“นายท่านมีคำสั่งว่าไม่ขาย ไม่ว่าจะให้ราคาเท่าไหร่ก็ไม่ขาย เจ้ากลับไปซะ” ยามเฝ้าประตูน้ำเสียงเริ่มหมดความอดทน
“สองแสน สองแสนตำลึงเงิน!”
ยามเฝ้าประตูจ้องเขม็ง เขาขยับมือและมีวัตถุทรงกลมสีดำปรากฎอยู่ในมือ “นายท่านสั่งว่าหากเชิญแล้วไม่ไปให้มอบสิ่งนี้ให้กับพวกมัน”
คนรับใช้หน้าซีดเมื่อเห็นวัตถุทรงกลมดำ เขารีบถอยอย่างบ้าคลั่ง หลังจากห่างออกไปหลายเมตร เขาตะโกนกลับมาอย่างหวาดกลัว “ห้าแสน! ห้าแสนตำลึงเงิน ยังจะปฏิเสธอยู่หรือไม่?”
ยามเฝ้าประตูฉุนจัด เขาชักมือไปเบื้องหลังทำท่าเหมือนจะโยน คนรับใช้ผู้นั้นตกใจกลัวและหายตัวไปไวยิ่งกว่ากระต่ายถูกล่า
ยามเฝ้าประตูมีสีหน้าพึงพอใจ เขาวางอัสนีลั่นเก็บใส่กระเป๋า หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงสบถสาบาน “บัดซบเอ้ย ห้าแสนตำลึงเงินกับภาพๆเดียว…ถ้าข้ารู้อย่างนี้ ข้าคงไปเรียนวาดภาพแล้ว”
ห้าแสนตำลึงเงินสำหรับคนธรรมดานั้นมากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปสิบชาติ
ระหว่างที่คิดเสียดายอยู่นั้น เขาไม่ทันสังเกตเลยว่ามีเงาสีขาวที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบเมตรกำลังปีนข้ามกำแพง ยามที่เขาจับจ้องอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่ง เขาย่อมไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงจุดอับสายตา
ฮั่วฉุ่ยโหรวนั้นบอบบางและอ่อนโยน หัวใจของนางบริสุทธิ์ราวกับน้ำใส และนางนั้นรู้สึกว่าต้องปฏิบัติตามจารีตนิยม บุตรธิดาต้องให้พ่อแม่จัดการเรื่องคู่ครอง มารดาต้องมอบความรักแก่บุตร ภรรยาต้องเชื่อฟังสามีและเขาจะไม่ห่วงว่านางจะนอกใจ สตรีที่มีความคิดเช่นนี้นับว่าเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่จะนำมาเป็นภรรยา
ด้วยเหตุนี้ เมื่อหัวใจนางเกิดความรู้สึกชอบพอต่อเย่หวูเฉิน นางจึงต้องกดระงับความรู้สึกและตำหนิตัวเองที่ทำเรื่องผิดพลาด นางไม่อาจทำให้บิดาของตนต้องผิดหวัง เพราะเขาเป็นคนเลือกว่าที่สามีให้กับนาง
แต่สำหรับเย่หวูเฉินนั้นเขาจะต้องทำ บังคับให้นางต้องตัดสินใจ วิธีที่ได้ผลรวดเร็วที่สุดแน่นอนว่าคือวิธีเสื่อมทราม เมื่อนางตกอยู่ในเงื้อมมือของบุรุษ และด้วยอุปนิสัยของนาง ชั่วชีวิตนี้นางย่อมไม่อาจคิดถึงบุรุษอื่นใดได้อีก
เย่หวูเฉินแผ่จิตสัมผัสไปทั่วบริเวณ เขาระบุตำแหน่งของผู้คนในตระกูลฮั่วได้อย่างง่ายดาย อย่างที่คาดไว้ ตระกูลฮั่วมีผู้คุ้มกันชั้นดีเพียงไม่กี่คน แต่เขารู้ว่ายังต้องระวังคนรับใช้ธรรมดาที่ถูกฝึกมาให้ใช้ปืนไฟ ใครก็ตามที่กล้าบุกรุกเข้ามาจะต้องถูกลบออกไป
ฮั่วฉุ่ยโหรวนั่งอยู่ในห้อง นางไม่อาจห้ามตัวเองและนำมันออกมา สิ่งนั้นที่นางมองดูไม่รู้กี่ครั้ง ตอนนี้นางกำลังกางมันออกอย่างนุ่มนวล
ดอกบัวงดงามละเอียดละออ สะท้อนเงาอยู่ในสระน้ำสีเขียวลึกราวกับมีชีวิต ราวกับเป็นวัตถุของจริง ภาพมหัศจรรย์ของดอกบัวขณะเบ่งบานยามนั้นไม่อาจปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ภาพวาดนี้ก็ยังนับเป็นผลงานระดับพระเจ้าสรรสร้าง สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิแม้เพียงนิดเดียว
มองภาพวาดนี้มานับไม่รู้กี่ครั้ง นางรู้อยู่เลือนราง ว่านางไม่ได้มองภาพวาด หากแต่เป็นสิ่งที่ภาพวาดนี้เกี่ยวพันและทำให้หัวใจนางเต้นแรง ยามที่มองภาพวาด ภายในใจกลับปรากฎเป็นภาพเขากำลังมีใบหน้าที่มีความสุขไม่เปลี่ยนแปลง รอยยิ้มนั้นปรากฎอยู่ในใจนางบ่อยครั้ง ยากยิ่งนักที่จะลบเลือน
สาวน้อยที่เริ่มเกิดความรู้สึกสนใจในเพศตรงข้ามสมควรมีความรู้สึกว้าวุ่นและเขินอาย แต่นางกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางยิ่งรู้สึกจมลึกอยู่กับความรู้สึกผิดและขื่นระทม
นางรู้ดีว่าสามีในอนาคตได้ถูกกำหนดไว้แล้วเมื่อหกปีก่อน นางไม่อาจปล่อยตัวเองให้หวั่นไหวกับชายอื่น ความรู้สึกของนางต่อหลินเสี่ยวไม่เคยลึกซึ้งเท่ากับที่นางรู้สึกกับเย่หวูเฉิน และตอนนี้นางกระทั่งไม่อาจนึกภาพใบหน้าของหลินเสี่ยวได้ชัดเจน
นางไม่ควรยอมรับภาพวาดนี้ รวมทั้งไม่ควรมอบขลุ่ยให้เขา นางพยายามอยู่หลายครั้งให้สาวใช้นำภาพวาดนี้ออกไป จะเอาไปทิ้งหรือเผาก็ตามแต่ แต่ทุกครั้งที่นางพยายามพูด นางกลับหยุดถ้อยคำไว้ ทุกๆครั้งที่นางยื่นภาพวาดให้กับสาวใช้ หัวใจนางจะพลันรู้สึกว่างเปล่า ราวกับว่าต้องสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งหากนางปล่อยมันไป นางกลัวความรู้สึกว่างเปล่านั้น ดังนั้นนางจึงนำภาพวาดกลับมาและขออยู่ตามลำพัง
หากไม่มีภาพวาดนี้ เพียงความรู้สึกเล็กน้อยที่ฮั่วฉุ่ยโหรวมีต่อเย่หวูเฉิน นางย่อมสามารถค่อยๆลบลืมเขาจากความทรงจำ แต่เพราะภาพนี้ของเย่หวูเฉินส่งผลต่อความคำนึงของนาง นอกจากนางจะทิ้งภาพนี้ไป มิเช่นนั้นนางย่อมนึกถึงเขาราวเผชิญฝันร้ายในทุกค่ำคืน จนกระทั่งไม่สามารถลืมเขาได้
“งดงามใช่หรือไม่?”
เสียงแผ่วเบาดังขึ้นข้างใบหูของนาง ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน ฮั่วฉุ่ยโหรวเผลอตัวตอบกลับอย่างนุ่มนวล นางพลันสะดุ้งรู้สึกตัว รีบหันกายกลับมาใบหน้าแทบสัมผัสกัน นางตกใจถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นเขาฉับพลันนางแทบไม่เชื่อสายตา “เป็น…เป็นท่าน!”
“ถูกต้องข้าเอง แปลกใจมากหรือ?” ใบหน้าของเย่หวูเฉินมีรอยยิ้มที่ไม่ทราบว่าได้ปรากฎซ้ำๆอยู่ในใจของฮั่วฉุ่ยโหรวมาแล้วกี่ครั้ง
ฮั่วฉุ่ยโหรวตื่นตระหนก นางถามเสียงสั่น “ท่าน…ท่านมาได้อย่างไร?”
“เพราะว่าข้าอยากพบเจ้า ดังนั้นข้าจึงมา เจ้าไม่คิดถึงข้าหรือ? เสี่ยวโหรวโหรว ของข้า” เย่หวูเฉินกล่าวและยิ้มอย่างพึงพอใจกับท่าทางตื่นตระหนกของนาง
เย่หวูเฉินเรียกชื่อนางอย่างรักใคร่ ทำให้ใบหน้าของนางแดงดุจกลีบกุหลาบ หัวใจนางเต้นสั่นระรัว นางสับสนรีบซ่อนภาพไว้ข้างหลัง ถามอย่างกระวนกระวาย “ใคร…ใครคิดถึงท่าน ท่านรีบออกไปโดยเร็ว…ไม่เช่นนั้น ข้าจะเรียกคนมา พ่อของข้าดุมาก”
นางไม่เคยอยู่ในห้องตามลำพังกับบุรุษอื่นนอกจากบิดาของนาง ยิ่งกว่านั้นห้องของนางก็ไม่เคยมีบุรุษคนใดก้าวเท้าเข้ามา
“พ่อของเจ้าตอนนี้ไม่อยู่บ้าน ฟังจากน้ำเสียงเจ้าคงเป็นห่วงข้าใช่หรือไม่? อย่าห่วงเลย พ่อของเจ้าไม่ดุด่าข้าหรอก” เย่หวูเฉินนั่งลงบนเบาะของฮั่วฉุ่ยโหรว สูดกลิ่นหอมชื่นใจบางเบา
“ท่านออกไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นข้าจะตะโกน” ฮั่วฉุ่ยโหรวถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความตื่นตระหนก ท่าทางของนางดูน่าสงสาร
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่หวูเฉินหายไป เขาถอนหายใจเบาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนคนโดดเดี่ยว “เจ้าไม่ชอบข้า?”
สีหน้าของเขาทำให้นางกังวลอย่างไม่อาจอธิบาย นางส่ายศีรษะและกล่าวออกไปโดยแทบไม่รู้ตัว “เปล่า…”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงต้องไล่ข้าออกไป?”
“เพราะว่า…นี่คือห้องของข้า ผู้อื่นไม่อาจเข้ามาได้”
“ว่าที่สามีของเจ้าก็เข้ามาไม่ได้หรือ?” เย่หวูเฉินมองนาง
ฮั่วฉุ่ยโหรวดวงตาเบิกกว้าง ไม่อาจตอบสนองกับคำถามกะทันหันนี้
“หากว่าเจ้าปรารถนา วันหน้าเจ้าจะกลายเป็นของข้าเย่หวูเฉินแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีผู้ใดที่จะขวางทางข้าได้” เขายิ้มอย่างอ่อนโยน ทุกถ้อยคำล้วนกล่าวชัดเจน เป็นถ้อยคำที่ไม่ต้องถามถึงความหมาย
หัวใจนางเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง เร็วจนแทบจะหลุดออกมา ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความกลัว แม้แต่นางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆหัวใจจึงเต้นแรง แต่ในฉับพลัน นางก็คิดถึงเรื่องการหมั้นหมายระหว่างตระกูลฮั่วและตระกูลหลิน
นางฝืนพยายามส่ายศีรษะ “ไม่ พวกเราไม่สมควรเป็นเช่นนี้…หาก หากท่านไม่ออกไป ข้าจะตะโกน”