พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จางวั่งก็เดินไปสั่งชาไข่มุกร้านข้างๆ จากนั้นก็นั่งจิบเครื่องดื่มพลางสังเกตการณ์ตู้โทรศัพท์ให้เช่า
ตอนหร่วนกวางเจี่ยนวาดภาพ มีหลายคนมามุงดูอยู่รอบตู้โทรศัพท์ พอตู้โทรศัพท์ให้เช่าเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ทุกคนก็รีบไปยืนออถ่ายรูป
นอกจากนั้นทุกคนยังทำตัวกันน่ารักมาก
พวกเขายืนต่อแถวเข้าคิวถ่ายรูป Modest ด้านหน้าตู้โทรศัพท์
ระหว่างนั้น คนที่เดินผ่านไปผ่านมาพอเห็นว่าตู้โทรศัพท์ให้เช่ามีอุปกรณ์มาติดตั้งเพิ่มก็พากันนึกสงสัย
“เหมือนว่าตู้โทรศัพท์ให้เช่าจะมีอะไรเพิ่มหลายอย่างเลยนะ”
“เราไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อใช้ตู้กดเครื่องดื่มใช่มั้ย”
“แกคิดว่าสิบหยวนจะซดได้ไม่อั้นเลยเหรอ ยังไงก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มอยู่แล้วสิ”
“มีตู้กาชาปองกับไมโครโฟนด้วยสองตัว! แสดงว่าเข้าไปร้องเพลงด้านในได้เหรอ”
“ที่วางอยู่บนเก้าอี้พับคืออะไรน่ะ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“ฉันว่าด้านในน่าจะมีอะไรหลายอย่างเลย ขอทางหน่อยครับทุกคน ผมอยากเข้าไปดู”
“เฮ้ยๆ ต่อแถวด้วยสิ”
“แบ่งเป็นสองแถวเถอะ เราต่อแถวเพื่อเป้าหมายคนละอย่างนี่ คุณอยากถ่ายรูป พวกผมอยากเข้าไปใช้ตู้ จะได้ไม่ขวางทางกัน”
“แล้วถ้าฉันอยากถ่ายรูปด้วย อยากเข้าไปใช้ตู้ด้วยล่ะ…”
หลังจากถกเถียงกันสักพัก ทุกคนก็แบ่งออกเป็นสองแถว
แถวหนึ่งสำหรับถ่ายรูปกับภาพวาด Modest อีกแถวต่อเพื่อเข้าใช้งานตู้โทรศัพท์ให้เช่า
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเข้าไปใช้งานตู้โทรศัพท์ให้เช่าเพราะด้านในไม่ค่อยมีอะไร ไม่รู้จะเข้าไปทำไม
ตอนนี้มีหลายอย่างเพิ่มขึ้น ด้านหน้าตู้ก็มีภาพวาด พอดูดีขึ้น หลายคนก็อยากเข้าไปใช้งาน
คนเรามักจะตัดสินกันที่หน้าตา ตู้โทรศัพท์เองก็โดนตัดสินที่รูปลักษณ์
ลูกค้าที่เข้าไปใช้งานกลุ่มแรกคือคู่รัก
ที่แบบนี้ให้เข้าไปใช้งานคนเดียวคงจะแปลก นอกจากจะเหงาแล้ว ยังโดนมองเข้ามาจากด้านนอกด้วย
หลังจากเข้าไปข้างใน ทั้งสองก็ปิดประตูแล้วดึงม่านลง
คนที่รออยู่ด้านนอกเห็นจอเล็กขึ้นแจ้งเตือนว่าเหลือเวลาอีกสิบห้านาที
คนที่ต่อแถวอยู่จะรู้คร่าวๆ ว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่จะถึงตาตัวเอง
แน่นอนว่าฟังก์ชันนี้ยังมีข้อด้อยอยู่ ตัวอย่างเช่น สามารถบอกได้แค่ว่าคนในตู้เหลือเวลาอีกเท่าไหร่จนกว่าจะออกมา แต่บอกอย่างแม่นยำไม่ได้ว่าคนที่อยู่ปลายแถวต้องรออีกนานแค่ไหน
จางวั่งจดเรื่องนี้ไว้ เขาคิดว่าในอนาคตจะเพิ่มฟังก์ชันบอกจำนวนคนที่ต่อแถวอยู่หรือเวลาโดยประมาณว่าอีกนานเท่าไหร่จะถึงคิวตัวเอง
คู่รักเริ่มสำรวจตู้โทรศัพท์ให้เช่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“โอ๊ะ เราได้เครื่องดื่มสองแก้ว เลือกได้ว่าจะเอาร้อนหรือเย็น”
“ร้องเพลงได้ฟรีด้วย”
“โห สิบหยวนได้สิบห้านาที ถือว่าคุ้มนะ!”
“มีตู้กาชาปองด้วย เสียดายที่ต้องจ่ายเพิ่ม”
“แหม คาดหวังอะไรอยู่ ถ้าตู้กาชาปองฟรี บริษัทก็ขาดทุนยับเยินกันพอดี”
“ร้องสักเพลงมั้ย”
“จะดีเหรอ น่าอายออก”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่เห็นได้ยินเสียงจากด้านนอกเลย แสดงว่าตู้นี่กันเสียงได้ดีเลย”
ตอนแรกค่าบริการสิบหยวนต่อสิบห้านาทีดูเป็นอะไรที่แพงมาก แต่พอมีฟังก์ชันเพิ่มขึ้นมาหลายอย่างก็ไม่ได้ดูแพงเกินไป แถมยังรู้สึกคุ้มอีกต่างหาก!
ส่วนจางวั่งนั้นได้กำไร
ลูกค้าจะได้เครื่องดื่มแค่คนละแก้ว จะใช้บริการสิบห้านาทีหรือเป็นชั่วโมง จำนวนเครื่องดื่มที่ได้ก็ไม่เพิ่มขึ้น ถ้ากระหายน้ำขึ้นมาก็ต้องซื้อเพิ่ม
นอกจากนั้นต้นทุนตู้กดเครื่องดื่มก็ไม่ได้สูงมาก ยกตัวอย่างเช่นเครื่องดื่มร้อน กาแฟหรือชานมชงสำเร็จถุงหนึ่งกิโลกรัมชงเครื่องดื่มขนาดสองร้อยห้าสิบมิลลิลิตรได้ห้าสิบแก้ว ตกแก้วละห้าเหมา แถมยิ่งซื้อทีละเยอะๆ ต้นทุนก็ยิ่งถูกลงไปอีก
ถึงจะคำนวณค่าน้ำค่าไฟเพิ่มเข้าไป อย่างมากก็ตกแก้วละสองหยวน ยังไงตู้โทรศัพท์ให้เช่าก็ทำกำไรได้อยู่ดี
แน่นอนว่าลูกค้าเลือกให้ชงตามรสที่ชอบไม่ได้
ส่วนตู้กาชาปองก็ต้องเสียเงินเล่นเพิ่ม
คู่รักหยิบไมค์บนโต๊ะขึ้นมาแล้วหันไปเจอกล่องเล็กๆ ใส่ที่ครอบไมค์ฟรี พวกเขาได้ฟรีสองชิ้น ถ้าอยากได้เพิ่มก็ต้องจ่ายเงิน
เสียงดนตรีดังขึ้น จากนั้นทั้งสองก็เริ่มร้องเพลง
…
ด้านนอกตู้โทรศัพท์ คนที่ต่อแถวอยู่ได้ยินเสียงเพลงเบาๆ ดังออกมาจากด้านในตู้โทรศัพท์
“หืม ร้องเพลงกันจริงๆ เหรอ”
“โห…จะร้องนานแค่ไหนเนี่ย”
“โอ๊ย พวกเขาจ่ายเพิ่มให้อยู่ต่อได้นานขึ้น เวลาบนจอเพิ่มขึ้นแล้ว!”
“…ไปกันๆ ต้องรอนานแค่ไหนก็ไม่รู้!”
ดูเหมือนว่าคู่รักที่เพิ่งเข้าไปในตู้โทรศัพท์ให้เช่าตั้งใจจะใช้งานนานขึ้น เวลาบนหน้าจอแสดงผลใหม่เป็นสามสิบนาที หลายคนที่ต่อแถวเข้าคิวเพื่อลองใช้นึกถอดใจแล้วออกจากแถวไป
แต่จางวั่งที่นั่งอยู่ในร้านน้ำข้างๆ ตระหนักเรื่องบางอย่างขึ้นได้เมื่อเห็นอย่างนั้น
ถ้าคนที่เข้าไปรีบออกมาก็ถือเป็นเรื่องไม่ดี เพราะจะหมายความว่าตู้โทรศัพท์ไม่น่าใช้งาน!
แต่คู่รักที่เข้าไปอยู่ร้องเพลงต่อรวมสามสิบนาที แสดงว่าตัวตู้ไม่มีปัญหาอะไร!
ตู้ที่เหลือใกล้เสร็จแล้วและจะไปตั้งไว้ในห้างต่างๆ ในเมืองจิงโจว…
ต้องเป็นบ่อเงินบ่อทองไปได้นานแน่!
พอตั้งตู้โทรศัพท์ให้เช่าครบทั้งยี่สิบตู้แล้วหาเงินคืนทุนได้ เขาจะรีบไปบอกข่าวดีนี้กับบอสเผยทันที!
…
…
ช่วงบ่าย บนแท็กซี่ที่กำลังวิ่งจากสนามบินจิงโจวไปตึกเฉินฮว่าแกรนด์วิวโนlวลกูดอทคoม
ชายหนุ่มเปิดแอปพลิเคชันแพลตฟอร์มนักเขียนบนมือถือเพื่อเปิดตอนใหม่ จากนั้นก็พิมพ์คำว่า ‘พักงาน’ ลงตรงชื่อตอนอย่างช่ำชอง
“ผมต้องไปเข้าร่วมคอร์สนักเขียนเว็บโนเวลของเว็บจงเตี่ยนจงเหวินจึงมาแจ้งเรื่องขอพักลงนิยาย
“แล้วก็ อย่าลืมกดโหวตเป็นกำลังใจให้ด้วยครับ!”
เขาพิมพ์ข้อความทั้งหมดรวดเดียวจบ จากนั้นก็เก็บมือถือแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อชมบรรยากาศเมืองจิงโจว
ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็หยิบมือถือออกมาแล้วเข้าแอปพลิเคชันเว็บจงเตี่ยนจงเหวินอีกรอบเพื่ออ่านคอมเมนต์จากนักอ่าน
“เบี้ยวเหมือนเดิมอีกแล้ว เดือนก่อนเบี้ยวมากี่ครั้งแล้ว”
“เพิ่งจะบ่ายสามเอง เขียนตอนกลางคืนไม่ได้เหรอ”
“อืม มีพัฒนาการ ที่ผ่านมาสองสามรอบบอกว่าไปงานแต่งเพื่อนตลอด ก็สงสัยนะว่าทำไมเพื่อนแต่งงานติดๆ กันแบบนั้น รอบนี้แก้ตัวได้ดี รักษามาตรฐานไว้นะ!”
“เบี้ยวบ่อยแบบนี้เป็นสัญญาณว่านักเขียนแต่งนิยายไม่จบแน่ บอกมา เรื่องนี้ก็จะโดนเทด้วยเหมือนกันใช่มั้ย”
“ไม่นะ ห้ามเท ฉันเพิ่งมาอ่านเอง เรื่องนี้เพิ่งจะเขียนไปได้แค่หกแสนคำ ยังเป็นลูกอ๊อดอยู่เลย!”
“เบี้ยวแล้วยังมาขอให้โหวตอีก หน้าไม่อายจริงๆ!”
“เห็นโหวตนี่มั้ย ถึงจะเสียไปฟรีๆ ฉันก็ไม่ยอมโหวตให้นายหรอก!”
พอได้อ่านคอมเมนต์จากนักอ่าน ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาเพราะเคยชินกับเรื่องนี้แล้ว
ชุยเกิ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าอบรมที่จะเข้าร่วมคอร์สสำหรับนักเขียนคอร์สแรกของเว็บจงเตี่ยนจงเหวิน นามปากกาของเขาคือ ‘ปีศาจรยางค์ปั่นงานสู้ชีวิต’ แต่นามปากกานี้ก็กลายเป็นการประชดชั้นดี
เขาขึ้นชื่อว่าเป็นนักเขียนที่ลงงานช้ามากและชอบพักลงงานตามใจชอบ ทุกครั้งที่ขอพักลงงาน เขาจะขอให้นักอ่านกดโหวตให้อย่างหน้าไม่อาย
นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นคนที่เทนิยายมาสองสามเรื่องแล้วด้วย
แต่ทุกครั้งที่เปิดเรื่องใหม่ก็มักจะมีพล็อตดีๆ จังหวะการเดินเรื่องและภาษาเขียนก็ดีมาก จึงเรียกนักอ่านเข้ามาได้ ถึงจะโดนด่าเปิงอยู่ตลอด แต่เหล่านักอ่านก็ห้ามใจเข้ามาอ่านนิยายของเขาไม่ได้อยู่ดี
ชุยเกิ่งถอนหายใจ “เฮ้อ รอบนี้บอกความจริงแท้ๆ ฉันจะไปเข้าคอร์สจริงๆ ทำไมไม่มีใครเชื่อเลย”
ในหมู่นักเขียนเว็บโนเวลจะมีกลุ่มขยันกับกลุ่มขี้เกียจ นักเขียนแบบชุยเกิ่งจัดอยู่ในกลุ่มขี้เกียจ
เพราะเขาขาดแรงบันดาลใจ
ตอนเรียนจบจากมหาวิทยาลัย เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันของโลกวัตถุนิยม เมื่อไม่มีอะไรทำ เขาจึงตัดสินใจเขียนนิยายออนไลน์ประทังชีวิต
แต่ผ่านมาได้ครึ่งปี บ้านก็โดนรื้อทิ้ง
ชุยเกิ่งร่อนเร่ไปทั่วอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่างเปล่าอีกครั้ง แต่เขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง รอบนี้เขาจะแต่งนิยายให้จบและขึ้นเป็นนักเขียนระดับเทพให้ได้
สุดท้ายอพาร์ตเมนต์อื่นๆ ของครอบครัวก็ถูกรื้อทิ้งอีกหลายแห่ง
ชุยเกิ่งเศร้าใจมาก ชีวิตมักจะเล่นตลกกับเราเสมอ
ใครจะไปมีอารมณ์เขียนนิยายต่อได้
ดังนั้นชุยเกิ่งจึงปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตา
เขามาที่จิงโจวครั้งนี้เพื่อมาเที่ยว
ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าจะได้อะไรจากคอร์ส เขาสมัครเข้าอบรมทันทีที่ได้ยินว่ามีเบี้ยเลี้ยงให้พร้อมอาหารและที่พักฟรี
ไม่คิดเลยว่าจะได้รับเลือกจริงๆ
น่าจะเพราะเว็บจงเตี่ยนจงเหวินมีนักเขียนที่เขียนผลงานดีๆ ไม่มาก
ชุยเกิ่งเริ่มเขียนงานลงเว็บอู๋เซียนจงเหวินก่อน แต่นักอ่านหลายคนรู้ว่าเขาชอบเทงาน แม้แต่บรรณาธิการก็รู้ชื่อเสียนี้ ทุกครั้งที่เปิดเรื่องใหม่จะมีนักอ่านเก่าเข้ามาคอมเมนต์ด่าตลอด
พอจนตรอกและไม่มีเงินใช้ ชุยเกิ่งก็ตัดสินใจย้ายไปอีกแพลตฟอร์มเพื่อชุบชีวิตตัวเองใหม่
ดังนั้นด้วยเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง ชุยเกิ่งจึงย้ายมาเขียนให้เว็บจงเตี่ยนจงเหวินที่ดูแลนักเขียนระดับกลางค่อนข้างดีทีเดียว
“เห็นว่าที่จิงโจวมีที่สนุกๆ น่าไปเที่ยวหลายที่เลย
“รอบนี้น่าจะใช้คอร์สอบรมเป็นข้ออ้างในการเที่ยวเล่นสักหน่อยได้
“ฉันพักงานเพราะมีเหตุผลจริงๆ นักอ่านไม่น่าด่าได้นะ
“ฉันมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อเขียนงาน แถมการเขียนนิยายก็ต้องใช้สมองหนัก ถ้าได้เที่ยวเล่นพักผ่อนสมองให้ร่างกายสดชื่นก็น่าจะเขียนงานดีๆ ได้
“ทุกคนต้องเข้าใจแน่!”
หลังจากคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ชุยเกิ่งก็ไปถึงตึกเฉินฮว่าแกรนด์วิว
เขาลงจากรถแล้วขึ้นลิฟต์ไปฝ่ายบรรณาธิการของเว็บไซต์จงเตี่ยนจงเหวิน
มีคนรอต้อนรับอย่างอบอุ่นแล้วพาเขาเข้าไปในห้องประชุม
ไม่นานหม่าอี้ฉวินก็เข้ามาในห้องประชุม ทั้งสองเริ่มคุยกัน
จากที่ได้คุยกัน ชุยเกิ่งพบว่าตัวเองเป็นนักเขียนคนแรกที่มาถึงจิงโจว ซึ่งก็ทำให้รู้สึกแปลกใจ
แต่พอคิดดูอีกทีก็ไม่แปลกอะไร เขาเพิ่งจะได้รับคำเชิญเมื่อวาน แต่วันนี้มาถึงแล้ว ก็เร็วจริงๆ นั่นแหละ
ที่เขารีบมาก็เพราะอยากหาข้ออ้างพักลงงานให้เร็วที่สุด
หลังจากคุยกันไปได้พักหนึ่ง หม่าอี้ฉวินก็หยิบสัญญาออกมา
“นี่เป็นสัญญาณสำหรับคอร์สอบรมเว็บโนเวล ทุกคนต้องเซ็นสัญญานี้
“อ่านรายละเอียดในสัญญาให้ครบถ้วน ถ้าแน่ใจว่าไม่ติดขัดตรงไหนก็เซ็นได้เลยครับ
“เรามีข้อบังคับนิดหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ เป็นแค่ข้อบังคับพื้นฐาน ไม่ได้สุดโต่งอะไร”
ชุยเกิ่งผงะไป “เอ๋ มีสัญญาด้วยเหรอครับ”
เป็นทางการจังแฮะ