“ประมุขคนใหม่แห่งสำนักจักรพรรดิเหนือเหยียนเทียนเว่ย ในนามของสำนักจักรพรรดิเหนือ ข้าขอรับรองถ้อยคำของจอมราชัน หากจอมราชันไม่อาจรักษาถ้อยคำที่ให้ไว้กับโลกได้ โลกนี้ทั้งหมดจงหัวเราะเยาะสำนักจักรพรรดิเหนือของข้า และเช่นเดียวกัน สำนักจักรพรรดิเหนือของข้ามิได้ดับสูญในมือของจอมราชัน ที่ถูกกวาดล้างคือบางส่วนที่โสโครก สำนักจักรพรรดิเหนือของข้าจะภักดีต่อจอมราชันตลอดไป ไม่มีวันคิดคดทรยศ หากวันใดผิดคำสาบาน ขอให้พินาศจากทัณฑ์สวรรค์ ผู้คนทั่วหล้าเป็นพยานได้!”
หลายเดือนนับจากสำนักจักรพรรดิเหนือถูกทำลาย เหยียนเทียนเว่ยนำหยกจักรพรรดิเหนือท่องไปทั่วหล้าพร้อมกับเหยียนต้วนชาง , เหยียนชิงหง และคนอื่นๆ ค้นหาขุมกำลังสำนักจักรพรรดิเหนือที่เหลืออยู่ ล้างชำระและจัดตั้งสำนักจักรพรรดิเหนือขึ้นใหม่อีกครั้ง แม้การจัดตั้งครั้งใหม่จะยังไม่มั่นคง แต่สำนักจักรพรรดิเหนือย่อมรุ่งเรืองขึ้นในทวีปเทียนเฉินอีกครั้ง
ชายชราอายุใกล้ๆ 70 ปรากฎกายอยู่ทางซ้ายของเย่หวูเฉิน ทันทีที่เขาปรากฎกาย แรงกดดันก็แผ่ท่วมลงไปที่เบื้องล่าง เหล่ามนุษย์ได้สัมผัสแรงกดดันของตัวตนเหนือมนุษย์อย่างต่อเนื่อง
เคร้ง…. เสียงอาวุธของทหารต้าฟงผู้หนึ่งโยนลงพื้น ภายใต้บรรยากาศอันเงียบงัน เสียงนี้ดังชัดเจนยิ่ง
เคร้ง…. เคร้ง…. เคร้ง….
เมื่ออาวุธชิ้นแรกตกลงพื้น ความรู้สึกหลุดพ้นเป็นอิสระจากจิตใต้สำนึกก็ทะลักท่วมในหัวใจเหล่าทหารต้าฟง อาวุธร่วงลงจากมืออย่างต่อเนื่อง ลดร่างคุกเข่าลงตามกันดุจคลื่น ศิโรราบต่อจักรพรรดิมารและกองทัพเทียนหลงที่อยู่ตรงหน้า
คลื่นมนุษย์ลดร่างลงตามกัน เพียงไม่นานทหารต้าฟงนับล้านก็คุกเข่าจนหมดสิ้น แสดงออกถึงการยอมศิโรราบของตนเอง…. จักรพรรดิมาร , จักรพรรดิแห่งคุยชุย , จักรพรรดิแห่งชางหลาน , จักรพรรดิแห่งเทียนหลง , ประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ , ประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือ…. บุคคลทั้งหกที่แข็งแกร่งและสูงส่งสุดในโลก ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่…. ยังเหลือสิ่งใดให้พวกมันไม่เชื่อถือ ต่อให้ไม่เชื่อถือแล้วจะขัดขืนอันใดได้?
ในเมื่อจักรพรรดิมารสามารถขับไล่พายุทรายคลั่ง พวกมันยังต้องต่อต้านสิ่งใด ยังมีสงครามใดที่จำเป็นอีก…. หากภัยพิบัติที่นำความทุกข์ยากสู่บ้านเกิดได้หายไป การยอมศิโรราบหรือแม้แต่เป็นข้าทาส ยังมีเหตุผลใดที่จะยอมรับไม่ได้?
เยว่หานตงยังคงยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของกองทัพ โดดเด่นประดุจห่านในฝูงไก่ แม้สีหน้ากลับกลายหากร่างยังคงตรงตั้ง บัดนี้มันรู้แล้วว่ากองทัพแห่งต้าฟงได้จบสิ้นแล้ว ต่อให้ดิ้นรนเพียงใด วันนี้ทวีปเทียนเฉินย่อมไม่มีอาณาจักรต้าฟงอยู่อีก จักรพรรดิมาร , จักรพรรดิแห่งคุยชุย , จักรพรรดิแห่งชางหลาน , จักรพรรดิแห่งเทียนหลง , ประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ , ประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือ…. ยังมีผู้ใดที่สามารถกอบกู้อาณาจักรต้าฟง กลับคืนจากมือของคนเหล่านี้?
“ประเสริฐ…. ในเมื่อพวกเจ้าเลือกที่จะยอมแพ้ ดังนั้นนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าคือส่วนหนึ่งของอาณาจักรเทียนหลงของหนึ่งเดียวผู้นี้”
เหนือกำแพงเมือง หลงฮวงเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย ลอบมองเย่หวูเฉินปราดหนึ่ง กดหัวคิ้วหรี่ตากล่าวคำอย่างเคร่งครัด “สามีของหนึ่งเดียวผู้นี้จะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ยากที่เกิดจากพายุทรายในเวลาหนึ่งเดือน ความยากแค้นที่พวกเจ้าประสบอยู่หนึ่งเดียวผู้นี้ย่อมรับรู้ ในเมื่อพวกเจ้าเป็นคนของหนึ่งเดียวแล้ว หนึ่งเดียวผู้นี้ย่อมช่วยเหลือพวกเจ้าและครอบครัวให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข”
หลงฮวงเอ๋อร์เหยียดแขนชูขึ้น ในมือมีหยกชิ้นใหญ่อยู่ ลักษณะของมันทำให้ฟงเลี่ยที่มีสภาพดุจคนตายเบิกตาโพลง…. เพราะนั่นคือตราหยกราชวงศ์ที่สูญหายไปจากอาณาจักรต้าฟงเมื่อหนึ่งกว่าปีที่แล้ว!
“นี่คือตราหยกราชวงศ์แห่งอาณาจักรต้าฟง นับแต่นี้เป็นต้นไป ทวีปเทียนเฉินจะไม่มีนามว่าต้าฟงอีก” หลงฮวงเอ๋อร์โยนตราหยกราชวงศ์ชิ้นหนักขึ้นสู่อากาศ นางคว้าจับกระบี่ทองไว้ในมือ เหวี่ยงตัดตราหยกราชวงศ์ชิ้นนั้น
แคร้ง!
เสียงแตกหักดังขึ้นพร้อมตราหยกราชวงศ์ถูกผ่าครึ่ง เศษชิ้นร่วงตกจากกำแพงเมือง กระทบพื้นดินที่เต็มไปด้วยก้อนหิน พอเห็นตราหยกราชวงศ์ถูกทำลาย ฟงเลี่ยก็แทบได้ยินเสียงหัวใจตัวเองแตกสลาย เพราะนั่นหมายถึงอาณาจักรต้าฟงไม่มีอยู่อีกแล้วนับแต่เวลานั้น
“หลังจากวันนี้ หนึ่งเดียวผู้นี้ขอประกาศให้ทั่วหล้าได้รับรู้ ดินแดนทั้งหมดของอดีตอาณาจักรต้าฟงจะผนวกรวมเข้ากับอาณาจักรเทียนหลง สามีของหนึ่งเดียวจะแก้ปัญหาพายุทรายในหนึ่งเดือน พรุ่งนี้จะเริ่มโอนย้ายจัดการฝั่งตะวันตก หากมีการขัดขืนหรือก่อกบฎจะต้องถูกประหารโดยไม่มียกเว้น!”
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ!” เย่หนู่ที่อยู่เหนือกำแพงเมืองคุกเข่าลงและตะโกนดังลั่น เหล่าทหารแห่งเทียนหลงคุกเข่าลงตามกัน ข้างนอกนั้นทหารนับล้านของอดีตต้าฟงได้ก้มกายถวายบังคมต่อจักรพรรดิองค์ใหม่
เย่หวูเฉินลดมือลงช้าๆ ใบหน้าฉายแววยินดีมีความสุข แท่งน้ำแข็งนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมท้องฟ้าได้หายไปไร้เงื่อนประดุจระเหยไป ท้องฟ้ากลับคืนสู่สีสันดังเดิมของมันอีกครั้ง
กองทัพเทียนหลงได้ยึดครองเมืองเทียนฟงอันเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรต้าฟงไว้ หากนั่นไม่ได้หมายถึงอาณาจักรต้าฟงทั้งหมดจะยอมแพ้ นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ดีเท่านั้น ทว่ายามนี้ จักรพรรดินีแห่งเทียนหลงกล่าวคำอย่างห้าวหาญผนวกดินแดนของต้าฟงทั้งหมดรวมเข้ากับอาณาจักรเทียนหลง ล้วนไม่มีผู้ใดคิดว่าไม่เหมาะสม เพราะเผชิญหน้ากับตัวตนแกร่งกล้าและสูงส่งสุดในโลกทั้งหกบุคคล ไหนเลยอาณาจักรต้าฟงจะมีโอกาศรักษาไว้ได้…. นี่คือพลังที่ท่วมท้นอย่างแท้จริง พลังที่ไร้สิ่งใดต่อต้าน
แต่ต่อให้ไม่รวมทั้งหมด ลำพังจักรพรรดิมารที่สามารถปัดเป่าความทุกข์ยากจากพายุทรายคลั่ง ก็เพียงพอทำให้ผู้คนเกินครึ่งของอาณาจักรต้าฟง ปรารถนาจ่ายราคาสาบานตนภักดีต่อเทียนหลง
ทหารนับล้านของต้าฟงคุกเข่าลงเพราะการขู่ขวัญครั้งใหญ่ รวมกับการล่อใจด้วยสัญญานั้น…. ทว่าถึงแม้ทุกคนจะคุกเข่าลง แต่เยว่หานตงยังคงไม่ลดร่าง ปักหลักถืออาวุธยืนทะนงอยู่ตรงนั้น…. มันมิได้โน้มน้าวทหารเบื้องหลังให้ลุกต่อต้าน เพราะการขัดขืนมีเพียงทำให้พวกมันตายเปล่า ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่กำหนดไว้ อีกทั้งการปัดเป่าฝันร้ายจากพายุทราย ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนทั้งหมดแห่งอาณาจักรต้าฟงเฝ้าฝันหรอกหรือ?
การไม่ต่อต้านมิได้หมายถึงมันจะยอมศิโรราบต่ออาณาจักรเทียนหลง เสียง ‘ชิ้ง’ ดังขึ้น มันชักกระบี่เหวี่ยงขึ้นที่ลำคอตัวเอง
การกระทำนี้ทำให้เหล่าทหารต้าฟงดวงตาเบิกกว้าง ทว่าพวกมันย่อมไม่มีเวลาทันห้าม เย่หนู่และเย่เว่ยไม่แปลกใจกับการกระทำนี้เท่าใด ทั้งสองทำได้เพียงถอนหายใจยาว ขณะเทียบกันตนว่า หากยามนี้ไม่ใช่อาณาจักรต้าฟงที่กำลังเผชิญหน้าขุมกำลังแกร่งกล้า แต่เป็นอาณาจักรเทียนหลงของพวกตน ทั้งสองล้วนคิดว่าตนคงกระทำเช่นเดียวกับเยว่หานตงในเวลานี้
“ท่านพ่อ! อย่านะ! ท่านพ่อ….”
เหนือกำแพงเมืองมีเสียงร้องสะอื้นไห้ลอยมาฉับพลัน เยว่หานตงร่างสะท้าน กระบี่ยาวในมือหล่นร่วงลงพื้น
เสียงนี้มัน….
เยว่หานตงหันร่างไปยังต้นเสียง…. ที่ตรงนั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่งใบหน้าอาบด้วยน้ำตา ยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดินีเฟยฮวงและกำลังตะโกนมาทางนี้ เยว่หานตงหัวใจปั่นป่วนขณะพึมพำ “ซือฉี…. ซือฉี!!”
นี่คือลูกสาวของมันที่สูญเสียไปเมื่อหลายเดือนก่อน…. เยว่ซือฉี!
“ท่านพ่อ อย่าตายนะ…. ข้ากับท่านแม่กำลังรอท่านกลับบ้านอยู่…. ท่านพ่อ!” เยว่ซือฉีกกุมมือสองข้างไว้แน่นอยู่ตรงอก ตะโกนเปล่งเสียงดังสุดเท่าที่จะทำได้ หลายเดือนผ่านไป….. ในที่สุดนางก็ได้กลับมาพบหน้าคนในครอบครัวอีกครั้ง
เยว่หานตงแววตาสั่นไหวเลือนพร่า ในที่สุดมันก็ทรุดเข่าลง ทั่วร่างล้วนสั่นสะท้าน
จักรพรรดิมารมองดูเยว่หานตงคุกเข่าลงต่อหน้าตนเอง ความสุขวาบผ่านบนใบหน้าเล็กน้อยไร้ผู้ใดสังเกต จักรพรรดิมารลอยร่างขึ้นกลางอากาศ เหาะหายไปจากเส้นสายตา
การจากไปของจักรพรรดิมารดึงดูดความสนใจของคนทุกผู้ เยว่ซือฉีกุมมือสองข้างไว้แน่นอยู่ตรงอก มองยังทิศทางที่จักรพรรดิมารหายไปและกระซิบนุ่มนวล “ขอบคุณ….”
จนกระทั่งถึงวันนี้ ในที่สุดนางก็รู้ว่าเหตุใดเขาจึงลักพาตัวนางในวันนั้น และเหตุใดเขาถึงกล่าวว่ากำลังช่วยนาง
หากวันนั้นนางแต่งกับรัชทายาทต้าฟงฟงหลิง ในฐานะชายาของรัชทายาทแห่งอาณาจักรที่ล่มสลาย สถานการณ์ของนางยามนี้จะเป็นเช่นไรย่อมจินตนาการได้ ตอนนั้นเขาได้ตัดสินผลลัพธ์ของวันนี้ไว้ ทว่าเขายังคงช่วยนาง และไม่เพียงนางเท่านั้นแต่ยังรวมเยว่หานตงบิดานาง ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของเยว่หานตง ยามที่ต้าฟงล่มสลายเขาย่อมเลือกตกตายพร้อมอาณาจักรของตน ต่อให้ลูกเมียขอร้องขาดใจว่าอย่าตาย…. ทว่าหลังจากสูญเสียลูกสาวไปหลายเดือน เยว่หานตงคิดถึงลูกสาวทุกวันคืน ทันทีที่นางปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าขณะกำลังจะฆ่าตัวตาย ได้เห็นลูกสาวที่ไม่ทราบเป็นตายร้ายดีในขณะสุดท้าย อารมณ์ย่อมทะลักล้นอย่างรุนแรง ภายใต้แรงกระทบนี้ ต่อให้มันไม่กลัวตายก็ต้องยอมล้มเลิกปลิดชีพตัวเองเพื่อลูกสาว เพื่อครอบครัวทั้งหมดของตัวเอง….
นางเข้าใจ เข้าใจทั้งหมดแล้ว
สองคนด้านข้างเย่หวูเฉินถอนสายตากลับ หมุนร่างและหายไปจากสายตาของผู้คนอย่างรวดเร็ว ฉุ่ยหยุนเทียนและเหยียนเทียนเว่ยจากไปพร้อมกัน
เย่หวูเฉินลักพาตัวเยว่ซือฉีและนำตัวมาให้เหยียนกงเยว่คอยดูแลตลอดหลายเดือน ทั้งหมดนี้มิได้เรียบง่ายเพียงเพื่อช่วยเหลือพ่อและลูกสาว เขาย่อมไม่ทำสิ่งใดที่ไม่ได้ประโยชน์ต่อตัวเองหรือไร้เหตุผล เมื่อได้รับลูกสาวกลับคืน เยว่หานตงย่อมหยุดฆ่าตัวตายตามอาณาจักรที่ล่มสลาย เยว่หานตงคือแม่ทัพของเหล่าทหาร ทรงเกียรติภูมิเลื่องนามในอาณาจักรต้าฟง หากตกตายย่อมกระตุ้นความเกลียดชังของเหล่าทหารจำนวนมาก หลายคนอาจยอมตายดีกว่าอยู่ อาจเกิดอุปสรรคใหญ่หลวงต่ออาณาจักรเทียนหลง ทว่าเมื่อเยว่หานตงยอมศิโรราบลง…. กระทั่งตัวมันยังยอมจำนวน จิตวิญญาณและการต่อต้านของทหารที่เหลือย่อมดับสลายไป ส่งผลกระทบต่อจิตใจโดยตรง และนี่คือเหตุผลสำคัญที่เย่หวูเฉินลักพาตัวเยว่ซือฉีในตอนนั้น
ถูกลักพาตัวก่อนแต่งงาน เพียงเหตุการณ์นั้นผลลัพธ์กลับเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ บางครั้งชีวิตและความตายของคนเราสามารถพลิกผันได้ในขอบเขตที่คาดไม่ถึง
จักรพรรดิมารจากไป ประมุขสำนักจักรพรรดิใต้และประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือจากไปเช่นกัน อาณาจักรคุยชุยและอาณาจักรชางหลานค่อยๆเคลื่อนทัพกลับไปอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าทุกอย่างได้ยุติลง ราวกับว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ ข้อความแห่งการเริ่มต้นกำลังกระจายไปทั่วอาณาจักรต้าฟง สั่นสะเทือนทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน รุนแรงเพียงใดย่อมเป็นที่จินตนาการได้
ฟงหลิงยังคงองอาจและสง่างาม ตั้งกายตรงนั่งลงในวังประทับของตัวเอง แววตาสงบนิ่งดุจผิวน้ำ หากแต่เป็นน้ำที่หยุดไหล
มันทราบดีว่านี่เป็นวันสุดท้ายที่จะได้นั่งตรงนี้ วันนี้ทุกอย่างจะผ่านไปราวกับหมอก อาณาจักรต้าฟงล่มสลายลง จักรพรรดิมารกลับกลายเป็นเย่หวูเฉินที่อดีตเคยถูกพวกมันบีบคั้นให้ร่วงลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ เป็นความจริงอันน่ากลัวและน่าเหลือเชื่อ ความจริงนี้ทำให้มันรู้ว่าชะตากรรมสุดท้ายของตนคือสิ่งใด
ประตูถูกผลักเปิดเข้ามาในที่สุด ฟงหลิงปรายตามองและพรวดลุกขึ้น จากนั้นค่อยๆนั่งกลับลงไป
ผิดความคาดหมายของมันอย่างสิ้นเชิง คนที่เปิดเข้าประตูมากลับกลายเป็นเย่หวูเฉินหรือจักรพรรดิมาร
เย่หวูเฉินเดินตรงเข้ามาช้าๆ หยุดเท้าเมื่ออยู่ห่างต่อหน้าไม่กี่ก้าว เมื่อเสียงเดียวที่มีอยู่หยุดลง บรรยากาศก็เงียบสงัดอย่างน่ากลัว
“ฟงหลิง เจ้าคงยังจำได้ ถ้อยคำที่ข้าเคยกล่าวไว้ในอดีต” เย่หวูเฉินเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะ ใบหน้าราบเรียบไร้ระลอกอารมณ์แม้แต่น้อย
“จำได้ว่าเจ้าบรรลุสิ่งใด” ฟงหลิงตอบคำอย่างสงบ ในอดีตเย่หวูเฉินกอดหนิงเสวี่ยกระโดดลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ ตอนนั้นเขาได้เปล่งวาจา “หากข้าเย่หวูเฉินไม่ตกตาย ข้าจะทำให้พวกเจ้าตระกูลฟง ยิ่งกว่าไม่อาจไถ่ถอน” คำสาบานนี้มักดังก้องอยู่ในหู ภาพในวันนั้นยังคงปรากฎชัดเจน