วันพุธที่ 6 เมษายน
เผยเซียนดิ้นรนอยู่สองวันก็คิดพล็อตหลักของเกม ‘ดิ้นรน’ จนเป็นรูปเป็นร่างได้
เส้นเรื่องของเกมแบ่งออกเป็นช่วงชีวิตใหญ่ๆ ได้คร่าวๆ ดังนี้ ตอนเกิด ตอนเข้าโรงเรียน ตอนสอบ ตอนทำงาน ตอนมีความรัก ตอนแต่งงาน ตอนซื้อบ้าน ตอนมีลูก และวิกฤติวัยกลางคน
ทั้งหมดมีเพียงเท่านั้น ทั้งเวอร์ชันคนจนและคนรวยต้องผ่านช่วงชีวิตเหมือนกัน แต่พวกเขาจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างเช่น คนรวยมีพี่เลี้ยงคอยดูแลตั้งแต่เกิดจนเข้าโรงเรียน พอโตขึ้นก็จะวิ่งเล่นอย่างมีความสุขในคฤหาสน์ เล่นของเล่นราคาแพง ที่บ้านจ้างครูพิเศษระดับแนวหน้ามาเตรียมความพร้อมให้ก่อนเข้าอนุบาลด้วย
ส่วนคนจนนั้นเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ไม่ได้เลย พวกเขาทำได้แค่นอนดูทีวีและอ่านหนังสือภาพอยู่ที่บ้าน พอพ่อแม่ออกไปทำงานก็ต้องเล่นตามลำพังคนเดียว
ในช่วงชีวิตอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน ใครก็เดาได้ไม่ยากว่าเส้นเรื่องคร่าวๆ จะเป็นยังไง
คนจนไม่ว่าจะทำอะไรก็จะผิดไปหมด ในขณะที่คนรวยอยากทำอะไรก็ไม่มีใครหน้าไหนขัดขวางได้
เผยเชียนกำลังคิดว่าจะเพิ่มแถบแสดงข้อมูลเชิงปริมาณลงไปในเกมด้วย เพื่อให้ผู้เล่นเห็นความแตกต่างระหว่างสองเวอร์ชันชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น แถบแสดงค่าความรู้ปัจจุบัน (ความรู้ทางวิชาชีพ ความเข้าใจทางการเงิน และอื่นๆ) แถบแสดงค่าการจัดการอารมณ์ (การรับมือกับคนอื่น การเข้าสังคม และอื่นๆ) แถบแสดงค่าสุขภาพจิต ค่าความร่ำรวยทางวัตถุบางอย่าง และอื่นๆ…
ข้อมูลเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อตัวเลือกของผู้เล่นอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น ความสามารถในการจัดการทรัพย์สินของคนรวยจะช่วยเพิ่มค่าความร่ำรวยทางวัตถุของตนเองได้เร็วยิ่งขึ้น ความสามารถในการจัดการอารมณ์ก็จะทำให้เขามีโอกาสในการสานสัมพันธ์กับชนชั้นสูงได้มากกว่า ส่วนค่าสุขภาพจิตก็จะทำให้เขาปรับเปลี่ยนอารมณ์ในการทำงานได้ง่ายขึ้น แต่หากเครียดเกินไปก็จะทำให้ปัญหาตามมา…
ทว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น
ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้กระทบกับแค่บางเส้นเรื่อง แต่ไม่กระทบกับผลลัพธ์ตอนจบอยู่ดี
เหตุผลที่เผยเชียนออกแบบแบบนี้ก็ง่ายนิดเดียว ถ้าระบบการเล่นยอมให้ผู้เล่นเลือกตอนจบของตัวเองได้ เขาจะทำให้คนเกลียดเกมนี้ได้ยังไง
ถ้าเขียนเกมให้คนจนพลิกชีวิตได้ ส่วนคนรวยหลบหลีกจากชะตาที่ต้องถูกฆ่า จะเป็นตอนจบที่ดีจริงๆ เหรอ
เขาไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด!
ยิ่งกว่านั้นแนวคิดที่ว่า ‘ผู้เล่นมีตัวเลือกก็จริง แต่ตอนจบถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว’ คือแนวคิดที่ทุกคนในอุตสาหกรรมเกมมองว่าล้มเหลวที่สุด เกมส่วนใหญ่ที่ทำตามแนวคิดนี้ล้วนโดนวิจารณ์ยับทุกราย
เกมจะดำเนินไปจนเข้าสู่วัยกลางคนซึ่งอยู่ที่ราวๆ 50 ปี
อย่างที่สุภาษิตโบราณว่าไว้ อายุ 30 มุ่งมั่นตั้งตัว อายุ 40 หมดความลุ่มหลง อายุ 50 รู้ชะตาฟ้า[1]
สำหรับเผยเชียนแล้ว 50 ปีเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดในการปิดฉากชีวิตผู้เล่นคนรวย
เร็วไปกว่านั้นก็มีอะไรให้เล่นน้อยเกินไป ช้าไปกว่านั้นก็จะไม่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเกลียดชังเกมนี้
เศรษฐีวัย 50 ปีที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ การงานเป็นไปได้สวย มีมาตรฐานการครองชีพที่พอดี หลายคนมีชีวิตคู่ที่มีความสุข และมีลูกๆ ที่ฝากความหวังได้ การตายในช่วงอายุนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นรับไม่ได้มากที่สุดแล้ว
สำหรับคนจน…ปกติอายุขัยของพวกเขาก็อยู่ที่ประมาณ 50 ปีอยู่แล้ว เล่นๆ ไปก็จะเริ่มมองเห็นว่าชีวิตของตัวเองนั้นไม่ต่างจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ วัฏจักรแห่งความยากจนเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง
พูดง่ายๆ คือเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดที่จะปิดฉากเกมนี้เหมือนกัน
แน่นอนว่านอกจากช่วงเวลาสำคัญเหล่านี้แล้ว ยังมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันแทรกเข้ามาระหว่างเล่นด้วย
เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ โรคภัยไข้เจ็บ การกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน โดนหลอกตอนจะซื้อบ้าน ภัยธรรมชาติ และอื่นๆ
สถานการณ์ฉุกเฉินเหล่านี้เปลี่ยนวิถีของเกมไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และในขณะเดียวกันยังแสดงให้เห็นช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าพวกเขามีความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงต่างกันขนาดไหนเมื่อต้องเผชิญกับเหตุสุดวิสัยในชีวิต
เผยเชียนตั้งใจว่าครั้งนี้จะไม่เพิ่มเสียงบรรยายลงไป หลังเรียนรู้ความผิดพลาดจากกรณีเกมนักออกแบบเกม
เนื้อหาในเกมจะต้องไม่สร้างอารมณ์ร่วมหรือมีสีสันเด่นชัด บทสนทนาและพฤติกรรมทั้งหมดของตัวละครจะต้องสมจริงที่สุด และไม่ชี้นำให้ผู้เล่นเกิดปฏิกิริยาจิตวิทยาย้อนกลับ
ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เล่นคิดเยอะเกินไปว่ามีเรื่องราวอะไรอยู่เบื้องหลังเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้น เผยเชียนจึงให้ตัวละครคนจนกับคนรวยมีชีวิตของใครของมัน ไม่มีเส้นเรื่องที่มาตัดผ่านกันเลยแม้แต่น้อย
ชายไร้บ้านที่มาปลิดชีพคนรวยในตอนจบก็ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับคนจนในอีกเวอร์ชัน
ชายไร้บ้านคนนี้ไม่ใช่ชายยากจนจิตใจบริสุทธิ์อย่างที่หลายคนคิดภาพไว้ เขามีมือมีเท้าที่ใช้งานได้ปกติ แต่แค่ขี้เกียจและใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ที่เขาอยากฆ่าคนรวยก็เพราะรู้สึกอิจฉาเฉยๆ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลสูงส่งว่าทำไปเพราะถูกกดขี่แต่อย่างใด
คนจนมีโอกาสได้เจอคนที่รวยกว่าก็จริง แต่เจ้านายของเขาก็ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับตัวละครหลักในเวอร์ชันคนรวยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ได้ถูกปลูกฝังความคิดให้ต้องต่อต้านแต่อย่างใด
เผยเชียนไม่ได้อยากให้ผู้เล่นตีความไปเองว่า ‘คนรวยกดขี่คนจน’
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งคำถามสำคัญ
จะทำยังไงไม่ให้อาจารย์เฉียวผู้น่ารำคาญตีความเกมนี้เกินจริงอีก
เผยเชียนคิดแล้วคิดอีกถึงเรื่องนี้ จนสุดท้ายเขาก็ได้คำตอบ
ก็แค่ออกแถลงอย่างเป็นทางการ ขุดหลุมฝังให้เขาจมดินไปเลย!
ใครจะไปฟังการตีความของแก ในเมื่อฉันอธิบายไปตั้งแต่แรกจนหมดแล้ว แกจะเล่นงานฉันลับหลังได้ยังไง ถ้าไม่มีใครมาเสียเวลาฟังแกตั้งแต่แรก
เผยเชียนพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าอาจารย์เฉียวจะตีความเกมนี้จากแง่มุมไหน ต้องไม่มีอะไรนอกเหนือจากประเด็นความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวย ทฤษฎี Matthew Effect การกระจายความมั่งคั่งในสังคมที่ไม่สมเหตุสมผล และระบบชนชั้นที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าสมองของเขาทำงานพิสดารกว่านี้อีกหน่อย ก็อาจวิเคราะห์ไปถึงการที่คนจนขาดความเข้าใจทางการเงินและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล รวมถึงวิเคราะห์ว่าทำไมคนรวยจึงไม่มีวันเข้าใจความชั่วร้ายของวัฏจักรชีวิต แม้จะต้องตกต่ำจนถึงขีดสุดก็ตาม…
ยังไงประเด็นช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยก็เป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงกันทั่วทั้งโลกอยู่แล้ว ถ้าอยากจะแตกประเด็นนี้ออกไปก็คงมีหัวข้อให้พูดถึงอีกไม่รู้จบ
เผยเชียนจึงตั้งใจจะแสดงจุดยืนต่อปัญหานี้ให้ชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวเกม
เขาจะย้อนรอยอาจารย์เฉียว อาจารย์เฉียวจะได้ไม่มีที่ไป!
แน่นอนว่าเผยเชียนไม่ได้โง่จนย้อนกลับมาแทงข้างหลังตัวเอง เขาต้องการแถลงถึงประเด็นนี้อย่างเป็นทางการ แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการเดียวกับที่อาจารย์เฉียวทำแน่นอน
แม้หลักการให้เหตุผลจะเหมือนกัน แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่วิธีสื่อสาร
การเทียบเคียงด้วยสุภาษิตโบราณ เพื่อจงใจเพิ่มน้ำหนักและความลุ่มลึกให้ประเด็นที่จะสื่อสารแบบที่อาจารย์เฉียวทำนั้นดึงดูดใจได้ดีและทำให้คนหลงเชื่อได้ไม่ยาก
แต่เผยเชียนตั้งใจจะใช้ภาษาที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาเพื่อพูดถึงประเด็นนี้ เป้าหมายของเขาคือทำยังไงก็ได้ให้มันออกมาฟังดูน่าเบื่อที่สุด
ดีไม่ดีมันอาจช่วยชี้นำให้ผู้เล่นมีภาพจำต่อเกมแบบผิดๆ ได้ด้วยว่า ผู้สร้างเกมมีตอนจบสองแบบเพื่อตั้งใจให้ผู้เล่นรู้สึกว่า ‘ระบบชนชั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้’ หรือ ‘เราไม่มีอำนาจเหนือโชคชะตา’ เป็นต้น
เหมือนเล่าเรื่องตลกอยู่นั่นแหละ
อาจารย์เฉียวเองก็เล่าเรื่องตลก เต้นรำ กรีดร้อง แหกปากไปเรื่อยเหมือนกัน ตอนแรกเขาจะสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้ผู้ชมลุ้นจนอกแทบแตกตาย ก่อนจะเฉลยคำตอบให้ฟัง ซึ่งก็ได้ผลดีเยี่ยมเลยทีเดียว
แต่เผยเชียนไม่จำเป็นต้องเล่นจำอวดหน้าม่านแบบนั้น เขาแค่อยากพูดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ
พอทำอย่างนี้ ผู้ชมก็จะเข้าใจประเด็นทุกอย่างชัดเจน ดังนั้นไม่ว่าอาจารย์เฉียวจะสร้างบรรยากาศหรือความฉงนฉงายใดๆ ผู้เล่นก็จะไม่ประหลาดใจกับประเด็นนี้อีกต่อไป!
เผยเชียนรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองจะทำ ไม่ต่างกับการชิงประกาศตั้งแต่หน้าแรกของหนังสือการ์ตูนว่าใครเป็นฆาตกร เขาจะไม่ยอมให้คลิป ‘ผลงานเทพสร้าง’ ของอาจารย์เฉียวได้หน้าจากเกมของเขาอีก!
ยิ่งเผยเชียนคิดเรื่องนี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอัจฉริยะที่พอใจกับพรสวรรค์ของตัวเองขึ้นเท่านั้น!
เมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ เผยเชียนก็ส่งเรื่องย่อไปให้หูเสี่ยนปินขยายเรื่องต่อ ɴᴏᴠᴇʟɢᴜ.ᴄᴏᴍ
ระหว่างนั้นตัวละครในเกมแต่ละตัวก็ต้องใช้นักแสดงโมชันแคปเจอร์คนละคนกัน แถมยังต้องเป็นชาวต่างชาติทั้งหมดด้วย พวกเขาจึงต้องเตรียมเรื่องนี้ให้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ
หลังจากโยนงานให้หูเสี่ยนปินแล้ว เผยเชียนก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก ยิ่งเกมมีปัญหาเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดีต่อเขามากขึ้นด้วยซ้ำ
ถ้าเกมออกมาดีก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ตราบใดที่ทุกคนยังเกาะเส้นเรื่องที่เขาเขียนให้อย่างแน่นหนา และไม่ออกนอกลู่นอกทาง!
…
วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน…
เผยเชียนเข้าออฟฟิศตรงเวลาหลังกินอาหารเที่ยงแล้ว เขาส่งเรื่องย่อของเกม ‘ดิ้นรน’ ไปให้หูเสี่ยนปินตั้งแต่บ่ายเมื่อวาน และยังส่งข้อความไปบอกหลินหวานเรื่องเซิฟเวอร์ในประเทศของเกม IOI รวมถึงบอกให้เธอติดต่อเฮ่อเต๋อเซิ่งแล้วด้วย
เขายังไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องเซิฟเวอร์ในประเทศของเกม IOI ยังไงดี
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรในเกมนี้ จะให้กดราคาฮีโร่และสกินลงก็ยากเกินไป บริษัทลงทุนหยวนเมิ่งไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรเรื่องนี้มากนัก เพราะพวกเขาถือหุ้น Finger Games แค่ 20% เท่านั้น
ถ้ามองจากรูปแบบการทำเงินอย่างเดียว เกม IOI นั้นไม่ได้เป็นมิตรเลยเมื่อเทียบกับเกม GOG เพราะฮีโร่ในเกม GOG แจกฟรีทั้งหมด ส่วนราคาสกินก็ถูกกว่าของ IOI หลายเท่าตัว
แต่เผยเชียนก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญอะไร ยังไงตอนนี้ประเทศจีนก็มีคนเล่น IOI อยู่แล้ว ฐานผู้เล่นของเกมนี้ค่อนข้างดีทีเดียว
สำหรับผู้เล่น ปัญหาใหญ่ที่สุดไม่ใช่เรื่องราคา แต่เป็นเรื่องความเร็วการเชื่อมต่อต่างหาก
ขนาดใช้โปรแกรมเร่งความเร็วอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมต่อกับเซิฟเวอร์ต่างชาติแล้ว เกมก็ยังกระตุกเยอะอยู่ดี การจะสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมจากประเทศอื่นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ผู้เล่นเหล่านี้จะเปลี่ยนมาเล่นเซิฟเวอร์ในประเทศทันทีที่เปิดตัว ดังนั้นการเปิดตัวเซิฟเวอร์ในประเทศของเกม IOI จึงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง ด้วยความสามารถระดับฉางหยางเกมส์ ยังไงก็สามารถออกตัวได้สวยโดยไม่ต้องเหนื่อยยากอะไรมาก
หลังจากมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้แผนกเกมทั้งสองเป็นการชั่วคราวเรียบร้อยแล้ว เผยเชียนก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ชะล่าใจ ยังมีอีกหลายอย่างที่รอให้จัดการต่อ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามาในห้องทำงาน เลขาซินนั่นเอง
“บอสเผยคะ นี่เป็นรายงานการสำรวจอุตสาหกรรมสถานออกกำลังกายในเมืองจิงโจว ที่บอสขอมา ถ้าบอสไม่อยากอ่านข้อมูลเยอะๆ พลิกไปดูสรุปที่หน้าสุดท้ายเลยก็ได้ค่ะ”
เผยเชียนพยักหน้าแล้วรับรายงานการสำรวจนั้นมาจากเลขาซิน
เขาพลิกหน้ากระดาษดูผ่านๆ เอกสารส่วนหน้าเต็มไปด้วยข้อมูลและศัพท์เทคนิคอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด เขาไม่เข้าใจมันสักนิด
เผยเชียนค่อยๆ พลิกไปที่หน้าสุดท้ายอย่างใจเย็น แล้วถามขึ้นระหว่างอ่านสรุปรายงานไปด้วย “ตกลงแล้วกิจการฟิตเนสในจิงโจวนี่ทำเงินได้รึเปล่า”
เลขาซินนิ่งคิดครู่หนึ่ง “ขึ้นอยู่กับว่าจะจัดการมันยังไงน่ะค่ะ”
เผยเชียนถามต่อ “หืม ขอรายละเอียดหน่อยซิ”
ดูเหมือนเลขาซินจะมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมสถานออกกำลังกายอยู่บ้าง เธอได้รับมอบหมายจากบอสเผยให้ทำงานวิจัยเชิงลึกเรื่องกิจการฟิตเนสในเมืองจิงโจว จึงรู้เนื้อหาในรายงานเป็นอย่างดี
“พูดง่ายๆ ก็คือข้อจำกัดของธุรกิจนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศเราในปัจจุบันด้วยค่ะ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีนิสัยที่จะเข้าฟิตเนสเป็นประจำอยู่แล้ว ต่อให้เป็นคนที่เข้าฟิตเนสประจำ ก็มักมีรายได้ไม่มากพอจะเอามาจ่ายค่าฟิตเนสหรู
“ธุรกิจนี้มักไปได้ดีกว่าในเมืองใหญ่ที่มีพนักงานออฟฟิศเยอะๆ ถ้าคิดจะทำธุรกิจแบบนี้ในเมืองรองอย่างจิงโจว เราย่อมเห็นปัญหามาแต่ไกลแน่นอน
“กลยุทธ์คิดค่าสมาชิกถูกๆ แบบที่ฟิตเนสหลายแห่งชอบทำเพื่อเรียกลูกค้า นั้นยากที่จะมีรายได้เพียงพอเอามาจ่ายค่าดำเนินการรายวันอย่างค่าเช่า ค่าอุปกรณ์ ค่าแรง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าระบบทำความเย็นและความร้อน ค่าระบบป้องกันอุทกภัย รวมไปถึงค่าต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเปิดฟิตเนสซักแห่งด้วย เลิกหวังที่จะคิดเรื่องกำไรได้เลย
“มองจากมุมนี้แล้ว ยังไงกิจการฟิตเนสก็ทำเงินให้เราไม่ได้ค่ะ ฟิตเนสหลายที่ต้องปิดตัวลงก็เพราะเงินไม่พอหมุน ยิ่งลงทุนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกดดันให้ต้องทำการตลาดยิ่งใหญ่ตามไปด้วย
“แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีฟิตเนสอีกหลายแห่งที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ กลยุทธ์หลักก็คือต้องขายคอร์สเทรนนิ่งส่วนตัวให้กับลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงๆ ยิ่งขายได้มากก็ยิ่งทำเงินได้มาก
“ดังนั้นเป้าหมายหลักของเทรนเนอร์ส่วนตัวในฟิตเนสทั้งหลายจึงไม่ใช่การสอนผู้เรียนให้ดีที่สุด แต่คือการสอนยังไงให้ขายคอร์สได้ต่อเนื่องเรื่อยๆ แวดวงเทรนเนอร์ก็ไม่ต่างอะไรจากแวดวงการตลาด ขายคอร์สได้เก่งเท่าไหร่ก็เป็นที่ต้องการของตลาดมากเท่านั้น
“พูดง่ายๆ ก็คือโมเดลทำเงินของฟิตเนสทุกวันนี้อยู่ที่การทำบัตรสมาชิก โดยเฉพาะสมาชิกใหม่ที่สมัครรายปี สมาชิกใหม่พวกนี้มักจะยังไม่มีนิสัยออกกำลังกายเป็นประจำ และยากมากที่จะสร้างนิสัยนั้นได้ ฟิตเนสจึงได้กำไรจากการที่คนเหล่านั้นสมัครสมาชิกแต่ไม่เข้ามาใช้งานฟิตเนส
“ในขณะเดียวกันราคาบัตรสมาชิกที่ถูกหน่อยก็จะดึงดูดลูกค้าได้มาก เมื่อถึงตอนนั้นเทรนเนอร์ส่วนตัวก็จะเริ่มร่ายมนตร์ของพวกเขา เสาะหาลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง แล้วเป่าหูให้ซื้อคอร์สส่วนตัว กำไรส่วนใหญ่ก็มาจากตรงนี้แหละค่ะ
“อันที่จริงก็มีกลยุทธ์อื่นๆ อีกเพียบ เช่น ให้ทดลองใช้งานฟรี คนรุ่นใหม่มักจะมีปัญหาด้านสุขภาพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เทรนเนอร์ส่วนตัวพวกนี้จะจงใจขยายปัญหาเหล่านั้นให้ดูน่ากลัว แล้วถือโอกาสขายคอร์สซะเลย
“จริงๆ ดิฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกค่ะ ว่าในอุตสาหกรรมนี้ยังมีฟิตเนสที่ไม่ฉวยโอกาสจากลูกค้าอยู่ แต่ส่วนใหญ่ฟิตเนสเหล่านั้นมักจะวุ่นวาย และไม่ค่อยมีมาตรฐานเท่าไหร่
“ลูกค้าหลายคนที่ใช้งานฟิตเนสเหล่านั้นมักจะเอือมระอากับความวุ่นวาย แต่เหตุผลที่มันเป็นอย่างนั้นก็ซับซ้อนและไม่อาจแก้ไขได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“บอสเผยค่ะ ถ้าบอสอยากลองจับธุรกิจนี้ดู ดิฉันเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อทั้งอุตสาหกรรมเลยล่ะค่ะ แต่บอสก็ต้องพิจารณาถึงปัญหาที่คาราคาซังพวกนี้ให้ดีด้วยนะคะ
“การสร้างฟิตเนสหรูที่มีจรรยาบรรณขึ้นมา แม้จะเป็นบอสเผยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอนค่ะ…”
……………….
[1] สุภาษิตโบราณนี้ตัดทอนมาจากคัมภีร์หลุนอวี่ของนักปราชญ์ชื่อดังอย่างขงจื่อ ซึ่งสุภาษิตทั้งหมดกล่าวไว้ว่า ‘อายุ 15 หมั่นเพียรเรียนรู้ อายุ 30 มุ่งมั่นตั้งตัว อายุ 40 หมดความลุ่มหลง อายุ 50 รู้ชะตาฟ้า อายุ 60 รับฟังไม่หวั่นไหว อายุ 70 ชีวิตเสรี ปล่อยไปตามครรลอง’