สำหรับการเปิดตัวและจัดจำหน่ายนิตยสารราชานิทาน ตลาดหนังสือก็ไม่ได้มีคนสนใจเรื่องนี้แต่แรก คงจะมีเพียงแผนกนิทานของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูที่ติดตามนิตยสารฉบับแรกนี้
อย่างไรก็ตาม หากมองจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางวัน บนโลกออนไลน์ก็ไม่ได้มีเสียงตอบรับมากมายนัก
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็น
ณ ห้องรับแขกในบ้านหลังหนึ่ง
แม่คนหนึ่งวางหนังสือลงใต้แสงไฟ ในใจยังคงรู้สึกไม่หนำใจ “นิยายชุดปัวโรต์ฉบับนี้ไม่เลวเลย ออกแบบอุบายได้เหนือความคาดหมาย รู้สึกว่าสนุกกว่าเรื่องที่แล้ว…”
ในขณะนั้นเอง ลูกๆ สองคนก็กำลังเล่นกันอยู่ในห้องรับแขก
แม่ชำเลืองมองเวลา กล่าวอย่างจนใจ “หงหง หวาหวา เข้านอนได้แล้ว”
“ผมขอเล่นอีกแป๊บนึงนะครับ”
หวาหวาลูกชายอายุเจ็ดขวบกำลังเล่นรถแข่งของเล่นอย่างสนุกสนาน
แม่มองไปทางลูกสาวอายุเก้าขวบ “หงหง หนูเป็นพี่ เป็นตัวอย่างให้น้องหน่อยลูก เข้านอนได้แล้ว”
“ได้ค่ะ”
หงหงเดินเข้าห้องนอนไปอย่างรู้ความ
หวาหวามองพี่สาวเดินเข้าห้องนอน จึงทำได้เพียงเดินตามไปอย่างอิดออด พลางเอ่ยว่า “งั้นแม่เล่านิทานให้ฟังหน่อยสิครับ!”
“ก็ได้ๆ”
ใบหน้าของแม่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู มือพลางหยิบราชานิทานซึ่งซื้อกลับมาในช่วงกลางวันพร้อมกับนิยายชุดรหัสคดีปัวโรต์
เธอเป็นแฟนคลับของฉู่ขวง ชื่นชอบนิยายชุดรหัสคดีของปัวโรต์เป็นพิเศษ ตามซื้อมาอ่านทุกเล่ม
และได้ยินมาว่าเรื่องหนึ่งในนิตยสารราชานิทานนั้นเป็นผลงานของฉู่ขวง เธอจึงซื้อติดมือกลับมาด้วยใจซึ่งอยากสนับสนุนไอดอลของตน
แม้ว่าตนจะไม่ได้สนใจนิทาน แต่ก็มักจะเล่านิทานให้ลูกฟังตอนกลางคืน
สิบนาทีผ่านไป
หงหงและหวาหวานอนอยู่บนเตียง
แม่หยิบนิตยสารราชานิทานซึ่งแกะปกแล้ว เปิดหาเรื่องแรก “วันนี้แม่จะอ่านเรื่อง…”
“แม่ครับ!”
เมื่อเห็นว่าแม่หยิบหนังสือแลดูแปลกตาขึ้นมา หวาหวาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
“ผมอยากฟังเรื่องเจ้าเต่าน้อย ไม่อยากฟังเรื่องอื่น!”
แม่ได้ยินดังนั้นก็กล่าวอย่างจนปัญญา “หวาหวา ลูกดูสิ เราอ่านเรื่องเจ้าเต่าน้อยกันมาตั้งหลายรอบแล้ว ทำไมไม่ลองเปลี่ยนเรื่องกันดูบ้างล่ะ”
“ไม่เอา ก็ผมอยากฟังเรื่องเจ้าเต่าน้อยนี่นา!” หวาหวาร้องเสียงดัง
หงหงซึ่งมีภูมิคุ้มกันในการฟังนิทานแล้วจึงหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กดื้อ วันๆ ฟังแต่เรื่องเจ้าเต่าน้อย พี่ฟังจนหางจะหงอกอยู่แล้ว!”
แม่: “หางจะงอกไม่ใช่หางจะหงอก…”
หงหง: “แล้วหางหงอกไม่ได้เหรอคะ”
แม่ “…”
หวาหวาโมโห “ก็ผมอยากฟังเจ้าเต่าน้อยนี่นา”
แม่หลุดหัวเราะ เรื่องเจ้าเต่าน้อยที่พูดถึงก็คือนิทานสุดคลาสสิกเรื่องหนึ่ง แต่เธอเล่าให้ลูกฟังมาหลายสิบครั้งแล้ว
จะเรียกว่าเล่าจนเอียนก็คงได้
เธอจึงต่อรอง “เรามาฟังเรื่องใหม่กันก่อน ถ้าไม่ชอบ เดี๋ยวแม่ค่อยเล่าเรื่องเจ้าเต่าน้อยให้ฟัง”
“ก็ได้”
หวาหวาตอบอย่างไม่เต็มใจ
หงหงซึ่งนอนอยู่เตียงชั้นบนบอก “แม่รีบอ่านให้จบนะคะ มีแค่เด็กน้อยอย่างน้องนี่แหละที่ชอบฟังนิทานแบบนี้ หนูโตแล้วเลยง่วงมาก จะนอนแล้ว”
“เข้าใจแล้ว”
แม่พลิกไปยังหน้าซึ่งมีนิทานของฉู่ขวง
“นิทานที่แม่จะเล่าให้ฟังวันนี้คือเรื่องเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ในดินแดนอันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง มีราชาและราชินี พวกเขาปรารถนาอยากมีลูก จึงตั้งคำอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงใจ ‘ได้โปรดประทานลูกให้แก่เราด้วยเถิด’ หลังจากนั้นไม่นาน ราชินีก็ให้กำเนิดธิดาตัวน้อยผู้น่ารัก ผิวของเด็กหญิงนั้นขาวผ่องราวกับหิมะ แก้มแดงปลั่งราวกับผลแอปเปิล ราชาและราชินีตั้งชื่อให้กับนางว่าเจ้าหญิงสโนว์ไวท์…”
แม่มีประสบการณ์มากมายในการเล่านิทาน
ด้วยการเล่าเรื่องของเธอ เรื่องราวของสโนว์ไวท์ก็ถูกเปิดเผย
หวาหวาเดิมทีไม่ได้สนใจเลยสักนิด เมื่อฟังไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเพลิดเพลิน
ยามที่แม่เล่ามาจนถึงเมื่อราชินีองค์ใหม่ต้องการฆ่าเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ เขาก็พูดออกมาด้วยความโกรธอย่างอดไม่ได้
“ราชินีนิสัยไม่ดีเลย!”
แม่หัวเราะ และพูดโน้มน้าวใจ “เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นแม่เลี้ยงไงล่ะ แม่เลี้ยงนิสัยไม่ดีกับลูก เพราะฉะนั้นพวกลูกต้องห้ามให้พ่อมีแม่เลี้ยงนะ”
“ผมไม่อยากมีแม่เลี้ยง!”
หวาหวาเข้าถึงเรื่องราวมากจริงๆ
แม่ลูบศีรษะของลูกชาย พูดต่อ “องครักษ์ของราชินีใจอ่อน จึงปล่อยเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ไป นางวิ่งมาถึงบ้านหลังเล็กด้วยความตื่นตระหนก ในบ้านหลังเล็กแห่งนี้มีเตียงขนาดเล็กเจ็ดหลัง…”
“แม่คะ บนโลกมีคนแคระจริงเหรอ”
เสียงดังขึ้นจากเตียงบน เป็นหงหงที่เอ่ยขึ้น
แม่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าลูกสาวจะสนใจเรื่องนี้ ต้องเข้าใจว่าหงหงเกินวัยที่จะชื่นชอบฟังนิทานแล้วโนเวลกูดอทคoม
แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็ก
เธอเอ่ยตอบเสียงเบา “บนโลกนี้มีคนแคระมากมาย แต่ถ้าเจอก็ห้ามหัวเราะเด็ดขาดรู้มั้ย ต้องเป็นมิตรกับคนแคระ ลูกดูสิคนแคระยังเป็นมิตรกับเจ้าหญิงสโนว์ไวท์เลย”
หงหงเอ่ยเสียงดัง “ได้ค่ะ หนูชอบคนแคระมากเลย!”
หวาหวาเบะปาก “พี่ไม่ชอบฟังนิทานไม่ใช่เหรอ”
หงหงเตะเตียงด้วยเท้า “นอนไม่หลับ ก็เลยฟังน่ะ”
แม่ยกยิ้มมุมปาก “ราชินีรู้จากกระจกวิเศษว่าเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ยังไม่ตาย นางโกรธมาก จึงปลอมตัวเป็นหญิงชรา แอบวางยาพิษในผลแอปเปิลสีแดงและนำไปให้เจ้าหญิงสโนว์ไวท์…”
“อย่ากินนะ!”
“แอปเปิลมียาพิษนะ!”
เด็กสองคนตื่นเต้นขึ้นมา
แม่จึงสอนว่า “ตอนนี้พวกลูกก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมแม่ถึงไม่ให้กินของจากคนแปลกหน้า ไม่แน่อีกฝ่ายอาจเป็นราชินีปลอมตัวมาก็ได้นะ”
หวาหวา “ผมจะไม่กินแล้ว!”
หงหง “ห้ามกินขนมจากคุณลุงแปลกหน้า!”
เมื่อได้ฟังเสียงตอบรับจากลูกๆ แม่ก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นนิทานสอนใจที่ดี เธอพยักหน้า “เจ้าหญิงสโนว์ไวท์สลบไป ในตอนนั้นเอง ก็มีเจ้าชายรูปงามผ่านมาพอดี…”
“ดีจังเลย!”
“เจ้าหญิงสโนว์ไวท์รอดแล้ว!”
เด็กทั้งสองตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อได้ยินว่าเจ้าชายรูปงามจุมพิตเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ต่างก็ดีใจกันยกใหญ่
“ในที่สุด เจ้าชายก็พาเจ้าหญิงสโนว์ไวท์กลับไปยังดินแดนของตน และเปิดโปงการกระทำอันชั่วร้ายของราชินี ทำให้ราชินีได้รับการลงทัณฑ์ และเจ้าชายก็แต่งงานกับเจ้าหญิง พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนับตั้งแต่นั้นมา…”
แม่เล่าจบแล้ว ในใจพลันรู้สึกอบอุ่น
ฉู่ขวงสมแล้วที่เป็นไอดอลของเธอ นิทานเรื่องนี้เขียนได้ดีจริงๆ ไม่เหมือนกับคนที่เขียนนิทานเป็นครั้งแรกเลย แม้แต่ผู้ใหญ่อย่างตนยังรู้สึกชอบมาก คุณภาพของเรื่องราวสูงกว่าเรื่องเจ้าเต่าน้อยมาก
หวาหวาร้องว่า “แม่เล่าอีกรอบนะครับ!”
หงหงพูดต่อ “หนูชอบเจ้าหญิงสโนว์ไวท์!”
แม่เอ่ยว่า “ไม่ฟังเจ้าเต่าน้อยแล้วเหรอ”
“ไม่ฟังแล้ว!”
เด็กทั้งสองตอบพร้อมกันทันที
แม่ “…”
เจ้าหญิงสโนว์ไวท์เอาชนะเจ้าเต่าน้อยได้สำเร็จ
ตอนเด็กๆ แม่ของเธอก็เล่าเรื่องเจ้าเต่าน้อยให้เธอฟัง พลอยให้จนถึงตอนนี้เธอรู้สึกผิดอยู่เสมอเมื่อกินซุปตะพาบ ถึงแม้ว่าตะพาบกับเต่าจะเป็นสัตว์คนละชนิดกันก็เถอะ
แม่คิด ก่อนจะเล่านิทานให้ลูกๆ ฟังอีกรอบ
รอบที่สอง เด็กๆ ยังคงฟังนิทานด้วยความตื่นเต้น บางครั้งก็พูดคุยบ้างเล็กน้อย
จนกระทั่งแม่เล่าเรื่องราวเป็นรอบที่สาม เด็กทั้งสองจึงค่อยๆ ผล็อยหลับ เธอเดินออกมาอย่างเงียบเชียบ พร้อมทั้งห่มผ้าให้เด็กๆ ซึ่งถีบผ้าห่มออก
“ฉันคือเจ้าหญิงสโนว์ไวท์…”
ขณะที่ห่มผ้าให้หงหง หงหงก็ละเมอออกมา
แม่คลี่ยิ้ม
แม่กลับไปยังห้องรับแขก เปิดคอมพิวเตอร์ กดเข้าไปในกลุ่ม ‘พวกเธอเคยได้ยินเรื่องเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ไหม?’
แม่ๆ คนอื่นในกลุ่มต่างงุนงง
และเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันรุ่งขึ้น แม่ทุกคนก็รู้แล้วว่าเจ้าหญิงสโนว์ไวท์คือใคร…