ตอนเถิงต๋าเปิดใหม่ๆ เลขาซินเป็นคนจัดการเรื่องการรับคนและการเงิน ทีมธุรการมีหน้าที่ช่วยงานเธอเท่านั้น
แต่พอบริษัทโตขึ้น เลขาซินก็จัดการทั้งหมดไม่ไหว ทีมธุรการจึงต้องแบ่งออกมาเป็นฝ่ายบุคคลกับฝ่ายการเงิน
การรับคนเข้าทำงานและงานอื่นๆ เป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคล หรือเรียกสั้นๆ ว่าฝ่าย HR
“เรียกผู้จัดการห่าวมาที ผมจะเล่าเรื่องการรับคนในอนาคตคร่าวๆ ให้เสี่ยวห่าวฟัง”
“ได้ค่ะ” เลขาซินพยักหน้าแล้วกลับออกไป
เผยเชียนเอนพิงเก้าอี้ ก่อนจะจมสู่ภวังค์ความคิด
พอมาคิดๆ ดู เผยเชียนก็คิดว่าตัวเองน่าจะผิดที่ให้ความสำคัญกับฝ่าย HR น้อยไป
เรื่องนี้น่าจะเกิดจากการที่เขาเข้าใจฝ่ายนี้ผิดไป
บางคนบอกว่าฝ่าย HR ในบริษัทใหญ่ๆ นั้นเป็นเหมือนตงฉ่างกับซีฉ่าง[1]ในสมัยก่อน
บริษัทใหญ่ๆ มักจะมีข่าวไม่ดีให้เห็นอยู่บ่อยๆ เช่น บังคับให้พนักงานป่วยลาออก ไล่คนออกโดยไม่จ่ายเงินชดเชย และอื่นๆ โดยปกติแล้วเรื่องเหล่านี้ฝ่าย HR มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องเสมอ อีกทั้งยังมีอิทธิพลมากทีเดียว
ถึงคนที่ตัดสินใจไล่พนักงานออกจะเป็นบอส แต่ฝ่ายจัดการคือ HR ที่ต้องรับภาระนี้แทน
ขณะเดียวกันฝ่าย HR ยังต้องคอยหาข้อด้อยระหว่างสัมภาษณ์เพื่อที่จะได้ลดเงินเดือนให้ได้มากที่สุด แถมยังมักเชิญคนนอกมาจัดอบรมพนักงานและคอยติเตียนอยู่บ่อยๆ จนน่าหงุดหงิด
ในชาติที่แล้วเผยเชียนเป็นพนักงานธรรมดาทั่วไป จึงไม่แปลกที่เขาจะไม่ชอบฝ่าย HR
แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองคิดผิดมาตลอด
พอมาวิเคราะห์ดูดีๆ ฝ่าย HR คือคนที่ช่วยจัดการงานสกปรกๆ ให้บอสต่างหาก
ฝ่าย HR จะดีหรือร้ายไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่จริยธรรมในการทำงานของพนักงานในฝ่าย แต่ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับรูปแบบของบริษัทและบอสที่ทำงานให้
บริษัทใจเหี้ยมใช้ให้ฝ่าย HR หาทางลดเงินเดือนพนักงานได้ แต่บอสเผยจะใช้ฝ่าย HR หาคนความสามารถกลางๆ มาทำงาน!
ถ้าเขาทำให้ฝ่าย HR เสนอเงินเดือนสูงกว่าที่ผู้สมัครขอและเลือกพนักงานที่ไม่ชอบทำงานล่วงเวลาได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์มากทีเดียว
ดังนั้นเผยเชียนจึงตัดสินใจเรียกเสี่ยวห่าวมาพบเพื่อปลูกฝังจิตวิญญาณของเถิงต๋า และบอกแนวทางการรับสมัครคนให้ชัดเจน
…
ผ่านไปไม่กี่นาทีก็มีคนเดินมาเคาะประตู
ห่าวหยุนเดินเข้าห้องทำงานบอสเผยด้วยความหวั่นใจเล็กน้อย
เธอเป็นหญิงสาวอายุอยู่ในช่วงยี่สิบปี หน้าตาธรรมดา ส่วนสูงก็ไม่ได้มากอะไร เธอเป็นคนหน้ากลม ตาโต ไม่ได้โดดเด่นจากพนักงานคนอื่นๆ ในบริษัทเลย
เธออายุอ่อนกว่าที่เผยเชียนคิดไว้
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะตอนคัดเลือกพนักงานกลุ่มแรก เผยเชียนเลือกแต่เด็กจบใหม่ที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์
ดังนั้นพนักงานระดับผู้จัดการส่วนใหญ่ในเถิงต๋าจึงอายุน้อย
เสี่ยวห่าวไม่ได้ดูเจ้ากี้เจ้าการเหมือนภาพฝ่าย HR ที่เผยเชียนมีในหัว ความรู้สึกแรกหลังได้พบหน้าเป็นไปในแง่บวกทีเดียว
อีกอย่างเสี่ยวห่าวก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก เผยเชียนพยายามนึกอยู่นานว่าเธอเป็นใคร แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอคนคนนี้ที่ออฟฟิศหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนที่ค่อนข้างจืดจางเลยทีเดียว
“บอสเผยเรียกดิฉันเหรอคะ” ห่าวหยุนถามขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ใช่ครับ เชิญนั่งก่อน ผมมีเรื่องสำคัญจะมอบหมายให้คุณทำ”
ห่าวหยุนนั่งลงตรงข้ามเผยเชียนด้วยความหวั่นใจ
เพราะที่ผ่านมาเธอรับคำสั่งจากเลขาซินมาตลอด ตอนนี้ต้องมาคุยกับ NPC ระดับสูงขึ้นไปอีก จึงไม่แปลกที่เธอจะทำตัวไม่ถูก
“ฝ่าย HR เป็นฝ่ายที่สำคัญมาก คุณน่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ก่อนอื่นเล่าภาระงานหลักของฝ่าย HR ให้ผมฟังหน่อย” เผยเชียนพูด
ห่าวหยุนรีบพยักหน้า “ได้ค่ะบอสเผย ฝ่าย HR มีหน้าที่ประเมินคุณสมบัติของผู้สมัครจากประสบการณ์และความสามารถ ขณะเดียวกันก็ต้องคอยตรวจสอบให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมการทำงานนั้นเป็นมิตรและผ่อนคลาย รวมถึงคอยส่งเสริมให้พนักงานมีไฟในการทำงาน…”
ห่าวหยุนพูดทั้งหมดในลมหายใจเดียว
เธอตั้งใจว่าจะอธิบายหน้าที่หลักของฝ่าย HR คร่าวๆ แต่พอเห็นบอสเผยไม่ได้ขัดอะไรจึงอธิบายต่อไปเรื่อยๆ
เผยเชียนเงียบไปครู่หนึ่ง “ใช่ ถูกต้องแล้ว!”
เขาอยากให้เกียรติอีกฝ่ายและแสดงออกว่าฝ่ายบุคคลมีความสำคัญ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เลยให้ห่าวหยุนอธิบายภาระงานก่อน
ห่าวหยุนตอบคำถามดีมากจนเผยเชียนไม่กล้าขัดไปพักหนึ่ง
“สรุปแล้วงานของฝ่าย HR นั้นมีความสำคัญมาก ผมเลยอยากให้ฝ่ายคุณเข้าใจวัฒนธรรมของเถิงต๋าให้มากขึ้น จะได้ช่วยเรื่องการเลือกรับพนักงานใหม่และการดูแลจัดการพนักงานเดิม
“ที่คุณคัดผู้สมัครจากเรซูเม่อยู่ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง คุณคิดเห็นยังไง”
ห่าวหยุนตื่นเต้นขึ้นมา
บอสเผยถามภาระงานที่เธอรับผิดชอบอยู่พอดี!
“เราอ่านเรซูเม่คร่าวๆ ก่อนหนึ่งรอบค่ะ
“เนื่องจากตอนนี้มีเรซูเม่ส่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่บริษัทของเรายังไม่จำเป็นต้องรับคนเพิ่มเยอะขนาดนั้น เราเลยสามารถเข้มงวดกับการคัดเลือกได้มากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยค่ะ
“อันดับแรกเราจะกรองผู้สมัครจากประวัติการศึกษา มหาวิทยาลัยที่จบการศึกษามา ประสบการณ์การทำงาน โปรเจ็กต์ระหว่างเรียน และองค์ประกอบอื่นๆ ตรงนี้จะกรองผู้สมัครได้มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ
“จากนั้นก็จะเชิญผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกมาสัมภาษณ์
“การสัมภาษณ์จะแบ่งออกเป็นสองรอบ รอบแรกสัมภาษณ์กับผู้จัดการกิจการ รอบสองสัมภาษณ์กับฝ่าย HR
“เสร็จแล้วก็จะคุยเรื่องเงินเดือนเริ่มต้นกับพนักงานที่ผ่านการสัมภาษณ์ แล้วเลือกคนที่เหมาะกับตำแหน่งและบริษัทของเรามากที่สุดค่ะ…”
ห่าวหยุนอธิบายขั้นตอนการรับคนเข้าทำงานคร่าวๆ
พอได้ฟังเผยเชียนก็ต้องขมวดคิ้ว
นี่เป็นวิธีการทั่วไปที่ฝ่าย HR ใช้กัน แต่เผยเชียนไม่ชอบใจเลย!
ผู้สมัครที่มีประวัติการศึกษาไม่สูงมาก ไม่ค่อยมีประสบการณ์การทำงาน หรือคนที่จบจากมหาวิทยาลัยไม่ดังจะโดนคัดออกในขั้นกรองเรซูเม่ แบบนั้นก็ลดโอกาสที่เถิงต๋าจะได้พวกความสามารถจำกัดสิ!
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ บริษัทต้องมีแต่พวกขยันขันแข็งแน่ เผยเชียนคงจะกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว!
เผยเชียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ก็เป็นวิธีการที่ดีนะ แต่…ผมว่าไม่ค่อยตรงกับมาตรฐานของเถิงต๋าสักเท่าไหร่”
ห่าวหยุนดูกังวลใจขึ้นมา “เป็นแบบนั้นเหรอคะ งั้นบอสคิดว่าควรใช้วิธีการไหนคะ”
ห่าวหยุนรีบหยิบสมุดออกมาเตรียมจด
เผยเชียนพอใจกับพนักงานที่แสนเชื่อฟังแบบห่าวหยุนมาก เขาเริ่มอธิบายเกณฑ์การคัดเลือกพนักงานที่คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้
“เถิงต๋าจะคัดคนเก่งๆ โดยไม่ยึดติดกับแบบแผนเดิมๆ
“เราจะคัดคนออกเพียงเพราะพวกเขามีประวัติการศึกษาไม่สูงมาก ไม่ค่อยมีประสบการณ์การทำงาน หรือจบจากมหาวิทยาลัยไม่ดังได้ยังไง
“ทำแบบนั้นไม่ได้
“เราต้องประเมินผู้สมัครทุกคนที่ส่งเรซูเม่เข้ามาอย่างเท่าเทียม ให้โอกาสทุกคนได้แข่งขันเท่าๆ กัน!
“เพราะงั้นเราจะตัดรอบกรองเรซูเม่ออก แล้วเปิดรับทุกคนที่ส่งเรซูเม่เข้ามาสมัครงาน”
ห่าวหยุนที่จดบันทึกลงสมุดอยู่งงหนัก “เอ๋ แต่ภาระงานจะหนักมากเลยนะคะบอสเผย ไม่น่าจะจัดสัมภาษณ์ไหว”
เผยเชียนส่ายหน้า “คุณไม่ต้องสัมภาษณ์ผู้สมัครทุกคน
“เราจะหาเวลากับสถานที่เหมาะๆ ให้ทุกคนมาสอบข้อเขียน
“แล้วค่อยเรียกผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงๆ มาสัมภาษณ์”
ห่าวหยุนยังดูงงๆ อยู่ “แต่แบบนั้นจะใช้เงินสูงมากเลยนะคะ ถ้าจะจัดสอบใหญ่ขนาดนั้นก็ต้องเช่าสถานที่ ออกข้อสอบ จ้างผู้คุมสอบกับคนตรวจข้อสอบ และอื่นๆ
“ยิ่งคนสมัครเยอะเราก็ต้องใช้เงินเยอะ ดูจากจำนวนคนที่อยากร่วมงานกับเถิงต๋าตอนนี้ ดิฉันเกรงว่าการจัดสอบข้อเขียนขนาดใหญ่น่าจะต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะ…”
ใช้เงินเยอะเหรอ
ก็เยี่ยมไปเลยนี่
เผยเชียนพูดต่ออย่างจริงจัง “ถือว่าเป็นรายจ่ายที่จำเป็น ไม่ควรประหยัดกับเรื่องนี้”
“เอ่อ โอเคค่ะ” ห่าวหยุนพยักหน้าแล้วรีบจดบันทึกลงสมุดเล่มเล็ก
พอจดเสร็จ เธอก็ไล่สายตาดูสิ่งที่ตัวเองจดแล้วถามขึ้น “จะให้ผู้จัดการของแต่ละกิจการเป็นคนออกข้อสอบและตรวจข้อสอบหรือเปล่าคะ”
เผยเชียนส่ายหน้า “ผู้จัดการของแต่ละกิจการจะได้ออกข้อสอบแค่ส่วนหนึ่ง
“ข้อสอบจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นเรื่องทักษะพื้นฐาน เป็นการวัดทักษะพื้นฐานของผู้สมัคร อย่างความรู้ทั่วไป การตัดสินใจและการใช้เหตุผล การวิเคราะห์ข้อมูล การอภิปรายข้อมูล และอื่นๆ ข้อสอบส่วนที่สองจะเป็นเรื่องทักษะเฉพาะด้าน ผู้จัดการของแต่ละกิจการจะเป็นคนตั้งคำถามเพื่อทดสอบความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่จะสมัคร
“หลังเสร็จสิ้นการสอบ เราจะจัดลำดับตามคะแนนที่ทำได้
“ส่วนการสัมภาษณ์ เราจะใช้วิธีการให้ผู้จัดการของแต่ละกิจการสัมภาษณ์แบบสลับ”
ห่าวหยุน “เอ่อ สัมภาษณ์แบบสลับคืออะไรเหรอคะ”
เผยเชียนอธิบาย “ก็อย่างผู้จัดการฝ่ายเกมจะได้สัมภาษณ์คนที่สมัครนี่เฟิงโลจิสติกส์ ผู้จัดการของโมหยูเดลิเวอรี่จะได้สัมภาษณ์คนที่สมัครร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูอินเทอร์เน็ตโมหยู เราจะใช้การจับฉลากตัดสินว่าผู้จัดการของแต่ละกิจการจะได้สัมภาษณ์ผู้สมัครงานของกิจการไหน”
ห่าวหยุนงงไปอีกรอบ “จะทำได้เหรอคะบอสเผย เพราะต่างอาชีพก็ห่างกันดังขุนเขา”
เผยเชียนยิ้ม “จัดการไม่ยากเลย
“เราจะเตรียมคำถามและคำตอบสำหรับการสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้า เช่น สมมติว่าผู้จัดการฝ่ายเกมได้สัมภาษณ์คนที่สมัครนี่เฟิงโลจิสติกส์ ถึงผู้จัดการฝ่ายเกมจะไม่คุ้นเคยกับกิจการนี่เฟิงโลจิสติกส์ แต่ก็จะรู้ได้ว่าใครตอบสัมภาษณ์ได้ดีจากคำตอบที่เตรียมไว้ให้”
ห่าวหยุนถามออกไปด้วยความงุนงง “ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะคะ”
เผยเชียนผงะไป แต่ก็เรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “ก็เพราะ…มันมีความสำคัญมาก! ตัวอย่างเช่น ช่วยป้องกันการเล่นพรรคเล่นพวกกับระบบอุปถัมภ์!
“ทำแบบนี้จะช่วยป้องกันการทุจริตระหว่างการจ้างงานซึ่งเป็นปัญหาในบริษัทใหญ่หลายๆ บริษัท!”
ห่าวหยุนถึงบางอ้อ เธอพยักหน้าพลางจดทุกอย่างลงสมุด
เผยเชียนพูดต่อ “พอสัมภาษณ์ทุกคนเสร็จ เราจะประเมินคะแนนรวมโดยเอาคะแนนสัมภาษณ์กับคะแนนข้อเขียนมารวมกัน คนที่ได้คะแนนอันดับต้นๆ จะถือว่าผ่านรอบนี้
“แต่ยังมีรอบที่สามซึ่งเป็นรอบทดสอบความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณของเถิงต๋าด้วย!
“ผมจะเป็นคนคิดคำถามรอบนี้ ทุกคนจะได้สอบอีกครั้ง ส่วนการตรวจข้อสอบจะใช้คอมพิวเตอร์
“คนที่ผ่านการสอบรอบนี้จะได้เข้ามาเป็นพนักงานของเถิงต๋ากรุ๊ป
“คนที่ไม่ผ่านจะได้ทดลองงานหนึ่งเดือน ในช่วงทดลองงานเราจะจ่ายเงินเดือนให้ แต่พนักงานกลุ่มนี้จะไม่ได้รับผิดชอบงานสำคัญๆ งานหลักของพวกเขาคือเรียนรู้และทำความเข้าใจจิตวิญญาณของเถิงต๋า
“พอครบช่วงทดลองงานหนึ่งเดือน พวกเขาจะได้สอบความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณของเถิงต๋าอีกรอบ ถ้าไม่ผ่านก็ต้องเลื่อนการจ้างงานออกไป ถ้าโดนเลื่อนการจ้างงานครบสามครั้งจะถือว่าหมดสิทธิ์การจ้างงาน แต่จะชดเชยให้อย่างเหมาะสม”
ห่าวหยุนรัวมือจดบันทึกด้วยความรู้สึกทึ่ง
สมแล้วที่เป็นบอสเผย บอสออกแบบวิธีคัดคนไว้หลายขั้นตอนมาก!
ดูจะเป็นขั้นตอนที่เข้มงวดสุดๆ!
ถึงจะคิดว่าขั้นตอนต่างๆ นั้นดูมากเกินพอดี แต่ห่าวหยุนก็รู้ว่าบอสคงมีเหตุผลเบื้องหลัง จึงไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก
อีกอย่างวิธีการของบอสเผยก็ดูดีมากๆ
เผยเชียนพอใจมาก
ถ้าใช้วิธีการเดิม เผยเชียนมั่นใจว่าฝ่ายบุคคลที่เลขาซินสอนงานมากับมือจะต้องทำงานได้อย่างดีเยี่ยม อีกอย่าง ผู้จัดการของหลายๆ กิจการก็ดูเหมือนจะชอบแทงข้างหลังเขาซะเหลือเกิน พนักงานใหม่ที่ได้จากการคัดเลือกด้วยวิธีนี้จะต้องเก่งและรับมือได้ยากมากแน่ๆ
ถึงวิธีใหม่จะช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็น่าจะลดความอันตรายลงได้มาก!
อันดับแรก พวกเขาจะตัดการกรองเรซูเม่ออก ทุกคนจะมีโอกาสเท่าเทียมกันหมด จุดนี้จะช่วยกันไม่ให้คนอ่อนประสบการณ์และประวัติการศึกษาไม่สูงถูกคัดออก
อย่างที่สอง ข้อสอบข้อเขียนจะเน้นเรื่องความรู้เกี่ยวกับสายงานเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งเป็นความรู้ทั่วไปที่ไม่ได้เกี่ยวกับงาน ส่วนนี้จะช่วยคนที่เก่งเรื่องสอบแต่ไม่เก่งเรื่องทำงาน
นอกจากนี้ผู้จัดการของแต่ละกิจการต้องสัมภาษณ์แบบสลับ เท่ากับว่าคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจะเป็นคนคัดพนักงานให้แต่ละกิจการ จุดนี้จะช่วยลดโอกาสในการเลือกผู้สมัครที่โดดเด่นมากๆ
อย่างสุดท้ายเผยเชียนสามารถเลือกพวกความสามารถจำกัดได้จากข้อความสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณของเถิงต๋า คนที่ขยันเกินไปจะโดนให้ออกโดยจ่ายค่าชดเชย นอกจากจะได้ผลาญเงินแล้ว เขายังมั่นใจด้วยว่าจะได้คนที่วางใจได้เข้ามาทำงานในแต่ละตำแหน่ง
สมบูรณ์แบบสุดๆ!
แน่นอนว่าวิธีการนี้ไม่ได้ตรงกับความคิดของเผยเชียนทุกอย่าง
แต่เขาทำอะไรเกินเลยไปไม่ได้ เพราะไม่สามารถระบุตรงๆ ได้ว่ามาตรฐานการจ้างงานคือ ‘พวกความสามารถจำกัด’
ทั้งหมดนี้คือที่สุดแล้วที่ระบบอนุญาต นี่คือวิธีการคัดเลือกพนักงานที่ดีที่สุดเท่าที่เผยเชียนจะออกแบบได้
ไม่นานห่าวหยุนก็จดทุกอย่างเสร็จ ซึ่งกินพื้นที่ในสมุดเล่มเล็กของเธอไปหลายหน้า
เผยเชียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะพูดต่อ “หน้าที่หลักของฝ่าย HR คือประสานงานกับกิจการอื่นๆ เพื่อให้กระบวนการต่างๆ เริ่มต้นได้เร็วที่สุด
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานที่และการจัดสอบ เรื่องตำแหน่งทั้งหมดที่ต้องรับคนของแต่ละกิจการ และเรื่องอื่นๆ
“ถ้าต้องใช้เงินตรงไหนให้บอกผมเลย ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย!
“อย่างเรื่องการรับสมัคร ถ้าคิดว่างานตรวจเรซูเม่หนักไปก็เอาเงินไปทำเว็บไซต์เพื่อการสมัครงานโดยเฉพาะ การรับสมัคร พิมพ์บัตรผู้เข้าสอบ ขั้นตอนอะไรพวกนี้จัดการให้เป็นอัตโนมัติได้หมด
“ผมขอย้ำอีกครั้งว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย!
“พนักงานเก่งๆ คือรากฐานของความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ เรื่องพวกนี้จะช่วยเราเรื่องการรับสมัครคนในระยะยาว ทำงานหนักตอนนี้ แต่ได้ผลประโยชน์ในระยะยาว คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่มั้ย”
ห่าวหยุนพยักหน้า “เข้าใจค่ะบอสเผย!”
เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกถึงปัญหาที่มองข้ามไปขึ้นได้ “เอ่อ บอสเผยคะ เราควรคุยเรื่องเงินเดือนตั้งต้นในขั้นตอนไหนคะ
“ต้องพยายามกดเงินเดือนลงไหมคะ”
ตามขั้นตอนการรับคนของบริษัททั่วไป ฝ่าย HR จะคุยเรื่องเงินเดือนที่คาดหวังในช่วงสัมภาษณ์ ระหว่างที่คุยกันเรื่องนี้ ฝ่าย HR จะต้องพยายามกดเงินเดือนลงให้ได้มากที่สุด
ถือเป็นวิธีการปกติที่บริษัทส่วนใหญ่ใช้
แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่มีในขั้นตอนการรับคนของบอสเผย
เผยเชียนตอบเสียงหนักแน่น “การกดเงินเดือนไม่ใช่วัฒนธรรมของเถิงต๋า!
“ถ้าผู้สมัครผ่านการสอบและขั้นตอนต่างๆ ได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นคนเก่งที่เราต้องการ
“เพราะฉะนั้นเราก็ต้องให้เกียรติพวกเขา จะให้ไปกดเงินลงได้ยังไง!
“เพื่อแค่จะประหยัดเงินไม่กี่ร้อยหยวนต่อเดือน แต่ต้องทำให้คนพวกนี้ไม่มีความสุขและทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน สุดท้ายก็เป็นบริษัทที่เสียผลประโยชน์
“เพราะงั้นจึงไม่ควรกดเงินเดือน!
“การถามผู้สมัครว่าคาดหวังเงินเดือนเท่าไหร่แล้วพยายามกดจำนวนลงก็ไม่ต่างอะไรจากพวกขูดรีดเงิน
“เราจะให้เงินเดือนตามเรตสูงสุดของตลาด เพื่อให้มั่นใจว่าเงินเดือนของที่เถิงต๋าจะสู้กับที่อื่นได้ พอพวกเขาผ่านการสอบวัดความเข้ากันได้กับเถิงต๋า เราค่อยขึ้นเงินเดือนให้อีก
“เราต้องจ่ายเงินเดือนให้พนักงานอย่างสมน้ำสมเนื้อ เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะทำงานให้เถิงต๋าอย่างเต็มที่!”
—
[1] ตงฉ่างกับซีฉ่างเป็นตำแหน่งขุนนางของจีนโบราณ ทำหน้าที่เหมือนเป็นตำรวจลับคอยสอดส่องดูแลความเคลื่อนไหวของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าคิดร้ายต่อราชสำนัก