หลังจากปรึกษาหารือกับระบบอย่างปรองดองและเป็นมิตร เผยเชียนก็ตัดสินใจได้สองทิศทาง
ที่พักและยิม
จริงๆ เถิงต๋ามีสวัสดิการสำหรับสองเรื่องนี้แล้ว โดยมีเงินสนับสนุนค่าเช่าบ้านและให้เบิกจ่ายค่าสมาชิกยิมกับคอร์สเทรนส่วนตัว
สวัสดิการในปัจจุบันไม่ตอบความต้องการของบอสเผยอีกต่อไป
เผยเชียนคิดแค่ว่า เขาทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ แต่กลับผลาญเงินได้ทีละนิดทีละหน่อย!
แน่นอนว่าถ้าพนักงานทุกคนช่วยแบ่งเบาภาระนี้ได้ก็จะดีมาก แต่ก็สามารถช่วยได้อย่างจำกัด
เผยเชียนอยากสร้างตึกใหญ่ไว้เป็นที่พักให้พนักงาน แต่ก็ชัดเจนว่าระบบไม่ยอมให้ผ่าน
ดังนั้นเผยเชียนเลยเปลี่ยนมาเป็นงบสนับสนุนค่าเช่าบ้านแทน
พอเถิงต๋ากรุ๊ปเติบโตและทำเงินได้มากขึ้น ระบบก็ค่อยๆ ผ่อนปรนข้อจำกัดเรื่องสวัสดิการพนักงาน
เขายังสร้างที่พักดีๆ ให้พนักงานไม่ได้ แต่ก็ดูเหมือนจะใช้วิธีอื่นมาจัดการแทนได้
เผยเชียนพบว่าระบบมีข้อจำกัดเรื่องวิธีการใช้เงินแตกต่างกันไป
‘การทำการกุศล’ มีข้อจำกัดมากที่สุดและมีโควตาไม่มากในแต่ละรอบบัญชี
‘สวัสดิการบริษัท’ มีข้อจำกัดน้อยลงมาหน่อย มาตรฐานจะสูงขึ้นเมื่อบริษัทเติบโตขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมพนักงานทุกคน
‘เงินเบิกจ่าย’ มีข้อจำกัดน้อยลงมาอีก แต่ก็ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมและต้องมีความเชื่อมโยงกับงาน
‘การลงทุน’ มีข้อจำกัดน้อยที่สุด เหมือนจะไม่มีกำหนดเรื่องจำนวนเงินสูงสุดที่เอาไปลงทุน ข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดคือต้องมีช่องทางให้ทำกำไรได้ เพื่อที่โปรเจ็กต์จะได้มีโอกาสทำเงินในทางทฤษฎี
ในสถานการณ์พิเศษบางสถานการณ์ ระบบจะยอมให้ลงทุนแม้จะมีโอกาสทำกำไรน้อยมาก แต่โปรเจ็กต์นั้นจะต้องมีชื่อเสียงและอิทธิพลต่อสังคมสุดๆ ตัวอย่างเช่น สารคดีที่หวงซื่อปั๋วถ่ายไปก่อนหน้านี้ และนี่เฟิงโลจิสติกส์ที่ยังขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นถ้าจะให้สวัสดิการด้านที่พักในรูปแบบของ ‘สวัสดิการบริษัท’ และ ‘เงินเบิกจ่าย’ ก็จะมีข้อจำกัดอยู่มาก
ถึงจะทำได้ อย่างมากก็น่าจะเป็นห้องพักสำหรับสี่คนหรือสองคน ไม่สามารถดึงมาตรฐานด้านต่างๆ ได้สูงมากนัก
แต่ถ้าคิดใหม่ เปลี่ยนไปใช้รูปแบบ ‘การลงทุน’ ข้อจำกัดของระบบก็จะลดลง
ตัวอย่างเช่น ถ้าเผยเชียนเอาเงินไปลงทุนในโปรเจ็กต์อพาร์ตเมนต์ ใช้เงินปรับปรุงใหม่ แล้วตั้งราคาปล่อยเช่า
ระบบก็ไม่น่าจะมีข้อจำกัดอะไรมาก ถ้าเขาแบ่งห้องบางส่วนมาเป็นหอพักพนักงาน
ก็จะเป็นเหมือนโมหยูเดลิเวอรี่ที่แอบยุ่งยากหน่อย เขาต้องเปิดบริการเดลิเวอรี่ จากนั้นก็ให้เดลิเวอรี่เป็นสวัสดิการอาหารของพนักงาน แล้วค่อยไปเบิกจ่ายกับบริษัท
ถ้าปล่อยให้คนนอกเช่าไม่ได้ก็ยิ่งดี บอสเผยจะได้ขาดทุน
ส่วนทำไมถึงเลือกเป็นที่พักกับยิม…
นั่นก็เพราะทั้งสองโปรเจ็กต์เป็นกิจการที่ต้องมีที่ตั้ง ต้องจ่ายค่าเช่าและค่าบำรุงดูแล จึงมีต้นทุนการดำเนินการสูงกว่า น่าจะเพิ่มโอกาสขาดทุนขึ้นไปอีก
แถมเผยเชียนก็มีเหตุผลที่จะย้ายที่พักด้วย!
ที่พักปัจจุบันของเขาก็โอเค เป็นอพาร์ตเมนต์สองห้องนอน
แต่เผยเชียนอยากได้ที่พักที่ใหญ่และอยู่สบายมากกว่านี้
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ความฝันในการขาดทุนจนซื้อแมนชันได้น่าจะยังอีกไกล
อีกอย่างเผยเชียนคิดว่าไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องการซื้อบ้านด้วยเงินตัวเองแล้ว
ถึงจะเป็นสินทรัพย์ของบริษัท ถ้าอยู่ฟรีๆ ได้ตลอดไป จะเป็นของเขารึเปล่าก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
หลังจากคิดดูสักพัก เผยเชียนก็เพิ่มโปรเจ็กต์ ‘อพาร์ตเมนต์’ กับ ‘ยิม’ เตรียมไว้สำหรับรอบบัญชีถัดไป
รอบบัญชีนี้ไม่ทันแน่นอน
ส่วนหนึ่งก็เพราะเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวจะถึงวันปิดบัญชี มาเริ่มเอาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว โฮสเทลเขย่าขวัญเองก็ไม่น่าเสร็จทันรอบบัญชีนี้ ถ้าเพิ่มโปรเจ็กต์เข้าไปอีกแล้วเสร็จไม่ทันจะไปกระทบกับวันสรุปบัญชีเอา
อีกส่วนก็เพราะรายได้จากหนังไม่น่าจะเข้ามาเร็วขนาดนั้น
โดยทั่วไปแล้วหนังต้องเข้าฉายหนึ่งเดือนถึงจะสามารถคำนวณรายได้ได้ กำไรที่ได้จากหนังจะแบ่งให้โรงหนังแต่ละแห่ง กว่าจะจัดการทั้งหมดเสร็จสิ้นก็ต้องใช้เวลาประมาณสามถึงหกเดือน
แต่ในวงการภาพยนตร์มีบริษัท ‘จัดการรายได้เร่งด่วน’ อยู่ จะคล้ายๆ บริการสินเชื่อระยะสั้นของธนาคาร โดยจะจ่ายเงินให้ล่วงหน้าตามยอดรายได้ที่ทำได้แล้วหักส่วนแบ่งเป็นค่าบริการ
พูดง่ายๆ ก็เหมือน ‘บริการคืนเงินเร่งด่วน’ ของเว็บไซต์ช้อปปิ้งหลายๆ เว็บ
ถึงอย่างนั้นกว่าจะได้เงินก้อนนี้ก็รอบบัญชีหน้า
ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเผยเชียน เพราะรอบบัญชีนี้รับความกดดันหนักหนาแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว ถ้าต้องให้ผลาญเงินเป็นสิบๆ ล้านในเวลาไม่ถึงเดือน
แต่รอบบัญชีหน้าน่าจะเป็นงานช้างเลยทีเดียว
ดังนั้นเผยเชียนจึงวางแผนจะผลาญ ‘ลาภลอย’ ที่ได้จากหนังไปกับโปรเจ็กต์อพาร์ตเมนต์และยิม
ส่วนกิจการต่างๆ ที่ทำเงินได้เพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของหนัง…
น่าจะเอาเงินส่วนนั้นไปทุ่มกับโปรเจ็กต์โฮสเทลเขย่าขวัญเพิ่มจากรายจ่ายปกติได้อีก
เขาจะเอากำไรที่ได้มาไปลงกับโฮสเทลเขย่าขวัญให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้สร้างเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในรอบบัญชีถัดไป
เผยเชียนโยนสมุดทิ้งไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
…
…
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์
วันที่สี่ที่เขาหายตัวไป novelgu.com
เผยเชียนกดรีเฟรชหน้าเว็บดูว่ากระแสซาลงรึยัง
หน้าม้าเริ่มปั่นกระแสกันน้อยลง นอกจากจะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่หวังแล้ว ยังทำให้วันพรุ่งนี้ที่สดใสดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม!
ดูเหมือนว่าหน้าม้าของคู่แข่งจะล่าถอยไปเพราะสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่หวัง จึงไม่อยากจะเสียเงินไปโดยสูญเปล่า
เผยเชียนเปิดแอปโก่วเหยี่ยน ดูเหมือนว่า…รอบฉายหนังจะเพิ่มขึ้นอีกแล้ว!
ช่างน่าหดหู่เหลือเกิน
เผยเชียนกับคู่แข่งน่าจะรู้สึกไม่ต่างกัน
เผยเชียนลบแอปโก่วเหยี่ยนออกจากเครื่องด้วยความคิดที่ว่าถ้าไม่เห็นก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด
ว่าง่ายๆ ก็คือ ถ้าไม่เห็นก็เท่ากับหนังไม่ได้มีรายได้!
ช่วงที่ผ่านมา เผยเชียนเอาแต่หมกตัวอยู่ในอพาร์ตเมนต์ เขาเข้าเว่ยป๋อเพราะรู้สึกเบื่อๆ อยากดูว่ามีข่าวคราวอะไรใหม่ๆ พอช่วยให้หายหดหู่ใจได้บ้างรึเปล่า
แต่บนเว่ยป๋อมีคำค้นยอดนิยมอยู่สามรายการ
#วันพรุ่งนี้ที่สดใส#
#การแสดงของลู่จือเหยา#
#แบรนด์จริงในวันพรุ่งนี้ที่สดใส#
เผยเชียน “…”
เลิกตามหลอกหลอนฉันสักที!
เมื่อวานไม่เห็นมีสองอันสุดท้ายเลย!
เขากดเข้าไปดู #การแสดงของลู่จือเหยา# แล้วพบกับบทสัมภาษณ์ของลู่จือเหยา
…
“ล้วงลึกลู่จือเหยา: พัฒนาทักษะการแสดงไปอีกขั้นได้เพราะบุคคลผู้น่ายกย่องคนหนึ่ง
“วันพรุ่งนี้ที่สดใสเข้าฉายเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ หนังไซไฟโลกอนาคตทลายมุมมองเดิมๆ ของชาวจีนที่มีต่อหนังไซไฟ ทำรายได้ไปแล้วกว่าแปดสิบล้านหยวนภายในเวลาสี่วันหลังเข้าฉาย อีกทั้งยังเป็นกระแสร้อนแรงในอินเทอร์เน็ต
“ลู่จือเหยาเผยให้เห็นทักษะการแสดงอันยอดเยี่ยมและการตีความความรู้สึกต่างๆ ของผู้คนในโลกอนาคตออกมาได้อย่างแจ่มชัด การประชันฝีมือกับนักแสดงรุ่นใหญ่อย่างจางจู่ถิงเองก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม
“ระหว่างออกพบปะแฟนๆ ผู้ชมคนหนึ่งบอกเขาว่า ‘ระหว่างที่ดูหนังอยู่ ลืมไปเลยว่าคนบนจอคือลู่จือเหยา’ ซึ่งเป็นคำชมที่ดีที่สุดที่เคยได้ยินมา”
[โปสเตอร์ลู่จือเหยาจากเรื่องวันพรุ่งนี้ที่สดใส]
“ฉายาพิษร้ายแห่งวงการหนังของลู่จือเหยาเป็นประเด็นถกเถียงมาตลอด ผู้ชมให้ข้อสรุปว่าเป็นคำสาปร้าย หนังทุกเรื่องที่เขาไปปรากฏตัว ไม่ว่าจะถ่ายโดยผู้กำกับชื่อดังหรือมีทุนสร้างมากมายขนาดไหน ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงชะตากรรมอันโหดร้ายได้
“ถ้าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องไร้สาระ การถกเถียงกันว่า ‘ลู่จือเหยามีฝีมือจริงรึเปล่า’ ก็เป็นประเด็นที่หนักหน่วงและบาดลึก
“คำวิจารณ์ เช่น ‘เล่นใหญ่เกินไป’ ‘เล่นบทไหนก็ดูเป็นตัวเองไปหมด’ ‘ทำให้คนดูสนใจตัวละครที่เล่นไม่ได้’ เป็นปัญหากวนใจลู่จือเหยามาตลอด คอยตอกย้ำซ้ำไปมาทุกครั้งที่หนังเรื่องใหม่ออกฉาย
“แต่วันพรุ่งนี้ที่สดใสกลายเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่ลบภาพลักษณ์ความเป็นพิษร้ายและตัวซวยแห่งวงการหนังไปจนหมด!”
[คลิปฉากลู่จือเหยาดื่มเบียร์]
“เรื่องนี้ทำให้ลู่จือเหยาคิดว่าในแต่ละช่วงของชีวิต นักแสดงจะได้พบบทที่มีความสำคัญมากๆ กับตัวเอง รวมถึงบุคคลน่ายกย่องที่จะให้การช่วยเหลือครั้งยิ่งใหญ่ในเส้นทางสายอาชีพ
“ลู่จือเหยาได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการปะทะบทบาทกับจางจู่ถิง นักแสดงรุ่นใหญ่ และได้เรียนรู้วิธีตีความความคิดตัวละครและการสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้น
“ยิ่งไปกว่านั้น ในกองถ่ายมีบุคคลผู้น่ายกย่องที่ชี้ปัญหาเรื่องการแสดงของลู่จือเหยาอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เขาตระหนักว่า นักแสดงไม่ควรพยายามอย่างหนักเพื่อนำเสนอบทบาทที่ได้รับ แต่ควรจะปล่อยตัวเองให้เข้าถึงบทบาท
“ลู่จือเหยากล่าวว่า บุคคลผู้น่ายกย่องนี้ไม่ได้ช่วยเขาแค่เรื่องการแสดง แต่ยังช่วยปรับความเข้าใจการวางแผนชีวิตและปรัชญาชีวิตใหม่
“การก้าวจากไอดอลมาเป็นนักแสดงมืออาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็พยายามอย่างหนักมาตลอด ลู่จือเหยาบอกว่าตอนนี้ตัวเองอยากรับบทมนุษย์ที่มีความซับซ้อนทางอารมณ์มากกว่า และรับบทที่ตัวเองไม่ถนัดมากขึ้น แนวทางการแสดงของเขาเปลี่ยนจากการแสดงที่เล่นใหญ่เกินไป เป็นการแสดงที่มีความละเอียดลออมากขึ้น
“ในแง่การวางแผนชีวิต ลู่จือเหยาบอกว่าเขาจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เหมือนที่บุคคลผู้น่ายกย่องได้กล่าวกับเขาว่า ‘การเล่นให้เป็นธรรมชาติคือเรื่องที่ยากที่สุด’ ‘บทคืออะไรก็แสดงออกมาตามนั้น’
“ถ้านำมาขยายเป็นปรัชญาชีวิตและดูกันที่อาชีพนักแสดง เขาควรจะพัฒนาฝีมือการแสดงอย่างต่อเรื่อง ไม่ควรสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอาชีพตัวเอง
“ในที่สุดลู่จือเหยาที่ได้รับการชี้แนะจากบุคคลผู้น่ายกย่องก็พบสไตล์การแสดงของตัวเองแล้ว”