ซีเหมินชิงดูคล้ายไม่รู้เรื่องนี้ ด้วยไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า เขายิ้มแล้วกล่าว “ภรรยาและข้าขอบคุณนายน้อยเย่ที่ยกย่อง แต่ข้าคิดว่านายน้อยเย่กับนางเซียนท่านนี้ดูเป็นคู่ที่เหมาะสมยิ่งกว่า โอ้ ใช่แล้ว…” เขาไม่ปล่อยให้เย่หวูเฉินและเมิ่งจื่อมีโอกาสปฏิเสธ เขาหันไปหาพานจินเหลียนแล้วกล่าว “เหลียนเอ๋อร์ นี่คือนายน้อยเย่แห่งเมืองเทียนหลงที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังอยู่บ่อยๆ”
ตอนแรกพานจินเหลียนตกใจ จากนั้นนางเข้าใจแล้วก้าวไปเบื้องคำนับอย่างนอบน้อม “ยินดีที่ได้พบท่าน นายน้อยเย่”
“อีกอย่างหนึ่ง เหลียนเอ๋อร์ นายน้อยเย่ต้องเดินทางไกล ช่วยบอกเสี่ยวซื่อให้รีบนำรถม้าของข้ามาที่นี่…”
“ไม่จำเป็นต้องใช้รถม้า” เย่หวูเฉินกล่าวขัดซีเหมินชิง “การเดินทางครั้งนี้พวกเราต้องผ่านป่าดงมากมาย รถม้าไม่เพียงเป็นที่สะดุดตา แต่ยังเดินทางผ่านลำบาก เดินเท้าจะสะดวกกว่า ขอเพียงม้าหนึ่งตัวให้นางได้ขี่นั่งแทนเดิน”
“ฮี่ฮี่ ตกลง นายน้อยเย่ช่างรักอิสระเสรี เหลียนเอ๋อร์ ช่วยบอกเสี่ยวซื่อให้เอาม้ายอดเยี่ยมทรหดที่สุดของพวกเรามาให้ที ม้าพรายหิมะพันลี้” ซีเหมินชิงตะโกนกล่าววาจาสง่างาม [โน๊ต: ชื่อม้าจารย์มาร์เอามาจากนิยายเรื่องหนึ่ง]
พานจินเหลียนรับคำแล้วออกไป เย่หวูเฉินยิ้มแล้วกล่าว “หวูเฉินขอบคุณพี่ซีเหมินที่มีน้ำใจ”
“อย่าใส่ใจเลย นายน้อยเย่ ท่านกับข้าเหมือนสหายเก่าแก่ ท่านคือบุคคลที่ข้าอยากเป็นสหายด้วยทั้งชีวิต การได้ช่วยเหลือท่าน ข้ามีแต่ความยินดี ข้าหวังว่าท่านจะแวะมาเยือนตระกูลของพวกเราอีกครั้งระหว่างขากลับ เพื่อให้ข้าได้แสดงความนับถือ”
คนทั้งสองไม่กล่าวถึงเรื่องค่ายกลพันเวทย์อีกเลย เพียงไม่นาน อาชาสีขาวก็ถูกจูงออกมา มันขาวบริสุทธิ์ไร้สีอื่นเจือปน เย่หวูเฉินช่วยเมิ่งจื่อขึ้นนั่งบนหลังม้า พวกเขากล่าวคำอำลาหลังจากถามเส้นทางกับซีเหมินชิง
แม้ร่างทั้งสี่จะหายลับไปจากสายตาแล้ว ซีเหมินชิงก็ยังยืนอยู่กับที่ มองไปยังทิศทางที่พวกเขาจากไป รอยยิ้มบนสีหน้าของเขาเลือนหาย แทนที่ด้วยความตรึกตรอง
“สามี นายน้อยเย่เป็นคนแบบไหนหรือ? เหตุใดท่านถึงสุภาพกับเขา? กระทั่งม้าพรายหิมะพันลี้ที่ท่านโปรดปรานที่สุดยังมอบให้ ทั้งที่ท่านยังแทบไม่ขี่มัน” พานจินเหลียนเดินมาอยู่เบื้องหลังเขาแล้วถามอย่างสงสัย นางไม่เคยเห็นซีเหมินชิงเจียมตัวต่อผู้อื่นขนาดนี้มาก่อน
ซีเหมินชิงถอนหายใจแล้วกล่าว “ตอนนี้ทุกคนรู้ว่าเขาคือผู้สืบทอดของเทพกระบี่ฉู่จิงเทียน เพียงแค่สถานะนี้ พวกเราก็ไม่อาจยั่วโทสะเขา พวกเราทำได้เพียงยอมรับความสูญเสียครั้งนี้ นอกจากนั้น เขายังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเย่ที่ร่ำรวยและทรงอำนาจ ในครั้งนั้นข้าประจักษ์กับตาขณะที่เขาประลองกับเจ้าหนุ่มหลิน ตอนนั้นข้าคิดว่าวรยุทธของเขาใช้ได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า… เขากลับสามารถทำลายค่ายกลพันเวทย์ นอกจากสถานะตัวตน เขายังซ่อนเร้นพลังไว้หลายอย่าง หากสามารถเป็นสหายกับบุคคลเช่นนี้ได้ พวกเราก็ต้องทำ แต่หากไม่อาจเป็นสหายกับเขา พวกเราก็ต้องไม่เป็นศัตรู ไม่ใช่เพราะพวกเราเป็นคนขี้ขลาด แต่เพราะเขาคือตัวตนที่ตระกูลซีเหมินต้องกังวล”
พานจินเหลียนตกตะลึง นางถามอย่างสงสัย “แล้วท่านผู้อาวุโสเป็นอย่างไรบ้าง…”
“ค่ายกลพันเวทย์เชื่อมโยงถึงอวัยวะสำคัญของพวกเขา การทำลายค่ายกลพันเวทย์ย่อมส่งผลสะท้อนทำให้พวกเขาบาดเจ็บสาหัส อย่างน้อยในเวลาครึ่งปีพวกเขาจะไม่สามารถฟื้นคืนพลังกลับมา ในช่วงเวลาดังกล่าวเรื่องภายในพวกเราต้องกวดขันและตื่นตัว ส่วนภายนอกให้เป็นไปตามปกติ เราจะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าค่ายกลพันเวทย์ถูกทำลาย”
ตะวันคล้อยต่ำ บนถนนเก่าแก่มีสี่บุคคลและหนึ่งอาชา เงาของพวกเขาทอดยาวทับกัน เมิ่งจื่อขี่ม้าเพียงลำพัง ฟังเย่หวูเฉินกับหนิงเสวี่ยหัวเราะคุยกัน เมื่อพวกเขาพบกันคราแรก นางชื่นชอบที่พวกเขาไม่สนใจ แต่เวลานี้นางรู้สึกอับเฉาอยู่ลึกในใจ ความรู้สึกที่ถูกเมินเฉย ความรู้สึกเสียใจที่ไม่มีผู้ใดสนใจนาง
เนื่องจากแผลที่เท้า นางจึงทำได้แค่เพียงขี่ม้า ม้าพรายหิมะตัวนี้เย่หวูเฉินขอตระกูลซีเหมินให้นางโดยเฉพาะ และเมื่อได้ขี่มัน แทนที่นางจะรู้สึกสบายใจ นางกลับรู้สึกว่างเปล่า นางรู้สึกว่าจู่ๆก็สูญเสียบางสิ่งไป ไม่ทราบว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน…นางไม่ทราบและไม่อาจหามันเจอ
“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสจบภารกิจนี้… นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว” นางมองไปเบื้องหน้าอย่างสับสนและลอบพึมพำ
“นางเซียนเมิ่ง ท่านยังเจ็บเท้าอยู่หรือไม่?” ในที่สุดเย่หวูเฉินก็คุยกับนาง
เมิ่งจื่อไม่ตอบเขาในทันที นางมองไปข้างหน้าก่อนจะกล่าว “นึกไม่ถึงว่าท่านจะมีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนี้ กระทั่งนายน้อยแห่งตระกูลซีเหมินยังยกย่องชื่นชม”
เย่หวูเฉินหัวเราะและกล่าวหยอก “นางเซียน ท่านคิดจริงๆหรือว่าเขาชื่นชมข้าเหมือนที่กล่าว? ในอาณาจักรเทียนหลงนอกจากราชตระกูลแล้ว พวกนักเวทย์เรียกได้ว่าแทบสูญพันธ์ แต่ในแดนใต้พวกเขาสามารถกำแหงได้เต็มที่ วันนั้นที่ประลองในราชวิทยาลัยเทียนหลง อย่างมากพวกเขาก็สนใจเพียงเล็กน้อย สำหรับเรื่องอื่น… ท่านคิดว่าตระกูลเวทย์ยิ่งใหญ่เหล่านี้จะสนใจอัจฉริยะพวกนั้นจริงๆ? ตระกูลเวทย์พวกนี้ล้วนภาคภูมิในทักษะ พวกเขาเหยียดหยันพวกที่เรียนอักษร ที่ซีเหมินชิงทำไปเพียงเพราะไม่ต้องการสร้างศัตรู ยิ่งกว่านั้นเขายังต้องการใช้โอกาสนี้ผูกมิตร เขาเพียงใช้สถานการณ์เพื่อเข้าหาพวกเรา”
เมิ่งจื่อ “………”
เย่หวูเฉินยกยิ้มมุมปาก “นางเซียน ท่านตัดสินเรื่องต่างๆเพียงผิวเผิน เพราะท่านยังอ่อนด้อยประสบการณ์ ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดที่ไร้สมองปล่อยให้ท่านเดินทางตามลำพัง โชคดีที่ท่านพบพวกเรา หากท่านผ่านพบคนชั่วละก็… เฮ้อ ข้าเกรงว่าแม้พวกมันขายท่านออกไป ท่านก็อาจจะช่วยพวกมันนับเงิน ซีเหมินชิงผู้นี้อาจไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ แต่เขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ขณะที่เขาเผชิญหน้ากับข้า เขาย่อมรู้พื้นฐานเบื้องหลังของข้าไม่มากก็น้อย นั่นคือเหตุผลว่าเมื่อพูดถึงเรื่องค่ายกลพันเวทย์ เขาจะทำราวกับไม่มีสิ่งใด ตระกูลซีเหมินไม่ใช่ธรรมดาอย่างแท้จริง”
เมิ่งจื่อแค่นเสียงบาง ราวกับไม่สนใจ นางไม่รู้สึกว่าตระกูลซีเหมินมีสิ่งใดซับซ้อน และนางไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติเกี่ยวกับซีเหมินชิง หากพูดถึงเรื่องพลัง ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินมีตระกูลใดคู่ควรเปรียบเทียบกับตระกูลนาง? นางลอบมองทงซินที่จับชายเสื้อของเย่หวูเฉิน ในที่สุดนางก็ถามที่นางรู้สึกกังวล “นาง…คือใคร?”
“แล้วท่านคือใคร?” เย่หวูเฉินยิ้มและถามกลับ
เมิ่งจื่อเงียบและเคลื่อนสายตาออก
“ทุกคนมีความลับเป็นของตัวเอง ท่านปฏิเสธที่จะพูดถึงอดีตตน ข้าก็มีบางสิ่งที่จะไม่พูดเช่นกัน เรื่องนี้จะดีกว่าหากท่านไม่ถามอีก… ไม่สิ จะดีมากหากท่านลืมมันไปซะ” น้ำเสียงของเย่หวูเฉินราบเรียบ เมิ่งจื่อรู้สึกได้ว่าเขากำลังกล่าวเตือนนาง
“ท่านพี่ ม้าตัวนี้ขาวมาก สวยจัง” หนิงเสวี่ยกล่าวขณะพิงอยู่ในอกเขา นางมีผมสีขาวหิมะ , ชุดสีขาวหิมะ , และผิวสีขาวหิมะ ดังนั้นนางจึงมีสัญชาตญาณชมชอบสิ่งที่มีสีขาว
“เสวี่ยเอ๋อร์อยากขี่มันเหรอ?”
“ข้าไม่อยากขี่ อกของท่านพี่สบายที่สุดแล้ว” หนิงเสวี่ยกอดคอเขาแน่น บิดร่างขยับหาตำแหน่งที่สบาย จากนั้นหลับตาลง
เย่หวูเฉินยิ้มและกล่าว “จะว่าไปแล้วสำหรับสตรี จะเป็นการดีหากพวกนางไม่ขี่ม้า”
“เอ๋? ทำไมเหรอ?” หนิงเสวี่ยเงยหน้าน้อยๆถามอย่างสงสัย
เย่หวูเฉินริมฝีปากโค้ง แสร้งทำเป็นกล่าวจริงจัง “เพราะว่าถ้าหากพวกนางขี่ม้าอยู่เรื่อยๆ ขาของพวกนางจะถูกถ่างออกเป็นเวลานาน ยิ่งนานไป เมื่อพวกนางเดินเท้าจะไม่อาจชิดเข้าหากันได้สนิทอีก ทำให้พวกนางดูน่าเกลียดมากเวลาเดินผู้คนจะรู้สึกราวกับว่าพวกนางคือ…อืม สตรีที่แต่งงานแล้ว ไม่ใช่หญิงสาวอีกต่อไป”
“เอ๋?” มีคำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของหนิงเสวี่ย นางไม่เข้าใจส่วนสุดท้ายที่เขากล่าว เมิ่งจื่อหุบขาแน่นในทันที นางกัดฟันแล้วเบือนหน้าออกไป ลึกๆในใจคล้ายว่านางเชื่อเย่หวูเฉิน นางรู้สึกหวาดกลัวนิดๆ และเริ่มภาวนาให้แผลบนเท้าหายไวๆ
เย่หวูเฉินสังเกตเห็นปฏิกิริยานิดน้อยของนาง เขาแทบไม่อาจกลั้นระเบิดเสียงหัวเราะ ในระหว่างการเดินทางที่น่าเบื่อ นานๆครั้งได้แกล้งนางเซียนก็นับว่าไม่เลว
“ไม่เป็นไร หากเสวี่ยเอ๋อร์จะยังไม่เข้าใจในตอนนี้ เมื่อเจ้าเติบโตขึ้นจะรู้อย่างแน่นอน ข้างหน้าเป็นเมืองจินชิง ตอนนี้พวกเราพักกันก่อน ก่อนคืนนี้พวกเราจะไปถึงอย่างแน่นอน”
ระหว่างการเดินทาง เย่หวูเฉินและทงซินเดินเท้า แต่ความเร็วของพวกเขาไม่ได้เชื่องช้า ความจริงคือหากเย่หวูเฉินเดินทางเพียงลำพัง อย่างเร็วสุดเขาจะถึงเมืองเหยียนหลงในเวลาไม่ถึงสิบวัน เขาสามารถถึงจุดหมายในสิบวันหากเดินทางทั้งวันและคืน แต่เขาไม่ได้เร่งรีบ กระทั่งยังจงใจถ่วงเวลา
เวลานี้พวกเขาอยู่บนถนนกว้าง ล้อมรอบด้วยเนินเขาสูง ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ปกคลุม เย่หวูเฉินอุ้มหนิงเสวี่ยนั่งพิงกับต้นไม้ ทงซินนั่งอยู่กับเขาเช่นกัน พิงไหล่เขาอย่างไร้เสียง เมิ่งจื่อค่อยๆลงจากหลังม้า เหยียบยืนบนพื้นด้วยเท้าเดียว นางนั่งลงบนพื้นหญ้า แต่เมื่อมองนางไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด
“ท่านพี่ ข้าคิดถึงพี่สาว” หนิงเสวี่ยลูบมือน้อยๆบนอกเขา ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“อืม ข้าก็คิดถึงนางเช่นกัน” ภาพของเย่ฉุ่ยเหยาปรากฎในใจของเย่หวูเฉิน ราวกับเทพธิดาแห่งสายน้ำ หัวใจเขาเกิดระลอกไหวอย่างรุนแรง
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะกลับไปเมื่อไหร่เหรอ?” หนิงเสวี่ยถาม
เย่หวูเฉิน “…….”
“ท่านพี่?” หนิงเสวี่ยเงยศีรษะมองใบหน้าเขาที่กำลัง-งงงวย
เย่หวูเฉินคืนสติกลับมายิ้มแล้วกล่าว “อีกไม่นานพวกเราก็จะได้กลับบ้าน พี่หญิงก็ชอบเสวี่ยเอ๋อร์มากเช่นกัน”
เขาค่อยๆหลับตาลง ค้นหาอย่างหนักถึงที่มาของความรู้สึกที่จู่ๆก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจ
ความรู้สึกสับสนเมื่อครู่คืออะไรกัน? พลังจิตใจที่สามารถล่วงรู้อนาคตไม่เคยผิดพลาด ร่างกายของพี่หญิง…. จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“อื้ม ข้ารู้…เอ๋? ท่านพี่ ต้นไม้สองต้นนั้นแปลกจัง ดูเหมือนพวกมันติดอยู่ด้วยกัน!” หนิงเสวี่ยพบบางสิ่งที่น่าแปลกใจ นางถามด้วยความสงสัยขณะกระพริบตา
เย่หวูเฉินมองตามหนิงเสวี่ยและพบว่าไม่ห่างออกไปทางด้านขวา ต้นไม้สองต้นที่มีขนาดเดียวกัน ติดกันอยู่แน่น ไม่เพียงพวกมันอิงชิดติดกัน กิ่งก้านยังประสานรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว ราวกับคู่รักพิงแนบแอบชิดซึ่งกันและกัน
“นี่เรียกว่าต้นไม้แฝด” เย่หวูเฉินตกใจเล็กน้อยก่อนจะตอบ
เห็นต้นไม้แฝด เย่หวูเฉินจำได้ว่าเคยเห็นต้นไม้แฝดแบบนี้ตอนที่เขาอยู่ในสวนราชวังของเมืองในอดีตของตน กล่าวถึงต้นไม้แฝด เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความหมายแฝงของมัน