หนึ่งชั่วโมงต่อมา เฉียวเหลียงก็มาถึงหน้าทางเขาสุดขีดสยองอีกครั้งพร้อมกับตะเกียงสีทองในมือ
ทุกคนต่างให้กำลังใจเขา
“ลุยเลยอาจารย์เฉียว นายทำได้!”
“ไม่ต้องกลัว พอชินก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว”
“ถ้าคนขี้กลัวอย่างผมยังผ่านไปได้ คุณก็ทำได้เหมือนกัน!”
ชัดเจนว่าประโยคสุดท้ายออกมาจากปากหร่วนกวางเจี่ยน เฉียวเหลียงกลอกตา ไม่เชื่อคำพูดนั้น
หลังออกจากวงกตทองคำ เฉียวเหลียงก็ตรงไปบ้านฝันสยองเพื่อเข้าไปท้าทายอีกครั้ง
รอบนี้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคยเข้าไปแล้วรอบหนึ่งเลยเตรียมตัวเตรียมใจได้พร้อมกว่า หรือเป็นเพราะได้กำลังใจจากทุกคนและการตอกย้ำด้วยคำว่ามิตรภาพจากบอสเผยที่โทรมาหา
ถึงจะพลาดขั้นตอนเล็กน้อยไปสองสามอย่าง แต่ก็ถือว่าเขาผ่านภารกิจทุกอย่าง และได้รับสิทธิ์เข้าเล่นสุดขีดสยองจากพนักงาน
จากนั้นเขาจึงมาหยุดอยู่ที่หน้าทางเข้าสุดขีดสยอง พร้อมเผชิญหน้ากับชะตากรรมของตัวเอง
เขากลัวมาก แต่ก็ทำได้แค่จับตะเกียงสีทองในมือแน่น เหมือนความเป็นความตายขึ้นอยู่กับเจ้าสิ่งนี้
“ผมจะเข้าไปแล้วนะ! รอผมคว้าชัยชนะกลับมาได้เลย!”
เฉียวเหลียงโบกมือลาทุกคนแล้วเดินเข้าไปในสุดขีดสยอง
พอเข้าไปด้านใน ทัศนวิสัยก็ลดลงไปอย่างเด่นชัด ตามผนังที่หลุดลอกมีโคมไฟส่องแสงสีเหลือสลัวๆ โปสเตอร์เก่าจนเปื่อย บนผนังเหมือนจะมีคราบเลือดกับก้อนของเหลวเหนียวหนืดสีขาว ทุกอย่างประกอบรวมกันเป็นบรรยากาศชวนขนลุกสุดๆ
หญิงสาวในชุดพยาบาลสวมหน้ากากเลือดอาบท่วมตัวนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเก่าของโรงพยาบาล สองมือซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ หัวก้มต่ำทำให้ผมปรกบังหน้า หญิงสาวคนนั้นเนียนเข้ากับฉากรอบๆ จนเฉียวเหลียงไม่ทันสังเกตเห็นในตอนแรก เขาเกือบจะคิดว่าเธอเป็นพร็อบที่ทำออกมาเป็นศพ
แต่พอมองไปรอบๆ เขาก็พบว่าโต๊ะที่เธอนั่งอยู่เหมือนจะเป็นโต๊ะแผนกต้อนรับที่เขาต้องเดินผ่าน
เฉียวเหลียงเปิดตะเกียงเงียบๆ แล้วเดินไปที่โต๊ะ จังหวะที่เขากำลังจะเอ่ยปากถามอะไรออกไป พยาบาลก็ลุกขึ้นยืนตัวแข็ง!
ดวงตาเธอแดงก่ำไปด้วยเลือด บนหน้าผากมีแผลยาวลึก มีเลือดไหลผ่านหน้ากาก ซึ่งน่าจะออกมาจากหน้าผาก เฉียวเหลียงสังเกตเห็นรอยกัดบนคอของเธอได้ชัดเจน ซึ่งแผลนั้นยังมีเลือดไหลซึมออกมา
เขาสูดหายใจลึก
แค่โต๊ะแผนกต้อนรับก็ทำออกมาได้ดีขนาดนี้แล้ว
สาวซอมบี้หลังโต๊ะไม่ได้พูดอะไร แต่ยื่นมือออกมาอย่างแข็งทื่อ
แม้แต่แขนยังผ่านการแต่งด้วยเครื่องสำอาง ทำให้ผิวดูเน่าเปื่อย แถมยังมีรอยแผลสีแดงเข้มที่มีเลือดไหลซึมออกมาด้วย
เฉียวเหลียงนิ่งไปและจ้องเธออยู่นาน หลังจากนั้น เขาก็รีบยื่นตั๋วสิทธิ์เข้าเล่นที่ได้จากบ้านฝันสยองให้เธอ
บนตั๋วมีรูปอยู่ด้วย พอสาวซอมบี้ยืนยันว่าเป็นเฉียวเหลียง เธอก็หยิบเอกสารปฏิเสธความรับผิดชอบจากโต๊ะแล้วยื่นให้เขาเซ็น
เอกสารปฏิเสธความรับผิดชอบมีรายละเอียดมากมาย ถึงขั้นถามว่าเฉียวเหลียงมีโรคเรื้อรังอย่างโรคหัวใจรึเปล่า ซึ่งเขาต้องตอบตามความเป็นจริง
เฉียวเหลียงติ๊กตัวเลือกต่างๆ เซ็นชื่อ แล้วยื่นกลับให้หญิงสาว
เมื่อเทียบกับบ้านผีสิงทั่วไป โฮสเทลเขย่าขวัญนั้นปลอดภัยกว่า เพราะระดับความน่ากลัวของทั้งสามโปรเจ็กต์จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น คนที่เล่นบ้านฝันสยองผ่านนั้นพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหัวใจและสภาพจิตทนความน่ากลัวได้ในระดับหนึ่ง จึงลดทอนโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันลงไปได้มาก
สาวซอมบี้รับเอกสารกลับด้วยท่าทางแข็งทื่อ พอตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็เก็บเอกสารไป หลังจากนั้นก็ค่อยหยิบกุญแจมาวางบนโต๊ะ
เฉียวเหลียงเอื้อมไปหยิบอย่างกล้าๆ กลัวๆ “มีอะไรที่ผมต้องระวังเป็นพิเศษมั้ยครับ”
สาวซอมบี้ไม่ตอบอะไร แต่จ้องกลับมาด้วยสายตาว่างเปล่าที่ดวงตาแดงก่ำไปด้วยเลือด
เฉียวเหลียง “…”
เขาถือกุญแจไปเปิดประตูเงียบๆ แล้วเดินเข้าไปในโถงทางเดินไฟสลัว
เฉียวเหลียงได้ยินเฉินคังทั่วเล่าว่าสุดขีดสยองเป็นโปรเจ็กต์ในอาคารโรงงานขนาดใหญ่ ทางเดินแคบแสงสลัวที่เขากำลังเดินอยู่น่าจะเชื่อมด่านต่างๆ ไว้ด้วยกันเป็นโครงสร้างแบบวงแหวน
ถึงทางเดินยาวจะดูน่ากลัวและหลงยุค แต่ก็เทียบไม่ได้กับความน่ากลัวที่เขาได้สัมผัสที่บ้านฝันสยอง
ชัดเจนว่า สุดขีดสยองจะค่อยๆ น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แต่คนที่ผ่านบ้านฝันสยองมาแล้วสามารถใช้เวลาค่อยๆ ปรับตัวในช่วงด่านแรกๆ ของโปรเจ็กต์นี้ได้ และไม่รู้สึกถอดใจไปก่อนตั้งแต่ช่วงต้น
ที่สุดปลายทางเดินมีประตูอีกบาน รอบนี้ไม่ต้องใช้กุญแจ แต่ก็ต้องดึงเข้าหาตัวเหมือนประตูบานเมื่อกี้
ดูเหมือนว่าประตูทุกบานของที่นี่เป็นแบบดึง ไม่ใช่ผลัก
เฉียวเหลียงยื่นมือไปจับกลอนประตูเหล็กสนิมเขรอะสีดำพร้อมเตรียมใจกับสิ่งที่จะได้พบเจอ
เขารู้ดีว่าการวางจุดหลอกแบบตุ้งแช่ไว้ตรงทางเข้าเลยเป็นวิธีที่ใช้ในบ้านผีสิงหลายๆ แห่ง และการจัดวางการหลอกแบบนี้ไว้หลังประตูแบบดึงเปิดนั้นง่ายกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่าเปิดประตูไปแล้วจะเจอกับอะไร
แต่หลังจากเตรียมตัวเตรียมใจได้แล้วดึงประตูเปิด ก็ไม่ได้มีศพร่วงมาจากด้านบน ไม่มีอะไรน่ากลัวโผล่มา เป็นห้องที่สว่างตามปกติ
ผนังและกระเบื้องพื้นราบในห้องเป็นสีขาวเหมือนห้องตรวจในโรงพยาบาลทั่วไป ภาพทิวทัศน์สีน้ำมันชวนผ่อนคลายหลายภาพแขวนอยู่บนผนัง มีโต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว และเตียงโรงพยาบาลหนึ่งหลัง ข้างๆ เตียงมีเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
เฉียวเหลียงรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน…และสับสนไปหมด
อะไรเนี่ย nᴏveʟɢu.ᴄᴏᴍ
เกือบจะนึกว่าตัวเองถูกส่งไปเกิดใหม่ที่ต่างโลกแล้ว
เขามองตะเกียงสีทองในมือที่ดูไม่เข้ากับสถานที่สุดๆ
หมอผู้หญิงสวมเสื้อกาวน์สีขาวยิ้มให้เขาพร้อมเอ่ยทัก “สวัสดีค่ะ
“ดิฉันเป็นหมอที่นี่ ก่อนจะไปต่อ ดิฉันต้องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและทดสอบสภาพจิตของคุณก่อน”
เฉียวเหลียงนอนลงบนเตียงโรงพยาบาล จากนั้นหมอก็เช็ดหน้าอกตรงจุดที่จะตรวจคลื่นหัวใจด้วยแอลกอฮอล์เหมือนการตรวจทั่วไปที่ต้องเจอในโรงพยาบาล
หมอผู้หญิงคนนี้ดูไม่ได้แก่เท่าไหร่ น่าจะอายุประมาณสามสิบ ถึงจะไม่สวย แต่ใบหน้าของเธอก็เปื้อนยิ้มอยู่ตลอด ทำให้เฉียวเหลียงรู้สึกสบายใจ
ไม่นานการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็เสร็จเรียบร้อย ผลการตรวจจะได้ในอีกสองนาที
เฉียวเหลียงเอื้อมไปหยิบทิชชูมาเช็ดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย จากนั้นก็เดินตามหมอไปที่โต๊ะ
“ช่วยดูรูปพวกนี้แล้วบอกดิฉันว่าคิดอะไรขึ้นมาเป็นอย่างแรก”
เฉียวเหลียงคุ้นตาภาพพวกนี้ มันเหมือนภาพรอยหยดหมึกซึ่งเป็นแบบทดสอบวัดบุคลิกภาพชนิดฉายภาพจิต ผู้ถูกทดสอบต้องดูรูป จากนั้นคำตอบ เวลาที่ใช้ในการโต้ตอบ เวลาที่หยุดนิ่งไป และการกระทำโดยไม่รู้ตัวจะสะท้อนบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจของผู้ทดสอบออกมา
เฉียวเหลียงไม่รู้รายละเอียดเรื่องนี้มากนัก เขาจึงได้แต่ตอบคำถามไปตามสิ่งที่แวบขึ้นมาในหัวเป็นอย่างแรก
ข้อดีที่เด่นชัดที่สุดของแบบทดสอบวัดบุคลิกภาพชนิดฉายภาพจิตคือจุดประสงค์เบื้องหลังคำถามนั้นถูกซ่อนไว้ เพื่อที่จะได้คำตอบตามจริงมากที่สุด
แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพทั่วไปมักมีคำถามไร้สาระอย่าง ‘คิดว่าตัวเองป่วยทางจิตหรือไม่’ ซึ่งย่อมกระทบกับความแม่นยำของการทดสอบเป็นธรรมดา
กลับกัน วิธีฉายภาพจิตนั้น ผู้ทดสอบ (หมอ) ต้องมีความรู้ความชำนาญทางวิชาชีพ ปกติแล้วต้องใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีในการทำแบบทดสอบภาพรอยหยดหมึก แต่แบบทดสอบแบบนั้นใช้กับคนไข้ที่มีอาการป่วยทางจิตเป็นหลัก
แบบทดสอบที่เฉียวเหลียงกำลังประเมินอยู่มีไว้เพื่อตรวจสอบสภาพจิตใจของผู้เล่นเฉยๆ จึงไม่ได้ใช้เวลานาน ประมาณสองนาทีก็เสร็จ
หมอเก็บภาพไปก่อนส่งยิ้มให้พลางพยักหน้า “โอเคค่ะ ปล่อยใจให้สบาย เดี๋ยวดิฉันไปดูผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสักครู่นะคะ”
หมอเดินไปหยิบชาร์ตคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วกลับมานั่งลงบนที่นั่งตรงข้ามเฉียวเหลียงอีกครั้ง
“ยินดีด้วยค่ะ ผลออกมา…”
เฉียวเหลียงดีใจมากเมื่อรู้ว่าตัวเองเล่นโปรเจ็กต์ต่อได้ แต่ในจังหวะนั้น หมอก็ล้มหงายหลังไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พร้อมกันนั้นก็มีเสียงสนั่นดังขึ้นและไฟทุกดวงในห้องดับหมด!
ห้องที่ตอนแรกเป็นสีขาวโพลนพลันเต็มไปด้วยภาพสุดสยองละลานตา มีทั้งใบหน้ากรีดร้องแสนน่าเกลียด แขนบิดเบี้ยว และรอยมือเลือดหนาเตอะ… ภาพสุดสยองหลากสีสันส่องแสงจางๆ รายล้อมอยู่รอบเฉียวเหลียง!
ภาพสีน้ำมันทิวทัศน์เขียวชอุ่มจู่ๆ ก็กลายเป็นสีแดงเลือด
แม้แต่ชาร์ตผลการทดสอบคลื่นไฟฟ้าหัวใจของเฉียวเหลียงก็มีรอยมือเลือดเรืองแสงรูปทรงไม่สมบูรณ์ติดอยู่ด้านหลัง!
ชัดเจนว่าห้องนี้มีการเตรียมการไว้พร้อมก่อนแล้ว ภาพทั้งหมดวาดไว้บนผนังโดยใช้หมึกใสที่เรืองแสงในที่มืด พอไฟดับก็สามารถเห็นได้ชัดเจน!
ขณะเดียวกันเสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังขึ้นรอบเฉียวเหลียง มีทั้งเสียงแหลมสูงและแหบต่ำปะปนผสมก้องอยู่ทั่วห้อง ทำเอากำแพงจิตใจของเฉียวเหลียงแทบทลายลงทันที!
เฉียวเหลียงร้องลั่นพร้อมลุกยืน พยายามวิ่งหนี แต่ก็สะดุดเข้ากับอะไรสักอย่าง โชคดีที่จับขอบโต๊ะไว้ได้ทันเลยไม่ล้มไปกองกับพื้น
ความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจับข้อเท้าไว้แล้วฉุดลากทำเอาเขากลัวจนสติแทบหลุด เขาสะบัดข้อเท้าตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่เป็นผล
ในจังหวะนั้น เสียงหัวเราะเยาะเย้ยรอบตัวก็ดังขึ้นอีกระดับ กลายเป็นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งก็มีเสียงหอบหายใจและกระแอมกระไอเคล้าไปกับเสียงหัวเราะด้วย
ท่ามกลางความวุ่นวาย เฉียวเหลียงพยายามคลำหาสิ่งที่รั้งเข้าไว้ โชคดีที่เป็นแค่บ่วงเชือกคล้องรอบข้อเท้า ปลายอีกข้างผูกไว้กับโต๊ะ ส่วนหมอที่ล้มหงายหลังไปเมื่อครู่นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชัดเจนว่าโต๊ะกับเก้าอี้นั้นเป็นของประกอบฉาก ขาทั้งสี่ข้างของโต๊ะยึดกับพื้นเอาไว้ ส่วนเก้าอี้ที่หมอนั่งมีกลไกซ่อนอยู่ด้านใต้
แต่เฉียวเหลียงไม่มีเวลาพอที่จะคิดเรื่องพวกนี้ เขายกขาอย่างลนลานพยายามทำให้ข้อเท้าหลุดออกจากบ่วงเชือก สัญชาตญาณแรกของเขาคือวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เขาพยายามไม่มองภาพชวนสยองบนผนังขณะวิ่งไปทางเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจข้างเตียงเพื่อหยิบตะเกียงสีทอง
เจ้านี่คือตัวช่วยชีวิต!
แต่ในจังหวะนั้นก็มีมือเปื้อนเลือดโผล่ออกมาจากใต้เตียง!
เฉียวเหลียงตกใจสุดขีด เขาวิ่งไปตรงประตูทางเข้าอย่างตื่นตระหนก แต่ประตูล็อกอัตโนมัติไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหนก็เปิดไม่ออก!
อสูรใต้เตียงกำลังจะคืบคลานออกมาได้ทุกชั่วขณะ เฉียวเหลียงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิ่งไปยังอีกประตูที่เป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่
ชัดเจนว่าตอนที่เขานอนรอตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจอยู่บนเตียง ‘อสูร’ ตนนี้ก็เร้นกายอย่างเงียบเชียบที่ด้านใต้ รอจังหวะที่เขาจะกลับมาหยิบตะเกียงสีทอง
เฉียวเหลียงเปิดประตูอย่างลนลานเพื่อวิ่งหนีออกไป แต่ตอนที่ดึงประตูเปิด ศพก็ร่วงมาจากผนังห้องอีกฝั่งโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ!
จุดนั้นเป็นมุมเล็กๆ หลังจากเปิดประตู เฉียวเหลียงต้องเลี้ยวไปทางขวา แต่ ‘ศพ’ แขวนอยู่บนผนังฝั่งตรงข้ามประตู บ่วงเชือกรัดแน่นอยู่ที่คอ ทำให้ศพลอยค้างกลางอากาศ ศพนั้นเป็นของหมอผู้หญิงที่ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้เฉียวเหลียงเมื่อครู่
ร่างของ ‘เธอ’ โชกไปด้วยเลือด บนหน้ามีรอยยิ้มซึ่งไม่สามารถอธิบายได้อยู่
เห็นได้ชัดว่าเป็นตุ๊กตาที่สร้างขึ้นโดยใช้หมอผู้หญิงคนนั้นเป็นต้นแบบ แต่ก็ทำออกมาได้สมจริงมาก พออยู่ภายใต้แสงสลัวก็ยิ่งทำให้เฉียวเหลียงใจหายวูบ
เขาใช้เวลาตั้งสติหลังตื่นตกใจอยู่สองวินาที ก่อนจะรีบถือตะเกียงสีทองวิ่งหนีไป!