวดออกมาหลอกให้ตกใจ แต่เป็นการสร้างบรรยากาศความสยอง ซึ่งค่อยๆ กดระดับความอดทนทางจิตใจของผู้เล่นลงไป
พอความอดทนใกล้จะทลายลง ผู้เล่นสามารถเข้าไปในที่หลบภัยเพื่อปรับอารมณ์สักพักได้
เฉียวเหลียงตระหนักว่าตัวเองน่าจะโดนหลอก
บ้านผีสิงนี้ไม่ได้มีระดับความสยองที่เว่อร์เกินไป
แต่ที่น่าสนใจคือพวกเขาคุมระดับความกลัวไว้ตรงจุดวิกฤต เพื่อให้ผู้เล่นทนเล่นต่อไปได้แม้จะกลัวแทบขาดใจ!